บทย่อ
เมื่อเพลย์บอยตัวร้ายอย่างมาร์โค ดิมิเทียส เกิดตกหลุมรักสาวเฉิ่มจอมอัจฉริยะเช่นบุปผชาติ ดิลกรัตนกุล ตั้งแต่แรกเจอ ทั้งที่เธอห่างไกลจากคำว่าสเปกของเขาอยู่มากโข อกไข่ดาว สาวเอเชีย แต่หนุ่มเจ้าสำราญกลับนึกอยากครอบครองเธอจนตัวสั่น ยิ่งสาวน้อยทำท่าตื่นกลัวและระวังตัวแจเขาก็ยิ่งเกิดความกระหาย กลิ่นอายความไร้เดียงสากระตุ้นสัญชาตญาณนักล่าให้พลุ่งพล่าน จนนึกอยากกระโจนเข้าใส่สาวเจ้าที่ดูท่าทางเย็นชาและไว้ตัวจนน่าหมั่นไส้ มาร์โคปรารถนาจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าแสนเชยระเบิดนั่น แล้วเชยชิมลิ้มรสเนื้อในของเธอว่าจะหวานซ่านทรวงซักแค่ไหน และในเมื่อเขาอยากได้เธอเจียนจะคลั่ง เขาก็ต้องได้! ไม่ว่าวิธีไหนเขาก็จะต้องได้ครอบครองแม่เด็กน้อย ต่อให้เธอจะอกไข่ดาวและแบนราบกว่านี้เขาก็มีวิธีให้เธอหน้าอกใหญ่ขึ้น วิธีที่บุรุษผู้ช่ำชองสังเวียนรักรู้ดีว่ามันจะต้องได้ผลและวาบหวามเกินคาด‘ห้ามยิ้มให้ผู้ชายคนอื่นแบบเมื่อกี้อีกนะเบบี๋…นี่ผัวเอง’หลังจากอ่านข้อความจบบุปผชาติก็อ้าปากค้าง อีกทั้งนึกเคืองขุ่น คนบ้า! ว่างมากนักหรือไงถึงได้ส่งข้อความมาก่อกวนเธอ และทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ นี่เขาให้คนตามดูเธอเหรอ ฮึ่ย…เขาจะกล้าเกินไปแล้วนะ ก่อนที่สาวน้อยจะทำท่าฮึดฮัด แล้วพิมพ์ข้อความกลับไปมือไม้สั่น‘ผัวไหนไม่ทราบ?’‘ก็ผัวยาหยีไงจ๊ะ น่าน้อยใจชะมัด เพิ่งขึ้นขี่กันอยู่หลัดๆ ลืมกันได้ลงคอ’ ถ้อยคำตัดพ้อต่อว่ากึ่งประณามแบบขวานผ่าซากที่อีกฝ่ายพิมพ์ส่งมาอย่างรัวๆ ทำให้บุปผชาติหน้าร้อนวาบ‘ไอ้คนลามก! ป่าเถื่อน! ไร้อารยธรรม!’‘ผัวก็เป็นทุกอย่างที่เมียยกย่องสรรเสริญนั่นแหละจ้ะยาหยีจ๋า เออ…ว่าแต่ ห้ามยิ้มให้ไอ้หน้าจืดที่ไหนอีกเป็นอันขาดนะ…เข้าใจไหม’‘จะยิ้มแล้วจะทำไม’‘ถ้าอยู่ใกล้จะดูดปาก แต่ตอนนี้ชักอยากกระทืบไอ้หน้าจืดที่ยาหยียิ้มให้ชะมัด’‘ไอ้คนพาล! ฉันจะยิ้มให้ใครมันก็เรื่องของฉัน’อึดใจต่อมาพ่อเจ้าประคุณก็ตอบกลับ ด้วยสำนวนยียวนกวนประสาทจนเธอแทบจะกรี๊ดลั่น‘เรื่องของเมียก็เหมือนเรื่องของผัว เราสองคนรวมร่างกันอย่างเมามัน ฉะนั้นเราก็เป็นเหมือนคนคนเดียวกัน ลืมแล้วหรือไงจ๊ะหวานใจจ๋า’‘โอ๊ยยย…บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่เมียคุณ’‘ได้ผมแล้วจะไม่รับผิดชอบเลยหรือไง ผู้หญิงใจร้าย! ไม่มีความรับผิดชอบ!…ฟันแล้วทิ้ง!’ ถ้อยคำประณามในท้ายประโยคนี่ร้ายแรงสุดๆ ทำเอาหญิงสาวถึงกับหน้ามืด‘คนเฮงซวย! คุณต่างหากที่เป็นฝ่ายข่มขืนฉัน’‘หูยยย…คนกระทำการข่มขืนที่ไหนจะตกเป็นเบี้ยล่างให้เมียขี่ โดนเมียปรักปรำอย่างนี้ไปแจ้งความได้ไหมจ๊ะ’ ข้อความตอกกลับทำให้บุปผชาติหน้าแทบไหม้ กัดฟันกรอดๆ ทั้งโกรธทั้งอายระคนกัน‘ไอ้ผู้ชายจอมมารยา! หื่นจิต! โคตรตอแหล! ไปตายซะ!’
