บทที่ 1
เรือนร่างของเธอเปลือยเปล่า...ยิ่งไปกว่านั้น...เขาเองก็เปลือยร่างอยู่ด้วยเช่นกัน...!
เขาและเธอนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงแคบๆ ภายในห้องเล็กๆที่มีแสงไฟตามไว้เพียงสลัวๆ ทั้งยังมีผ้าห่มบางๆเพียงผืนเดียวที่คลุมร่างเขาและเธอไว้
ผิวพรรณของเธอขาวผ่อง ไม่ถึงกับซีดจนไร้สีสันหรือซีดเซียวเหมือนสีขี้เถ้า แต่ออกไปทางนวลเนียนเหมือนน้ำนมแพะในคอกหลังบ้านมากกว่า
แต่ว่า...บ้านหลังนั้นมันตั้งอยู่ที่ไหนกันเล่า...?
เธอเปรียบเสมือนงาช้างแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ผิวเนียนนุ่มราวแพรไหมไร้ตำหนิ ทั้งท่อนแขนและปลายนิ้วเรียวงาม แต่มันช่างเย็นเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อทาบอยู่กับเนื้อตัวร้อนรุ่มของเขา เธอไล้สัมผัสไปทั่วเรือนกายเขา ตั้งแต่แนวคิ้ว สันกราม ช่วงไหล่ลงไปจนกระทั่งถึงต้นขา เขาไม่อยากให้เธอหยุดมือลงเพียงแค่นั้นเลย อยากให้ช่วงเวลานี้ดำเนินไปอย่างไม่รู้สุดสิ้น
เขายื่นมือออกไปโลมไล้ร่างกายเธอ เนื้อตัวเธออ่อนนุ่ม เนียนมืออย่างที่ควรจะเป็น...
เขาประทับจูบลงบนเรียวปากเย็นๆนุ่มๆ ได้ยินเสียงถอนหายใจบางเบา ความรู้สึกในยามนี้เหมือนกำลังกินไอสครีมในวันแห่งฤดูร้อน จากนั้นความร้อนก็ค่อยๆกรุ่นขึ้น จนในที่สุดมันก็กลายเป็นเปลวเพลิงที่ลามไหม้เขาอยู่ เขากำลังถูกไฟพิศวาสวาทผลาญเผา มันร้อนลวกด้วยฤทธิ์แรงแห่งปรารถนาที่เขามีต่อเธอ
เธอครางแผ่วอยู่ในลำคอและเขาก็ได้ยินเสียงตัวเองประสานรับ...
เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งลงบนต้นขาเรียวงามของเธอ ตั้งใจจะให้เธอเป็นของเขาให้ได้ ขณะเดียวกันก็โน้มตัวลงไปหา ประทับจูบลงบนเรียวปากอีกครั้ง ก่อนจะไล้เลื่อนลงมาถึงยอดทรวงและเนียนเนื้อตรงหน้าท้อง...
จากปฏิกิริยาที่เธอแสดงออก เขารู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นชาย ว่าทุกสัมผัสของเขานั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ เขาบอกตัวเองอยู่ว่า...ในเมื่อเขาเองก็ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาจะต้องทำทุกสิ่งให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และเขาจะต้องทำในสิ่งนั้นทันทีที่วางมือจากการโลมเล้า
ณ ที่ใดที่หนึ่ง มีเสียงประตูถูกกระแทกปิดดังก้องขึ้น
เสียงผู้หญิงกรีดร้อง...
เสียงผู้ชายเอ็ดตะโรดังลั่น...
เสียงเหล่านั้นดังมาจากข้างหลัง...
ในยามนี้เขาไม่ได้อยากให้มีสิ่งใดมารบกวนเลย เมื่อเขาเหลียวหลังไปมองก็เห็นมือหยาบกร้านหลายคู่ที่กระชากไหล่เขาขึ้น...
เขาและเธอถูกแยกร่างออกจากกัน...
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกกระชากขึ้นจากเตียง ถูกบังคับให้ยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าทุกคน ทั้งยังถูกจับมัดไพล่หลัง ส่วนเธอนั้นได้รับการปกป้องด้วยผ้าห่อกายผืนใหญ่ มีสตรีนางหนึ่งคอยดูแล
ทุกเสียงล้วนตวาดใส่หน้า...
