ความใกล้ชิดพานให้ใจสั่น (30%)
หนึ่งอาทิตย์ถัดมา
วันนี้มาร์โคเดินผิวปากเข้าบริษัทอย่างสบายอารมณ์ จนพนักงานที่เดินสวนกับท่านประธานหนุ่มถึงกับพากันงงเป็นไก่ตาแตก ที่เจ้านายสุดเนี๊ยบอารมณ์ดีผิดปกติ
ชายหนุ่มเข้าบริษัทตั้งแต่ช้าตรู่ เพื่อมารอพบหน้าบุปผชาติ แต่รอแล้วรอเล่าจนถึงสิบโมงก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสาวน้อย จะเห็นได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเธอจงใจเบี้ยวนัดเขา หญิงสาวถือว่าตนได้บอกกล่าวอีกฝ่ายแล้ว ว่าจะส่งงานมาให้ทางอีเมล์ ซึ่งมาร์โคเองก็คิดไม่ถึงว่าแม่สาวอ่อนเดียงสาจะกล้าขัดใจเขาถึงเพียงนี้ เห็นนิ่งๆ อย่างนั้นเวลาดื้อก็เอาเรื่องไม่เบาเลยทีเดียว แถมยังแอบดื้อเงียบซะด้วย
“ในเมื่อเธอไม่ยอมมาหาฉัน งั้นฉันจะเป็นคนไปหาเธอเองยาหยี” สาวเจ้าทำให้เขาทนความคิดถึงไม่ไหวจนต้องแจ้นไปหาถึงที่ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องจ่ายค่าปรับให้เขาอย่างคุ้มค่าและสาสมกับการเสียเวลานั่งรถ มาร์โคได้แต่หมายมาดไว้ในใจด้วยความร้ายกาจ
ชายหนุ่มบึ่งรถออกมาจากบริษัทเพียงลำพัง ไร้เงาของบอดี้การ์ดอย่างที่ควรจะเป็น เพราะเขาต้องการที่จะอยู่กับเบบี๋ของเขาแบบสองต่อสอง คิดแผนการไว้ในหัวยาวเหยียด และเหยื่อในแผนครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นสาวเฉิ่มนามว่าบุปผชาติ ว่าที่เมียวัยละอ่อนของนายมาร์โคนั่นเอง ขับรถพลางฮัมเพลงมาอย่างสุขใจ ชั่วโมงต่อมารถสปอร์ตหรูคู่ใจก็มาจอดลงตรงหน้าบริษัทที่สาวน้อยทำงานอยู่ หลังจากส่งกุญแจให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอารถไปจอดในที่ของแขกวีไอพี เรียวขาแกร่งก็มุ่งตรงเข้าสู่ภายในทันที
“อุ๊ย! สวัสดีค่ะคุณมาร์โค มาพบท่านประธานเหรอคะ ดิฉันจะได้แจ้งให้ท่านทราบ” สาวสวยปากแดงที่นั่งทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของบริษัทถึงกับฉีกยิ้มหวานหยด ส่งสายตาเชิญชวนเป็นนัยๆ ขณะเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงหวานจนน้ำตาลยังอาย จะไม่ให้หล่อนอยากจะทอดโทเวย์ทั้งสายให้เขาได้อย่างไรไหว ก็พ่อเจ้าประคุณออกจะหล่อเหลาราวเทพบุตรเสียขนาดนั้น แถมยังรวยล้นฟ้า เพอร์เฟ็กต์จนหาที่ติไม่ได้อย่างนี้ สาวๆ นางไหนก็อยากสานสัมพันธ์กับเขากันทั้งนั้น กระทั่งสาวแก่แม่หม้ายยังไม่เว้น หล่อนเองก็เช่นกัน คืนเดียวก็ยังดี เผื่อจะได้สัมผัสกับนิยามที่ว่า ‘ถึงไม่ได้เป็นนางฟ้า แต่พี่ก็พาขึ้นสวรรค์ได้’ โอ้พระเจ้า! แค่ได้ยินก็ฟินแล้ว
“ไม่ครับ ผมมาพบคุณบุปผชาติ ดิลกรัตนกุล” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ แถมยังส่งยิ้มอันทรงเสน่ห์ไปให้คู่สนทนา เล่นเอาสาวเจ้าใจละลายแทบตกจากเก้าอี้ แต่พอได้ยินชื่อคนที่เขามาขอพบกลับขมวดคิ้วมุ่น เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมาพบยัยเฉิ่มประจำบริษัท คงไม่ใช่เพราะพิศวาสหรอกมั้ง น่าจะเป็นเรื่องงานเสียมากกว่า เพลย์บอยอย่างเขาหรือจะริอ่านลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับของแปลกแบบยัยนั่น
“งั้นดิฉันขอแจ้งทางพนักงานของเราก่อนนะคะ เชิญคุณมาร์โคไปรอที่ห้องรับรองได้เลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะให้คนเอาน้ำไปให้” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยอย่างมีจริต