คนละฟากฟ้า (30%)
บ้านเลขที่ 99/99 สีลม กรุงเทพมหานคร
คนที่ผ่านไปมาย่านนี้ต่างก็มองป่าเขียวขจีด้วยความแปลกใจ ในพื้นที่ทำเลทองของเมืองหลวงเช่นนี้ ใครล่ะจะคิดว่ายังมีป่ากลางเมืองได้ และที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคือมีบ้านทรงไทยสไตล์ล้านนา ทำด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์บนพื้นที่กว่าสามไร่ บ้านหลังงามที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น ดูกลมกลืนมองแล้วเป็นเหมือนป่ามากกว่าที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีอันจะกิน
ด้วยความที่สมาชิกภายในครอบครัวทุกคนรักในความเป็นไทยแท้ การตกแต่งทุกอย่างจึงเป็นแบบไทยๆ เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้าน สวนดอกไม้ สนามหญ้า สระเลี้ยงปลา และศาลากลางน้ำ ยกเว้นก็แต่ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ขนาดย่อม ที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนของหลังบ้าน ซึ่งประมุขของบ้านตั้งใจสร้างให้บุตรสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เพราะเห็นพรสวรรค์ในเรื่องวิทยาศาสตร์ของลูกที่ฉายแววตั้งแต่ยังเล็ก จึงส่งเสริมเธอในทุกรูปแบบ
สิ่งปลูกสร้างอันประณีตวิจิตรตระการตาทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นดั่งวิมานบนดินสำหรับสมาชิกในครอบครัวดิลกรัตนกุล เพราะมันล้วนอบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่น ที่คนในครอบครัวต่างหยิบยื่นให้แก่กัน
ปัจจุบันสมาชิกในครอบครัวหลงเหลืออยู่เพียงแค่สองคน นั่นก็คือประมุขของบ้าน นายบริรักษ์ ดิลกรัตนกุล ชายวัยห้าสิบห้าปี พ่อหม้ายภรรยาตายตั้งแต่ลูกสาวอายุได้เพียงสิบขวบ มหาเศรษฐีผู้ติดอันดับท็อปเท็นห้าปีซ้อนของเมืองไทย ทั้งในเรื่องทรัพย์สินที่ถือครองและการบริหารงานในองค์กรเป็นเลิศ เขากุมบังเหียนบริษัทดิลกรัตน์ อิมพอร์ต ซึ่งเป็นผู้นำเข้ายานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย ถึงวัยจะล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงเลขหกแล้ว แต่นายบริรักษ์ก็ยังคงเค้าความหล่อเหลาและภูมิฐานไว้ให้ได้เห็นเฉกเช่นสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม
ส่วนอีกหนึ่งชีวิตที่อาศัยอยู่ภายใต้ชายคาอันอบอุ่นแห่งนี้ก็คือ บุตรสาวและทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล นางสาวบุปผชาติ ดิลกรัตนกุล หรือยัยหนูแก้ม สาวน้อยมหัศจรรย์ วัยยี่สิบเอ็ดปี ผู้เป็นสุดยอดแห่งความอัจฉริยะ ไอคิวสูงเสียดฟ้า สุดเฉิ่ม ผมสั้น ใส่แว่นตาหนาเตอะ และพ่วงมาด้วยตำแหน่งวิศวกรสาวผู้มากความสามารถอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เธอผู้ไม่เคยสนใจโลกภายนอก จะสนก็แต่เครื่องยนต์กลไกและงานวิจัยระดับชาติเท่านั้น สำหรับความรักแบบหนุ่มสาวน่ะเหรอ อย่าถามถึงมันเลย เพราะคนอย่างบุปผชาติไม่เคยสัมผัสมันด้วยซ้ำในชีวิต
“เย้ๆๆ ดีใจจังเลย ในที่สุดฝันของแกก็เป็นจริงแล้วยัยแก้มเอ๋ย” น้ำเสียงลิงโลดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเวลานี้เจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ไหน