ทุกเสียงล้วนกราดเกรี้ยว...
ในวินาทีต่อมา ใครบางคนได้ยกไม้เท้า หรือแผ่นไม้อะไรสักอย่าง ฟาดใส่ไหล่เขาเต็มเหนี่ยว ทำให้เขาถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้นห้อง
ครั้งนี้เธอส่งเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมกับผวาวิ่งเข้าไปหา...
เธอเต็มไปด้วยความห่วงใยในตัวเขา
เขาได้เห็นดวงตาแสนสวยของเธอปริ่มด้วยหยาดน้ำตา ขณะที่เขาถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืนและสวมกางเกง...
หลังจากนั้นเขาก็ถูกกระชากลากถูไปตามช่องทางเดินแคบๆ
เขาได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนกำลังพูดจากันดังอื้ออึงอยู่
ร่างของเธอทรุดลงเคียงข้าง เขาสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวที่สั่นระริก รู้ดีว่าเธอกำลังกลัว เขาอยากจะปลอบใจเธอ อยากบอกเธอว่า ในที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดี
แต่พอดีกับที่มีอะไรบางอย่างกระแทกลงตรงกลางหลัง ได้ยินเสียงบังคับให้เขาตอบคำถาม
และเขาก็ตอบออกไป...
เธอได้มอบอะไรบางอย่างให้แก่เขาในตอนนั้นด้วย
หลังจากนั้นเขากับเธอก็ถูกพรากจากกัน ผู้หญิงกลุ่มใหญ่เป็นคนพาเธอไป ทุกคนดูไม่มีท่าทางเป็นมิตรกับเขาเสียเลย เขาได้แต่ร้องตามหลังเธอไปว่า...ผมสาบาน...ผมสาบานว่าจะตามหาคุณให้พบ
ประตูบานหนึ่งถูกถีบให้เปิดออก พร้อมกับร่างของเขาก็ถูกส่งด้วยแรงผลักให้เข้าไปภายใน
มันมีแต่ความมืด...
มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ ...นอกเสียจากความมืด
ลอนดอน, 1897
ดูเหมือนเขาจะเสียสติไปแล้ว...
เจมส์ เกรย์ เอิร์ลแห่งเกรย์สโตนที่ 13 ทะลึ่งพรวดขึ้นนั่งในเตียง เนื้อตัวที่เปลือยเปล่าเปียกชื้นด้วยเหงื่อ ผ้าห่มชื้นๆพันอยู่รอบขา
เขาแทบหายใจไม่ออก ต้องอ้าปากหอบหายใจเอาอ๊อกซิเย่นเข้าปอด หัวใจเต้นรัวแรง ปวดร้าวไปทั้งศีรษะ ต้อยกมือขึ้นนวดหลังใบหูขวา กดมืออยู่กับก้อนเนื้อตรงนั้น
เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะระบายออกช้าๆ ทำเช่นนั้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกรทั่งลมหายใจและการหายใจกลับเป็นปกติ
เจมส์กระพริบตาถี่ๆ เพ่งมองไปยังเงามืดที่เลยจากแสงดวงไฟหรี่สลัวข้างเตียงนอน และทันใด ความกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ภายในก็เริ่มลอยตัวขึ้น
เขาอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่...?