“ขอบคุณครับ” พ่อหนุ่มหล่อมาดเท่กล่าวเสียงทุ้ม ก่อนจะก้าวขาแกร่งทั้งสองข้างเดินตามหญิงสาวนางหนึ่งไปยังห้องรับรองแขกทันที
สิบนาทีต่อมา บุปผชาติก็มาถึงห้องรับรองแขก ที่เขากำลังนั่งเคาะนาฬิกาข้อมือรอเธออยู่ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู คนที่รอด้วยความใจจดใจจ่อก็ผงกหัวขึ้น แล้วส่งยิ้มหวานไปทักทายสาวเจ้าทันควัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสีหน้าเรียบนิ่ง ซึ่งมีแต่ความเฉยชาไร้อารมณ์ตามแบบฉบับของ ‘เจ้าหญิงน้ำแข็ง’ ที่เขาแอบให้ฉายา
“คุณมาหาฉันถึงที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่างานมีปัญหา” พอมาถึงสาวเจ้าก็ไม่คิดจะกล่าวคำทักทายให้เสียเวลา ยิงคำถามใส่ชายหนุ่มทันที เพราะไม่อยากอยู่กับเขานานๆ เธอยังมีงานที่ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องกลไกของเครื่องยนต์อีกมาก ถึงเธอจะอัจฉริยะแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ไปหมดตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ของบางอย่างก่อนที่จะเก่งมันต้องเกิดจากการเรียนรู้
“ใช่ มันมีปัญหา” น้ำเสียงดูตึงเครียดอย่างน่าเชื่อถือสุดๆ ประกอบกับพ่อเจ้าประคุณพยายามปั้นหน้าให้ดูจริงจัง จนเธอหลงกลเข้าเต็มเปา
“มันมีปัญหายังไง ลองเล่ามาสิคะ ฉันจะได้ไปแก้ไข หรือว่าคุณไม่ชอบตรงไหนก็บอกได้” คนเห็นความสำคัญของงานเป็นหลักไม่ได้คิดอะไร และไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราวของพ่อตัวร้าย เพราะไม่คิดว่าเขาจะมายั่วโมโหตนถึงบริษัท คิดแต่เพียงว่าแบบงานที่ตนส่งไปให้อีกฝ่ายคงจะมีปัญหาจริงๆ เขาถึงได้แจ้นมาหาเธอถึงที่นี่ แทนที่จะติดต่อกลับทางเมล์หรือไม่ก็ทางโทรศัพท์
“ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลยยาหยี รู้แต่ว่าหิวอย่างเดียว คุณไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนประเด็นเฉยเลย ทำให้บุปผชาติแทบจะตั้งตัวไม่ทันกับการปรับโหมดแบบเร่งด่วนของเขา ตอนแรกดูท่าเป็นงานเป็นการ แต่พอเอาเข้าจริงก็อีหรอบเดิม
“เอ่อ…ฉันว่าคุณไปกินคนเดียวดีกว่านะคะ เพราะฉันไปด้วยคงจะไม่เหมาะ พอคุณทานข้าวเสร็จแล้วก็กลับมาเจอฉันที่นี่เพื่อคุยรายละเอียดเรื่องงาน โอเคนะคะ”
“ไม่ล่ะ เสียเวลา กินไปคุยไปดีกว่า อย่าเรื่องมากน่าเบบี๋ ไปกินข้าวดีกว่าผมหิวจนแสบท้องไปหมดแล้วเนี่ย ถ้าไม่ยอมไปดีๆ มีอุ้มแน่งานนี้” คนเอาแต่ใจไม่ยอมรามือง่ายๆ หากเธอไม่ยอมไปด้วยดีๆ เขาก็จะทำอย่างที่พูดมันจริงๆ นั่นแหละ เพราะที่พูดมามันไม่ใช่การขู่แต่มันคือการออกคำสั่งอย่างกลายๆ พูดยังไม่ทันจะขาดคำจอมบงการก็รวบมือเรียวสวยเข้าไว้ในอุ้งมือใหญ่ แล้วดึงร่างอ้อนแอ้นให้ก้าวเดินตาม
“เอ๊ะ! นี่คุณ! ปล่อยนะ! คุณจะบ้าหรือไงมาบังคับฉัน” บุปผชาติตกใจจึงโวยวายออกมาด้วยความลืมตัว ขณะพยายามสะบัดมือเร่าๆ ให้หลุดพ้นจากพันธนาการของคนบ้าอำนาจ
“จุ๊ๆๆ…อย่าโหวกเหวกโวยวายไปสิยาหยี ถ้าไม่อยากตกเป็นจุดสนใจของคนทั้งบริษัท” พ่อตัวโตยกนิ้วชี้จรดริมฝีปากหยักเพื่อปรามให้เธอลดเสียงลง แถมยังยักคิ้วให้ด้วยความเป็นต่อ
“ก็เพราะใครล่ะ” สาวน้อยส่งค้อนวงงามให้มาร์โค พร้อมทั้งขมุบขมิบปากต่อว่าเขาอย่างหงุดหงิดกับความเอาแต่ใจและแสนจะเผด็จการ พอนึกขึ้นได้ว่าตนเผลอทำอะไรลงไปเมื่อกี้ก็รีบปรับสีหน้าให้นิ่งเข้าไว้ แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะสายตาคมกริบของเขาจับได้ทุกรายละเอียดไม่มีตกหล่น