บุปผชาติกำลังกระโดดโลดเต้น ร้องเฮลั่นบ้าน ด้วยความดีอกดีใจ ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Professional Enterprise and Development ติดต่อมาขอซื้อตัวเธอไปร่วมงาน บริษัทดังกล่าวเป็นผู้ผลิตรถเเข่งและเครื่องบินระดับโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ถึงแม้บริษัทนี้จะเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ก็สามารถผงาดติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก เพราะทางบริษัททุ่มทุนกว้านซื้อตัววิศวกรและนักวิทยาศาสตร์มากความสามารถจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยความไม่หยุดยั้งในการพัฒนา ทดลองหานวัฒตกรรมใหม่ๆ โดยได้รับแนวคิดสร้างสรรค์จากบุคลากรหัวกะทิระดับโลก จึงทำให้องค์กรสามารถเบียดคู่แข่ง ขึ้นมาแย่งพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างเต็มภาคภูมิ
“ป๊ะป๋าจ๋า ป๊ะป๋าอยู่ไหนเอ่ย?” บุปผชาติร้องตะโกนเสียงใสเรียกหาบิดา พร้อมสอดส่ายสายตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นไปทั่วบริเวณบ้าน
“ป๋าอยู่นี่ยัยหนู มีอะไรลูก เสียงดังไปถึงหน้าบ้านเชียว” ผู้ที่เพิ่งมาจากวิ่งออกกำลังกายรับอรุณเลิกคิ้วถามบุตรสาวด้วยความแปลกใจ เพราะเสียงของเธอดังมาก
ทั้งที่เจ้าตัวไม่มีนิสัยพูดจากระโชกโฮกฮากหรือเอะอะโวยวาย แต่ตรงกันข้ามกลับพูดจาไพเราะอ่อนหวานสมกับเป็นกุลสตรีไทย ใสซื่อบริสุทธิ์ มีใบหน้ากระจ่างผุดผาด ดวงเนตรสุกสกาวดั่งดาวที่พราวพร่างอยู่กลางนภา ประกอบกับทรวดทรงอันดูสมส่วน ทั้งที่รูปร่างหน้าตาออกจะสะสวยและน่ารักสมวัย ทว่าบุปผชาติกลับชอบแต่งตัวปกปิดความงดงามของตัวเองด้วยการใส่เสื้อผ้าเชยๆ และสวมแว่นตาหนาเตอะ
คนภายนอกอาจจะมองว่าเธอดูนิ่งๆ ซื่อๆ ทว่าที่จริงแล้วอ้อนเก่งซะไม่มี แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้บิดาหลงบุตรสาวสุดที่รักจนหัวปักหัวปำ
“แก้มมีอะไรจะให้ป๊ะป๋าดูค่ะ แต่น…แต่น…แต๊น…” รอยยิ้มเต็มใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราและน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีจนปิดไม่มิดยิ่งทำให้บิดาสงสัยเข้าไปใหญ่
“ห๊ะ!!! ยะ…ยัยหนูสมัครไปตั้งแต่ตอนไหนลูก?” ผู้เป็นพ่อตกใจจนหน้าซีด เมื่อเห็นสิ่งที่ลูกสาวภูมิใจนำเสนอ ด้วยน้ำเสียงลิงโลด นี่ลูกเขาแอบส่งโปรไฟล์ไปพรีเซนต์ตัวเองกับบริษัทชั้นนำของโลก และทางนั้นก็สนใจจะซื้อตัวเธอ แต่ที่มันแย่ไปกว่านั้นคือบุปผชาติดันตอบตกลงซะด้วยนี่สิ นายบริรักษ์คิดว่าลูกสาวจะแค่พูดเล่นๆ แต่เธอกลับทำจริงได้ซะนี่ แล้วพ่ออย่างเขาจะทำใจให้ลูกจากอกได้ยังไงไหว
“ป๊ะป๋าขา…หนูขอไปทำงานนี้นะคะ” บุปผชาติขออนุญาตบิดาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“ไม่ได้! ยังไงป๋าก็ไม่ยอมเด็ดขาด!” ผู้เป็นพ่อปฏิเสธน้ำเสียงเฉียบขาด เผลอตวาดดังลั่นจนลูกสาวสะดุ้งสุดตัว
เมื่อบุปผชาติเห็นว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผลจึงแสร้งบีบน้ำตาคลอเบ้า ปั้นสีหน้าให้ดูเศร้าสลดและผิดหวังเสียใจสุดขีด ทำเอาผู้เป็นพ่อใจหายวาบ