เขาแน่ใจ ว่านี่มันไม่ใช่เตียงที่ตนเองเคยนอน ไม่ใช่ห้องนอนและการตกแต่งที่เคยคุ้น โดยความเป็นจริงมันไม่ใช่บ้านของเขาเสียด้วยซ้ำ ที่นี่ไม่ใช่เกรย์สโตน แอบเบย์อย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่า ขณะนี้เขาไม่ได้อยู่ในเดวอน
“ก็แล้วเราอยู่ที่ไหนล่ะ? เขาถามตัวเองด้วยน้ำเสียงง่วงงุน
แล้วเขาก็ได้รับคำตอบนั้นเกือบจะในทันที ว่าขณะนี้เขาอยู่ในลอนดอน เป็นแขกผู้มีเกียรติเพียงคนเดียวที่ได้รับเชิญให้มาพำนักที่คอร์ก เฮ้าส์ คฤหาสน์ซึ่งผู้เป็นเจ้าของก็คือไมลส์ เซ้นท์ อัลด์ฝอร์ด
มาควิสแห่งคอร์ก สามีของอลิสสาหรือเลดี้ คอร์ก ผู้เป็นหลานสาวของเขาเอง
บัดนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองได้มาพำนักอยู่ในคฤหาสน์โอ่อ่าแห่งกรุงลอนดอน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายสำคัญของตัวเมือง คฤหาสน์ที่ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกผู้มีชื่อเสียงแห่งยุค ประดับประดาด้วยงานศิลป์คลาสสิกและตกแต่งด้วยเครื่องเรือนหรูหราราคาแพง และเขาก็กำลังนอนอยู่ในเตียงสไตล์ไบแซนไทน์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติของจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่...ที่ไมลส์กับอลิสสาซื้อมา ตอนเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เวนิส เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา
เจมส์สบถออกมาเบาๆขณะอิงหลังอยู่กับพนักหัวเตียงที่ได้รับการสลักเสลาด้วยฝีมืออันวิจิตร
เขาฝันอีกแล้ว...!
ว่าแต่...มันเป็นฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่...? ขณะเดียวกันมันก็มีคำตอบหลายภาษาที่ผ่านเข้ามาในสมอง ทั้งที่เจมส์เพียงแค่พอพูดฝรั่งเศสได้บ้าง ภาษาอิตาเลี่ยนออกจะตะกุกตะกักเต็มที ส่วนภาษา
ปอร์ตุกีสนั้นน้อยมาก
ก็แล้วทำไมภาษาต่างๆที่เขาไม่เคยคุ้นเหล่านี้ จึงได้ผุดขึ้นในสมองตลอดเวลา...?
นั่นเป็นอีกคำถามหนึ่งที่ไม่มีคำตอบ
เขาสลัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างๆ ที่มองลงไปจะเห็นสวนไม้ดอกทางด้านหลังของคฤหาสน์คอร์ก
ยังอีกหลายชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น แสงแห่งยามราตรียังเป็นสีถ่านหิน อย่าว่าแต่จะมองไม่เห็นสวนเลย แม้แต่กำแพงศิลาที่รายล้อมสวนไม้ดอกแห่งนี้ไว้ ก็แทบมองไม่เห็น แต่จากที่ได้เห็นมาเมื่อวันวานนี้ เขาพอจะจดจำได้ ว่าต้นไม้ใบหญ้าในสวนแห่งนี้สวยงามยิ่งนัก ทั้งดอกกุหลาบที่ใกล้จะเบ่งบานเต็มที ถึงอย่างไรก็ไม่มีความงามใดที่จะเปรียบได้กับสวนกุหลาบแห่งประเทศอังกฤษในฤดูใบไม้ผลิได้อีกแล้ว
เป็นเวลานานถึง 15 ปีแล้ว นับแต่เจมส์ เกรย์ได้สัมผัสฤดูใบไม้ผลิในบ้านเมืองของเขา แต่เขาได้ให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า เดือนเมษายนปีนี้เขาจะต้องอยู่ในอังกฤษอย่างแน่นอน
แต่...เขาได้ให้สัญญาเรื่องนี้กับตัวเองตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เจมส์ระบายลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นเสยผมหยักสลวยที่ยาวลงมาถึงต้นคอ
เขาคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่บราวนิ่งเคยเขียนไว้...ท่านจะตื่นขึ้น แล้วท่านก็จะนึกได้และเข้าใจได้เอง...
บัดนี้ เขาตื่นขึ้นแล้วแต่ก็ยังนึกอะไรไม่ออก อย่าว่าแต่จะเข้าใจเลย...!
เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาจะต้องฝันเห็นแต่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น...? เธอมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งจินตนาการ...?
