บทที่ 2
ถ้าเพียงแต่พระราชินีจะไม่มีพระราชเสาวนีย์ให้เขาเดินทางมาเข้าเฝ้าที่ลอนดอน ถ้าเพียงแต่เขาจะสามารถทำตามใจปรารถนา ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่รู้สึกอึดอัดเกินไปที่ต้องมาอยู่แต่ในห้องแคบๆเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่ฝันร้าย โดยเฉพาะถ้าเพียงแต่เขาจะสามารถเรียกความทรงจำของช่วงเวลาหนึ่งที่หายไปจากชีวิตให้กลับคืนมาได้ จิตใจของเขาก็คงจะสงบขึ้น
“นรกจริงๆ...” เจมส์ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะระบายความหงุดหงิด แต่ทันใดก็มีเสียงเคาะอย่างกริ่งเกรงใจดังขึ้นหน้าประตู
“เข้ามา...!” เขาตวาดใส่เสียงเคาะนั้น
และกู๊ดอินัฟ ผู้รับใช้คนสนิทก็โผล่หน้าเข้ามาทางประตู
“ใต้เท้ากดกริ่งเรียกกระผมใช่ไหมขอรับ?”
“เปล่า...” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ
“ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าคงจะเคาะเรียกกระผมเอง”
“เปล่า...ฉันไม่ได้เคาะ...”เขาตวาดกลับ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง เขาก็กระแอมเบาๆ “ฉันคิดว่าวันสองวันนี้นะกู๊ดอินัฟ เรา...หมายถึงเจ้ากับตัวฉัน คงจะต้องทำความเข้าใจเรื่องเรียกไม่เรียกกันนี่สักหน่อยแล้ว”
“ใต้เท้าสั่งกระผมตอนนี้เลยก็ได้นี่ขอรับ” กู๊ดอินัฟพูดด้วยความเต็มใจ
“นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดกันถึงเรื่องนี้...!”
“สุดแท้แต่ใต้เท้าจะกรุณาเถอะขอรับ”
สิ่งหนึ่งที่เจมส์สังเกตเห็นก็คือ คนรับใช้ผู้นี้อยู่ในชุดเครื่องแบบที่ประกอบด้วยสูทสีดำ ส่วนเชิ้ตตัวในเป็นสีขาวเอี่ยมอ่อง ดูเรียบร้อยแม้แต่เส้นผมก็ยังหวีเรียบ ไม่น่าเชื่อว่าขณะนี้แม้จะตีสามแล้ว เขาก็ยังพร้อมเสมอสำหรับการรับใช้
“เจ้าทำได้ยังไงนะ กู๊ดอินัฟ...?” เจมส์รู้สึกกังขาอย่างช่วยไม่ได้
“ทำอะไรหรือขอรับใต้เท้า...?”
“ก็...”เขาชี้มือไปที่เสื้อผ้าเผ้าผม “ก็ทำให้ตัวเจ้าเรียบร้อยอย่างนี้ตลอดเวลาน่ะสิ”
“เอ้อ...กระผมศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษขอรับ ใต้เท้า”
“เรียนอะไร...มันเป็นวิชาอะไรกันแน่?” เจมส์ยกมือขึ้นลูบคางอย่างไม่เข้าใจ
“เอ้อ...กระผมศึกษาวิธีที่จะใช้เวลาในการแต่งตัวให้เรียบร้อยที่สุดโดยใช้เวลาน้อยที่สุดมาขอรับ”
เจมส์ต้องกลั้นยิ้มไว้เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายหนึ่ง
“ยังงั้นเชียวเรอะ...ถ้ายังงั้นฉันว่าเจ้าจะต้องเป็นลูกศิษย์ชั้นเยี่ยมทีเดียว กู๊ดอินัฟ”
“แต่กระผมยังเรียนวิชาต่างๆด้วยนะขอรับใต้เท้า”
“เรอะ...เช่นอะไรบ้างล่ะ?” เจมส์ถามอย่างสนใจ
“ก็ตั้งแต่เรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์นั่นแหละขอรับ ใต้เท้า” คนรับใช้ตอบนอบน้อม
“ยังงั้นเชียวเรอะ...?” เจมส์รู้สึกสนใจยิ่งนัก “แล้วอะไรอีก?”