“ฮึก…คุณป๋าไม่รักแก้มแล้ว” เสียงพูดขาดเป็นห้วงๆ เพราะแรงสะอื้น สาวน้อยมักงัดมารยาเล็กๆ ออกมาใช้กับบิดาเสมอ เพราะรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วท่านต้องยอมใจอ่อน
“เอ่อ…ยัยหนูฟังป๋านะลูก ลูกจะไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวได้ยังไง” เมื่อเห็นน้ำตาลูกสาวคนเป็นพ่อก็หัวใจกระตุก รีบผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลงกว่าเดิมทันที
“ได้สิคะ ลูกสาวป๊ะป๋าโตแล้วนะ” บุปผชาติยืนยันกับบิดาด้วยความมั่นอกมั่นใจ เพราะตอนนี้เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว และก็จบด็อกเตอร์ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบปี ฉะนั้นเธอจึงมั่นใจว่าสามารถดูแลตัวเองได้
“ถึงลูกจะโตแล้ว แต่ลูกก็ยังเป็นเด็กสำหรับป๋าเสมอนะแก้ม” ในสายตาของนายบริรักษ์บุตรสาวของเขาช่างไร้เดียงสายิ่งนัก
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอแทบจะไม่ได้ไปไหนมาไหนคนเดียวเลยด้วยซ้ำ จะไปไหนแต่ละทีก็ต้องมีบอดี้การ์ดคอยติดตามคุ้มครองตลอดไม่ห่างกาย จะปล่อยให้ขับรถไปเองเฉพาะเวลาไปเรียนเท่านั้น แล้วนี่จะไปเผชิญโลกกว้างเพียงลำพัง เขาไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไง เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงจนหัวใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย
หลังจากนั้น สองพ่อลูกก็นั่งโต้แย้งกัน ครั้งนี้บุปผชาติยอมพ่อไม่ได้จริงๆ เพราะข้อเสนอของทางบริษัทช่างหอมหวานยั่วยวนใจยิ่งนัก สิ่งที่เธอต้องการจากสัญญาสองปี ไม่ใช่จำนวนตัวเลขที่ทางฝรั่งเศสเสนอมาให้เป็นค่าตัว แต่มันคือประสบการณ์อันล้ำค่าครั้งหนึ่งในชีวิตซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหนต่างหากล่ะ
ยิ่งรู้ว่าตนจะได้ไปทำงานใน New Model ของรถแข่งฟอร์มูล่าวันและเครื่องบินเจ็ทรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทางบริษัทได้วางแพลนว่าจะเปิดตัวภายในสองปีนี้ บุปผชาติก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลงเลยสักนิด เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาโดยตลอด ใครล่ะจะไม่อยากไปร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่รวมเอายอดอัจฉริยะบุคคล ผู้มีไอคิวสูงและเก่งกาจ มาไว้ในองค์กรเดียวกัน ยิ่งคิดยิ่งน่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับสาวเฉิ่มจอมอัจฉริยะอย่างบุปผชาติ ดิลกรัตนกุล
“ป๊ะป๋าให้แก้มไปเถอะนะคะ นะ…นะ…คุณป๋าสุดหล่อ” สาวน้อยเกาะแขนบิดาแน่น ปากก็พร่ำออดอ้อนออเซาะ แนบแก้มถูไถลำแขนแกร่ง พร้อมเงยหน้าทำตาปริบๆ ให้น่าเห็นใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กิริยาคล้ายแมวน้อยที่กำลังอ้อนเจ้านายของมันอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก หนูเป็นผู้หญิง ป๋าไม่อยากให้ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวเลย” ใจคนเป็นพ่อพลันอ่อนยวบ เพียงได้ยินเสียงอ่อนเสียงหวานของผู้ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ แจ้งความประสงค์ชัดเจนว่าต้องการห่างจากอกตนเพื่อไปทำงานแดนไกล จะให้เขาปล่อยเธอไปได้ยังไง เลี้ยงดูมาตลอดยี่สิบเอ็ดปี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ถ้าไปอยู่ไกลหูไกลตาแล้วใครจะดูแล