แต่สาวสวยเนื้อตัวเปลือยเปล่าไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตามหลอกหลอนอยู่ คืนแล้วคืนเล่าที่เขาถูกกักขังอยู่ในความมืด ที่มืดสนิทจนเขาแทบมองไม่เห็นมือตัวเองแม้จะยกขึ้นตรงหน้า ขณะเดียวกัน เขาก็ยังพบกับการสะดุ้งตื่นและไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร กำลังอยู่ที่ไหนและไปอยู่ที่นั่นทำไม ซึ่งความงุนงงสงสัยนี้จะเกิดขึ้นอยู่อย่างน้อยก็ชั่วครู่สั้นๆ เขาพยายามบอกกับตัวเองอยู่ว่า
“ให้ตายสิ เกรย์สโตน นายควรจะปล่อยให้เรื่องราวในอดีต เป็นอดีตอย่างที่มันควรจะเป็นเสียทีได้แล้ว ก่อนที่นายจะเป็นบ้าไปเสียก่อน”
จริงอยู่...ที่เขาจะต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่...
ว่าแต่...มันเป็นเช่นนั้นจริงละหรือ...?
เขาฟื้นความทรงจำขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ปลายฤดูร้อนปีกลาย แต่กระนั้นมันก็ยังมีช่องว่างของข่วงเวลาอีกเกือบหนึ่งปี ที่เขาไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาปรึกษาเรื่องนี้กับแพทย์ประจำตัวหลายครั้ง
“ลอร์ด เกรย์สโตนขอรับ เรื่องการฟื้นความจำนี่ กระผมคิดว่าท่านต้องให้เวลากับมันด้วยนะขอรับ” นายแพทย์อริสโตเติล ซิมส์กล่าว
“แล้วมันจะต้องใช้เวลานานสักแค่ไหนล่ะหมอ?”
“คนหนุ่มก็อย่างนี้ละขอรับ ออกจะใจร้อนอยู่สักหน่อย” นายแพทย์ตบแขนเขาเบาๆอย่างปลอบใจ
เจมส์ยอมรับว่าตัวเองใจร้อน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยังหนุ่มอยู่เลย น่าจะแก่เกินวัยเสียด้วยซ้ำ
“ว่ายังไงล่ะหมอ...ผมถามว่าจะต้องใช้เวลารอนานสักแค่ไหน?”
“ใครจะบอกได้ล่ะขอรับ?” นายแพทย์ไม่ยอมตอบคำถามนั้น
นั่นสินะ...ใครเล่าจะบอกได้...?
สถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ มันสร้างความกระอักกระอ่วนให้กับเขาอย่างบอกไม่ถูก เจมส์ไม่ยอมออกสังคม เพราะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะไปอธิบายให้ใครๆเข้าใจว่า...มันเกิดความผิดปกติขึ้นในสมองหลังจากเดินทางกลับจากอินเดียวเมื่อสองปีก่อน ไม่อยากให้ใครเห็นก้อนนูนบนศีรษะหรือรอยแผลเป็นบนไหล่
เขาไม่อยากบอกให้ใครรู้ ว่าตอนนั้นเขากำลังจะเดินทางกลับอังกฤษ เพื่อไปรับบรรดาศักดิ์ที่สืบทอดจากพี่ชายที่เสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดก่อนเวลาอันสมควร ขณะที่เรือเดินสมุทรของเขาเพิ่งเดินทางออกจากบอมเบย์ ก็ต้องเผชิญกับพายุแรงกล้า ซึ่งหลังจากนั้นแล้วเขาไม่รู้เลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่คิดเอาเองว่า น่าจะถูกคลื่นซัดร่างเข้าฝั่ง เพราะจดจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้เลยว่า ช่วงเวลาที่ขาดหายไปหลายเดือนนั้นเขาไปอยู่ที่ไหน...
แต่ดูเหมือนช่วงเวลานั้นจะไปปรากฏอยู่ในความฝัน...