“ถ้าคุณยอมไปกับผมดีๆ ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง จริงไหม?” มาร์โคก้มลงกระซิบตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก กิริยาค้อนจนตาคว่ำของเธอทำให้เขาฉีกยิ้มกว้างด้วยความพอใจ ที่สาวเจ้าเผลอตัวแสดงมันออกมาให้เขาได้ดูเป็นบุญตา
“เออ…ก็ได้ คนเผด็จการ จำไว้เลยนะ” บุปผชาติสะบัดหน้าใส่อีกฝ่ายด้วยท่าทางแง่งอนเหมือนเด็กๆ ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็ทำหน้าบึ้งแก้มป่อง สุดท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้และยอมไปกับเขาแต่โดยดี เพราะรู้ว่าถึงจะขัดขืนยังไงพ่อเจ้าประคุณก็ต้องทำให้เธอไปกับเขาจนได้นั่นแหละ
“ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มอ้าปากระเบิดเสียงหัวเราะกับท่าทางงอนตุ้บป่องของคนตัวเล็ก
ภาพสาวแว่นสุดเฉิ่มประจำบริษัทเดินเคียงคู่มากับหนุ่มหล่อขั้นเทพ มันช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่เมื่อคนเดินสวนไปมาเห็นพ่อเทพบุตรก้มลงไปพูดคุยหยอกล้อกับคนตัวเล็ก ด้วยท่าทางกระหนุงกระหนิงราวกับคู่รัก บวกกับเสียงหัวเราะกังวานของชายหนุ่มที่ดังออกมาเป็นระยะ ทุกคนก็คิดว่ามันดูน่ามองไปอีกแบบเหมือนกัน บางคนถึงกับอมยิ้มอย่างนึกชอบใจกับความต่างขั้วแต่ก็เหมือนจะลงตัว
“ชู่ว์…หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลยนะคุณ คนมองใหญ่แล้ว ไม่เห็นหรือไง” บุปผชาติกระซิบปราม เพราะรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง ยิ่งเขาหัวเราะลั่นยิ่งเป็นจุดสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา
“ช่างมันผมไม่แคร์ ชินซะแล้ว ยิ่งเป็นข่าวกับสาวเฉิ่มอย่างคุณผมยิ่งชอบ…แปลกดี” แทนที่จะทำตามคำห้ามปรามของเธอ เขากลับยักไหล่ทรงพลังอย่างไม่ยี่หระ ทำท่าราวกับว่าดีใจนักหนาที่คนให้ความสนใจตนกับสาวเฉิ่ม แถมยังขยิบตาให้เธอ เหมือนบอกเป็นนัยว่าไม่เห็นเป็นไรเลย เป็นข่าวกับคนหล่ออย่างเขาเสียหายตรงไหนกัน
“ฉันเฉิ่ม แล้วมันหนักตรงไหนของคุณไม่ทราบคะ มิสเตอร์ดิมิเทียส” ได้ยินคำว่าสาวเฉิ่มบุปผชาติก็เกิดความหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงเธอจะยอมรับอยู่ในใจว่าตัวเองเฉิ่มเชย แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเอาสิ่งที่เป็นเหมือนปมด้อย มาตอกย้ำให้เธอช้ำใจบ่อยๆ เลยนี่นา
“หนักตรงหัวใจ โอ๊ย…โอ๊ย!!!” คนกะล่อนทำเป็นเดินเอียงกระเท่เร่ไปทางฝั่งซ้าย เหมือนหนักนักหนาจนจะแบกรับไม่ไหว ขณะมือกระด้างยกขึ้นกุมหัวใจ แล้วปั้นสีหน้าให้ดูเจ็บปวดจนน่าหมั่นไส้
“บ้าคุณนี่!” สาวน้อยลืมตัวตวาดแว้ด พร้อมทั้งฟาดเข้าที่อกกว้างไปหนึ่งที พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปจึงรีบหดมือกลับ สงบปากสงบคำ ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย
“ถึงเค้าจะบ้า เค้าก็บ้ารักตัวเองนะ…เลิฟยู” พ่อเจ้าประคุณยังเล่นไม่เลิก หลิ่วตาแล้วทำสัญลักษณ์มือแทนคำว่ารักให้เธอด้วยท่าทางแสนเสน่ห์ จนคนมองถึงกับตาพร่า ใบหน้าแดงระเรื่อขวยเขินกับความกะล่อนของเขา
นี่ขนาดสาวเฉิ่มเขายังไม่เว้นที่จะบริหารเสน่ห์ของตัวเองอีก แจกจ่ายความรักชั่วคราวเรี่ยราดไปทั่วเสียจริงพ่อเพลย์บอยตัวยง บุปผชาติได้แต่คิดอย่างหมั่นไส้พ่อคนเสน่ห์แรงที่คิดจะบริหารเสน่ห์กับคนที่ไม่เคยสนใจผู้ชายและความรักอย่างเธอ