“นอกจากนั้นก็เรื่องการใช้อาวุธชนิดต่างๆขอรับ”
“เช่นพวกปืน...อะไรทำนองนั้นใช่ไหม?”
“ใช่ขอรับ”
คำตอบนั้นทำให้เจมส์รู้สึกว่า คนสนิทของเขาคนนี้น่าจะให้เป็นผู้ติดตามได้
“แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่า?”
“ก็เรื่องยาเส้นขอรับ”
“แต่ฉันไม่เคยรู้ว่าเจ้าสูบบุหรี่ด้วยเลยนะ กู๊ดอินัฟ”
“กระผมไม่ได้สูบบุหรี่หรอกขอรับ กระผมเรียนรู้การวิเคราะห์ยาเส้นต่างหากขอรับ”
“ทำไมล่ะ...?” เจมส์รู้สึกฉงนใจอย่างแท้จริง
“คือกระผมมีความรู้สึกอยู่ว่า ยาเส้นกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง มักจะไปปรากฏอยู่ในสถานที่เกิดอาชญากรรมเสมอขอรับ”
“นี่หมายความว่า เจ้ามักไปในสถานที่เกิดคดีฆาตกรรมอยู่บ่อยๆยังงั้นเรอะ?”
“มิได้ขอรับ”
“ถ้ายังงั้นมันก็คงเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าใช่ไหม?”
“ถูกต้องขอรับใต้เท้า”
“แล้วเจ้ายังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอะไรอีก?”
“เรื่องยาพิษชนิดต่างๆขอรับ”
“ก็คงจะเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นแบบเดียวกับเรื่องยาเส้นนั่นสินะ” เจมส์ว่า
“ก็ไม่เชิงหรอกขอรับ กระผมคิดว่าตัวเองเหมือนสุนัขตำรวจมากกว่าขอรับ”
“เจ้าหมายความว่ายังไง สุนัขตำรวจ?”
“ก็...เป็นนักสืบยังไงล่ะขอรับ กระผมชอบอ่านนิยายนักสืบที่เขียนโดยเอ็ดการ์ แอลเลน โป แล้วก็ของมิสเตอร์วิลกี้ คอลลินส์อยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่อง เดอะ วูแมน อิน ไว้ท์ เป็นเรื่องที่กระผมชอบมากที่สุดขอรับ”
เจมส์รู้สึกหนาวยะเยือกแปลกๆ ขนลุกพราวทั้งตัว
“ใต้เท้าหนาวมากหรือขอรับ?”
และตอนนั้นเองที่เจมส์เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ายังคงยืนอยู่กลางห้อง โดยปราศจากเสื้อคลุมกาย จึงเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุม โดยกู๊ดอินัฟเข้ามาช่วยสวมให้เกือบจะในทันที
“มันไม่หนาวเท่าไหร่หรอก เพลียเสียละมากกว่า...ฉันตื่นขึ้นมาพักใหญ่แล้ว จะนอนต่อก็นอนไม่หลับ”
“กระผมยังศึกษาเกี่ยวกับอาการของโรคนอนไม่หลับด้วยนะขอรับ ใต้เท้า”
“ยังงั้นเชียวหรือนี่?”
“คือกระผมสนใจข้อเขียนของวิลเฮล์ม วูนด์...นักจิตวิทยาชาวเยอรมันที่เขาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังขอรับ”
“เรอะ...แล้วเขาว่ายังไงบ้างล่ะ?”
“เขาบอกว่า...สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเรานอนไม่หลับ ถ้าไม่เกิดจากปัญหาทางด้านร่างกายก็เนื่องมาจากจิตใจขอรับ และคณะทำงานของเขาก็ยังวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของความฝันอีกด้วย โดยที่พวกเขามีความเชื่อว่า ความฝันที่แน่นอนบางอย่างสามารถกลายเป็นสิ่งรบกวนการนอนของคนเราได้นะขอรับ”
เจมส์บังเกิดความรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันใด เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูดเสียด้วยการบอกว่า
“ฉันจะลงไปเดินเล่นในสวนสักพักนะ กู๊ดอินัฟ”
“ตอนนี้น่ะหรือขอรับ ใต้เท้า?”
“ก็ตอนนี้น่ะสิ”
“แล้วใต้เท้าอยากให้กระผมไปเป็นเพื่อนด้วยไหมขอรับ?”