เขาอยู่ในสภาพทรุดโทรมเต็มทีตอนที่เดินทางไปถึงเวลท์ คันทรี่ รูปร่างผ่ายผอม มีเสื้อผ้าสวมใส่ไม่กี่ชิ้น ไม่มีแม้แต่เงินที่จะซื้ออาหารต้องขอทานเอาจากคนแปลกหน้า
จะอย่างไรก็ตาม ด้วยสัญชาตญาณโดยแท้ที่ความทรงจำบางอย่างได้กลับฟื้นคืนมา ซึ่งทำให้เขาสามารถเดินทางกลับมาสู่เกรย์สโตน แอบเบย์...กลับมาสู่บ้านในวัยเยาว์ของตนเองได้อีกครั้ง
บ้าน...คำๆนี้มีความหมายอย่างลึกซึ้งยิ่งนักสำหรับเจมส์ เกรย์ นับแต่วัยเด็กมาแล้วที่เขาพอใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านในเมืองชนบทมากกว่า แต่หน้าที่เรียกร้องให้เขาจำต้องทิ้งบ้านไป
หรือที่ถูก พระนางวิคตอเรียนั่นเองที่ทรงเรียกร้องให้เขาต้องทำเช่นนั้น เมื่อเขาได้รับพระราชสาส์นที่ทรงมีพระเมตตาเชื้อเชิญให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่ประทานเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงซีซิล แห่งแซง-ซีเมียง ซึ่งเป็นพระญาติสนิท
ซึ่งเขาสามารถอ่านความหมายที่แฝงอยู่เป็นนัยออก ว่าจะไม่เป็นที่พอพระทัยอย่างยิ่ง ถ้าเขาจะปฏิเสธคำเชิญดังกล่าว ทั้งยังเป็นความเขลาอย่างที่สุดที่จะทำเช่นนั้น
เจมส์ เกรย์ บอกตัวเองอยู่ว่า เขาอาจจะเป็นอะไรที่เลวร้ายได้สารพัด แต่จะไม่ยอมตนเป็นคนโง่อย่างเด็ดขาด ในที่สุด เขาก็เดินทางมาถึงเดวอนเมื่อวันวานและเข้าพำนักอยู่ที่คฤหาสน์คอร์ก เฮ้าส์
เขายังคงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ทอดสายตาเหม่อมองแสงยามราตรีแห่งนครลอนดอน เขาเหลียวไปมองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงและพบว่าขณะนั้นมันเพิ่งจะตีสามเท่านั้น
โลกยังคงหลับใหลอยู่ในความมืดแห่งยามราตรี ในคฤหาสน์หลังนี้ กว่าแม่บ้านจะตื่นนอนก็คงอีกสัก 1-2 ชั่วโมง แต่สำหรับตัวเขาเองแล้ว เจมส์รู้ดีว่าจะไม่มีทางกลับไปนอนต่อได้อีก เขาผลักบานหน้าต่างให้เปิดกว้าง สูดอากาศเย็นชื่นที่ประสมประสานอยู่ด้วยละไอหมอกกับกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าไว้ในปอด
เมื่ออยู่ที่บ้านในเมืองชนบท เขาก็ยังมีหนทางที่จะกำจัดปิศาจที่ติดตามรังควานได้ เขาจะลุกขึ้นจากเตียง คว้าชุดขี่ม้ากับรองเท้าบู๊ทขึ้นมาสวมและเดินลงไปยังคอกม้า
ตอนที่เจมส์ เกรย์รับบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งเกรย์สโตนใหม่ๆ สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือเฟ้นหาตัวบุคคลที่จะมาทำหน้าที่พ่อบ้านแห่งคฤหาสน์เกรย์สโตน แอบเบย์และสำคัญที่ตามมาก็คือ หาซื้อม้าไว้ใช้ประจำตัว ซึ่งในที่สุดก็ได้พบม้าตัวที่ต้องใจ และเพื่อเป็นเกียรติสำหรับการที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอินเดียมานานถึง 15 ปี เขาจึงตั้งชื่อม้าเพศผู้ที่มีขนสีดำปลอดทั้งตัวว่า อัมริตสา
ในคืนที่นอนไม่หลับ เจมส์ เกรย์จะควบม้าคู่ใจตัวนี้ท่องไปทั่วที่ดินอันกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลตั้งแต่ก่อนสงครามครูเสด ที่ดินอันเป็นมรดกล้ำค่า บัดนี้ได้เป็นสมบัติของเขาแต่ผู้เดียว ในขณะที่ม้าวิ่งควบอยู่นั้น เขากับเจ้าอัมริตสาจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน อากาศในเมืองชนบทจะช่วยปัดเป่าหยากไย่ในสมองและขจัดความมืดดำในจิตวิญญาณออกได้จนหมดสิ้น
แต่...มันไม่ใช่ในค่ำคืนนี้ คืนที่เขามีความรู้สึกเหมือนถูกคุมขังอยู่แต่ในคฤหาสน์คอร์ก เฮ้าส์...!