“แต่แก้มอยากไปทำงานที่ตัวเองใฝ่ฝันนี่คะ นะคะ…ได้โปรดให้ลูกไปเถอะนะคะ” หญิงสาวยื่นศีรษะไปซบอกอุ่นของบิดาพร้อมเอ่ยเสียงหวาน เพียงหวังว่าท่านจะยอมใจอ่อนและเห็นใจเธอบ้าง
“ถ้าหนูไป แล้วป๋าจะอยู่กับใครล่ะลูก?” ผู้เป็นพ่อทำหน้าบึ้งตึงด้วยความไม่ชอบใจที่ครั้งนี้ดูท่าว่าลูกจะไม่ยอมเปลี่ยนใจเป็นแน่แท้
“ป๊ะป๋าก็หาสาวมาอยู่ด้วยสักคนสิคะ จะได้ไม่เหงา…อิอิ” บุปผชาติพูดติดตลก เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นบิดารักมารดาของเธอมากแค่ไหน พอแม่จากไปท่านก็ครองตัวเป็นโสดมาตลอด ไม่เคยข้องแวะกับหญิงใด สิ่งที่ท่านทำก็มีเพียงแค่การเอาใจใส่ดูแลเธอและบริหารธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของท่านทั้งสิ้น
“ลูกสาวคนเดียวป๋าเลี้ยงได้ ธุรกิจของเราก็มีเยอะแยะ แล้วทำไมหนูต้องไปทำงานให้เหนื่อยด้วยลูก ป๋าไม่เข้าใจเลยจริงๆ” นายบริรักษ์ยังคงหาข้อโต้แย้งมาทำให้ลูกสาวล้มเลิกความตั้งใจ
“แต่ลูกอยากทำในสิ่งที่ตัวเองรักนี่คะ” เด็กดื้อยังคงดึงดันที่จะทำตามใจปรารถนาให้ได้ ไม่ว่าบิดาจะห้ามปรามยังไงสาวน้อยก็ยังดันทุรังอยู่วันยังค่ำ บุปผชาติจะทำอย่างนี้จนกว่าพ่อจะใจอ่อนและอนุญาตให้ไปนั่นแหละ
“แล้วธุรกิจของเราใครจะสืบทอดล่ะ เมื่อไม่มีป๋าแล้ว” นายบริรักษ์เอ่ยเสียงแผ่ว สีหน้าดูสลดเมื่อคิดว่าบริษัทนำเข้ายานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สิ่งที่ตัวเองสร้างมากับมือจะล่มสลายไปพร้อมกับลมหายใจ เพราะลูกสาวไม่สนใจที่จะสืบทอดกิจการ
“คุณป๋าอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ คุณป๋าต้องอยู่กับหนูไปนานๆ เป็นร้อยๆ ปีเลยค่ะ” สาวน้อยเหลือบเห็นแววตาหม่นแสงของบิดาก็รีบโอบกอดร่างหนาไว้แน่น พร้อมซบอกอุ่น แล้วพูดปลอบใจด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ไม่ต้องมาอ้อนซะให้ยาก ยังไงป๋าก็ไม่ให้ไปหรอก หนูต้องอยู่บริหารงานที่บริษัทช่วยป๋า” เป็นตายร้ายดียังไงนายบริรักษ์ก็ไม่มีวันยอมให้ลูกสาวไปทำงานที่ฝรั่งเศสแน่ เพราะลำพังเงินรายได้ของเขาปีๆ หนึ่งบุปผชาติก็ใช้ได้อย่างสุขสบายไปทั้งชาติ โดยไม่ต้องไปตรากตรำลำบากในต่างแดน
“ให้ลูกไปหาประสบการณ์เถอะนะคะ ลูกสัญญาว่าจะไปเพียงแค่สองปี แล้วจะกลับมาบริหารงานช่วยป๊ะป๋าอย่างแน่นอนค่ะ…นะคะ” ใช่ว่าสาวเจ้าจะไม่ละอายใจที่จะต้องไปจากบิดา แต่เธอต้องการทำฝันของตัวเองให้เป็นจริงเสียก่อน อยากนำความรู้ความสามารถไปทำในสิ่งที่ตนใฝ่ฝัน แล้วเมื่อถึงวันที่ได้รู้ทุกอย่างตามที่ต้องการ เธอจะกลับมาบริหารงานช่วยท่านอย่างแน่นอน
“งั้นก็ได้ลูก แต่หนูต้องสัญญากับป๋าว่าจะไปอยู่ที่ฝรั่งเศสแค่สองปีนะ” สุดท้ายประมุขของบ้านก็ต้องยอมลงให้ลูกสาวสุดที่รักอยู่ดี เพราะเธอช่างออดอ้อนออเซาะเก่งนักนี่ เพียงเห็นน้ำตาปริ่มขอบตาผู้เป็นพ่อก็ไม่อยากจะขัดใจเสียแล้ว
“ค่ะลูกสัญญา ขอบคุณป๊ะป๋ามากนะคะ รักป๊ะป๋าที่สุดในโลกเลย” ขาดคำเจ้าของร่างอ้อนแอ้นก็กระโดดกอดคอบิดา แล้วหอมแก้มที่เริ่มเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แววตาเป็นประกายพราวระยับ บ่งบอกได้ดีว่าเธอมีความสุขและยินดีมากแค่ไหน