“ไม่ต้องหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นกระผมจะไปจัดเตรียมเสื้อผ้าให้นะขอรับ”
“ไม่จำเป็น...”เจมส์ส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันหาเองได้ เจ้ากลับไปนอนเถอะยังไม่ต้องรับใช้ฉันหรอก เอาไว้ให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อน”
“สุดแท้แต่ใต้เท้าเถอะขอรับ กระผมจะไปเอากุญแจมาให้นะขอรับ”
“กุญแจอะไร?” เจมส์ถามงงๆ
“สวนดอกไม้ข้างล่างนั่นเป็นสถานที่ส่วนตัวขอรับใต้เท้า เพราะฉะนั้นจะใส่กุญแจประตูไว้ตลอดเวลา จะมีแต่ใต้เท้าผู้เป็นเจ้าของคอร์ก เฮ้าส์กับเกสท์ เฮ้าส์ ที่อยู่ทางด้านโน้น...”กู๊ดอินัฟชี้ไปทางแมนชั่นหรูหราอีกฟากหนึ่ง ที่สามารถมองเห็นหลังคาได้จากทางหน้าต่าง “เท่านั้นละขอรับ ที่จะมีกุญแจไขประตูสวน”
“ถ้าอย่างนั้นช่วยเอากุญแจให้ฉันด้วยก็แล้วกัน”
เจมส์เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว โดยใช้ชุดลำลองเพราะเชื่อแน่ว่า ในยามราตรีเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเห็นเขาอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็เดินลงบันไดและเลยออกประตูด้านหลังของคฤหาสน์ตรงไปยังประตูสวน สอดลูกกุญแจไขประตูบานนั้นอย่างรวดเร็วและเขาก็ได้เข้าไปในสวนไม้ดอกที่สวยงามและเงียบสงบแห่งนั้น...
เธอมีความรู้สึกเหมือนถูกอุดปากอุดจมูกจนหายใจไม่ออก...
มันเป็นความฝันที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในค่ำคืนนี้ ความฝันที่นำมาซึ่งความต้องการ ความปรารถนาอันแรงร้อนที่ให้เธอกลัวจนหายใจไม่ออก ถึงกับต้องอ้าปากหอบหายใจ
แต่จะหอบหายใจสักแค่ไนก็ยังไม่พออยู่ดี เนื้อตัวเธอสั่นสะท้านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หัวใจเต้นระทึกราวจะระเบิดออกมานอกอก พระเจ้า...ในยามนี้ความรู้สึกของเธอไม่ต่างกว่าสัตว์ตัวเล็กๆที่ติดอยู่ในกรงขังและกำลังพยายามสุดฤทธิ์ ที่จะหาทางให้ตัวเองหลุดพ้นเป็นอิสระ
แสงสว่าง...
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนดูจะมีแต่ความมืดมิด...ปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง
เธอยื่นมือเย็นเยือกสั่นระริกออกไปควานหาเชิงเทียน ที่แน่ใจว่าตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน จากนั้นก็จุดไม้ขีดและจุดเทียนเล่มเล็กขึ้น
ในท่ามกลางความมืดมิด อย่างน้อยก็ยังพอมีแสงจากเทียนดวงน้อยพอให้ได้ความสว่างบ้าง รู้สึกคอหอยแห้งผาก จึงรินน้ำจากเหยือกคริสตัลใส่ลงในแก้ว แต่ก็ทำหกเสียเกือบครึ่ง กว่าจะยกขึ้นดื่มได้
เธอบอกกับตัวเองอยู่ว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะเลิกหลอกตัวเองเสียที ฝันร้ายนั้น ดูจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งโยเฉพาะในระยะหลังๆ ซึ่งถ้าจะพูดกันตามความจริง เธอมักจะฝันซ้ำๆแบบเดียวกันนี้ทุกคืน นับแต่วันที่เดินทางมาถึงกรุงลอนดอน ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้ว
เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงฝันถึงเหตุการณ์น่ากลัวเช่นนั้นอยู่คืนแล้วคืนเล่า...?
แต่เหตุผลมันก็น่าจะมองเห็นชัดอยู่ การที่ได้รับรู้ว่าเขาได้เข้ามาอยู่ใกล้ตัวเธอ อยู่ในเมืองเดียวกันนี้มากเพียงไร มันก็ยิ่งทำให้ความหวาดกลัวจับหัวใจมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หยาดน้ำตาก็หล่อรื้นขึ้น
ที่จริงเธอไม่ควรเดินทางมาที่นี่เลย บางที...แผนที่ถูกวางขึ้นอย่างประณีต เพื่อให้พระญาติชั้นสูง ทรงเชื้อเชิญให้เธอเดินทางมาลอนดอนในฤดูกาล อาจเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงก็ได้...
แต่มันก็สายเกินกว่าจะเปลี่ยนใจได้ เธอไม่มีทางเลือกเลย ถึงอย่างไรก็ต้องมาอยู่ดี ทั้งนี้เพราะในกรุงลอนดอนแห่งนี้เท่านั้น ที่เธอจะได้รับคำตอบที่ต้องการ
“อย่าห่วงเลยนะ เธอไม่มีทางล้มเหลวหรือผิดหวังแน่” ซีซิลปลอบใจตัวเองอยู่ในความมืด
เธอจะต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด...
เพราะถ้าพลาด มันย่อมหมายถึงอนาคตแห่งแซง-ซีเมียง อิสรภาพของประชาชนพลเมือง ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของท่านพ่อกับท่านแม่ และยังเรื่องเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ พี่ชายของเธอที่จะต้องขึ้นครองบัลลังก์ตามสิทธิอันชอบธรรมอีกเล่า ไม่ต้องพูดถึงอนาคตของตัวเธอเองเลย
ถ้าเธอไม่ประสบความสำเร็จในงานที่ได้รับมอบหมายมาครั้งนี้ เธอจะเป็นได้เพียงเจ้าหญิงองค์สุดท้ายของแซง-ซีเมียง รัฐเล็กๆที่อยู่ระหว่างตอนใต้ของฝรั่งเศสกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย...ไม่ต้องห่วงหรอกซีซิล เธอต้องประสบความสำเร็จแน่”
เธอไม่อาจข่มตาข่มใจให้หลับลงได้อีก จึงเอื้อมไปหยิบหนังสือบทกวีเล่มโปรดที่มักจะเก็บอยู่ใกล้ตัว ออกมาเปิดอ่านในท่ามกลางแสงเทียนนั้น มีบทกวีของลองเฟลโล่ว์อยู่บทหนึ่งที่เธอคิดว่า มีความหมายที่แฝงนัยไว้ได้ดีมาก...
Ships that pass in the night and speak each other in passing
Only a signal shown and a distant voice in the darkness:
So on the ocean of life we pass and speak one another
Only a look and a voice, then darkness again and a silence...
ซีซิลรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ปิดหนังสือลง ปัดผ้าห่มออกจากตัว ลงจากเตียง เดินเท้าเปล่าไปผลักบานหน้าต่างให้เปิดกว้างออกเล็กน้อย สูดลมหายใจอัดอากาศยามราตรีที่เยือกเย็นเข้าไว้ในปอด บอกกับตัวเองอยู่ว่า...กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแห่งนี้ ช่างแตกต่างกว่าแซง-ซีเมียงเสียเหลือเกิน ด้วยที่นั่นมีแสงแดดสาดสว่าง ทั้งท้องฟ้าและพื้นน้ำเป็นสีครามสดใส บนพื้นดินอันอุดมคือทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ในบริเวณภูเขาเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าหลากสีสัน ทุกคนในแซง-ซีเมียงล้วนรู้จักมักคุ้นกันแทบทังสิ้น
ซีซิลมองเห็นภาพตัวเองที่เกิดและเติบโตมาในอาณาจักรเล็กๆที่โอบล้อมด้วยท้องทะเล อยู่ในท่ามกลางความรักและความอบอุ่นของท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ชาย และยังผู้คนอีกหนึ่งหมื่นห้าพันคนที่เป็นพลเมืองในอาณาจักรน้อยๆของเธอ
แน่นอน เธอเป็นเจ้าหญิงน้อยที่โชคดีอย่างที่สุด ได้รับการศึกษาด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญาและจิตวิทยา รวมไปถึงวิชาความรู้อันเป็นสมบัติของกุลสตรีชั้นสูง ทั้งทางด้านดนตรี การกวีและแม้แต่การลีลาศ ซึ่งเป็นการศึกษาที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างจริงจังของท่านพ่อและท่านแม่ทั้งสิ้น