บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 6 รอยอดีต ผิดแล้วยากแก้ไข

โครมมมมม

กันเตอร์รีบคว้าจันทร์เจ้าขาเข้าสู่อ้อมกอดได้ทันเวลาพอดี ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองระคนเจ็บปวดให้คนก่อเรื่องถึงขีดสุด ครั้นจะบีบขยี้สิ่งของในห้องให้แหลกเป็นผุยผง กลุ่มคนแต่งกายประหลาดมากมายก็วิ่งเข้ามาในที่เกิดเหตุ พร้อมกับพลังบางอย่างที่แทรกผ่านเข้ามาสกัดจุดคนก่อเรื่องให้กลับไปยังมิติเดิม

“เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่!!” ชายชราหน้าเด็กตวาดเสียงดังทั้งยังคลายจุดให้อีกฝ่าย ครั้นเห็นว่าเป็นผู้ใด เจ้าสำนักหนุ่มก็ทำหน้านิ่งทั้งยังตั้งคำถามกลับเสียจนคนตอบแค่นเสียงไม่พอใจ

“ท่านตาหรือ?” หลี่ไท่มู่จงเอ่ยเรียกคนตรงหน้าเสียงแผ่วราวกับไม่สนใจอะไร

“ฮึ!! ตอบได้น่าตายนัก ข้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะเรื่องไร้สาระของเจ้าเหมือนกัน ยังจะกล้าถามแค่นี้รึ เจ้าหลานเลว!"

ยิ่งถามแล้วได้คำตอบว่าตนคุยกับอากาศ ตาเฒ่าหน้าเด็กก็พลันมีโทสะขึ้นอีกห้าส่วน นึกอยากจะป่นขยี้สิ่งไม่มีชีวิตต่างๆในห้องให้แหลกลาน ก็นึกขัดว่าหลานอาจไม่พอใจ แต่ดูมันทำเข้าสิ เจ้าสาระเลวนั่นตอบให้รู้สึกดีแม้เพียงครึ่งคำแล้วหรือยัง

“เจ้าก่อเรื่องอันใดรู้ตัวหรือไม่มู่จง ยังจะทำเป็นเด็กๆอีกหรือ เห็นทีตำแหน่งเจ้าสำนัก คงต้องหวนคืนให้ข้าเสียแล้วกระมัง”

หากไม่ได้รับรายงานจากอู๋เจ๋อฟางเรื่องที่สองสามวันมานี้ เจ้าสำนักหลี่เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ขยันฝึกวรยุทธ์ให้ศิษย์ในสำนักเหมือนครั้งก่อน คิดว่าแปลกไปมากแล้ว ก็เร่งรีบเดินทางกลับมาให้เร็วขึ้น แต่พอได้มาเห็นกับตา อยากโกรธก็โกรธไม่สุด พอนึกขึ้นได้ว่าขากลับเข้าสำนัก บรรยากาศขมุกขมัวชวนให้ฆ่าตัวตายหนีความหนาวแล้ว ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเจ้ามู่จงมันต้องมีแผนอันใดเป็นแน่ แม้ยอดเขาซงซานจะเป็นแหล่งรวมฤดูกาลทั้งสี่ แต่มันก็ไม่ควรเอาความเป็นตายของผู้อื่นมาเล่นกับภัยธรรมชาติเช่นนี้!

“เจ้าทำให้อากาศบนยอดเขาแปรปรวน ยังจะแก้ตัวอะไรอีกอ๋องน้อย” อดีตเจ้าสำนักตั้งใจเอ่ยพระนามเดิมของหลานชายคนรองให้รู้จักสำนึก เมื่อครั้งก่อนที่จะมาสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหงส์มังกรดำจริงจัง หากทำผิดอีกก็มีแต่ต้องปลดตำแหน่งออก ทว่าคนที่ถูกด่านับครั้งไม่ถ้วน ยังคงแสดงสีหน้าเย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย ด้วยไม่คิดว่าจะใช้คำพูดสิ้นเปลือง จึงตั้งใจทิ้งลูกไฟดวงใหญ่กลับไปให้อดีตเจ้าสำนักเฒ่าสะอึกเล่นๆ

“เป็นบุรุษ ลั่นวาจาแล้วห้ามคืนคำ”

“นี่เจ้า!!...ฮึ่ม! ยังคิดจะทำอีกรึ!”

“ระงับโทสะก่อนเถิดขอรับนายท่านใหญ่”

อู๋เจ๋อฟางคนขี้ฟ้องรีบออกหน้ารับแทนเพราะเกรงว่าอดีตเจ้าสำนักที่ใครๆต่างก็รู้ว่าถึงจะแก่แค่ไหน แต่ฝีมือวรยุทธนับว่าก้าวล้ำหาผู้ใดเทียมได้ยาก นอกจากผู้เป็นหลานที่ได้รับการสืบทอดมาโดยตรง แต่แล้วอย่างไร เป็นศิษย์อย่างไรก็ไม่มีวันล้างครูสำเร็จ ข้อนี้อู๋เจ๋อฟางไตร่ตรองดีแล้ว จึงไม่อยากให้ความดื้อรั้นของนายน้อยต้องนำภัยมาสู่ชีวิต ถ้าเคราะห์ดีหน่อยคงไม่แคล้วถูกสั่งลงโทษลับๆฉบับตาหลาน

“เจ้าก็คอยแต่ให้ท้ายอยู่ได้” หันไปดุผู้คุ้มกันอู๋จนหน้าซีดเสร็จ ก็หันมาเก็บหลานชายต่อทันที

“เล่าเรื่องมาให้หมด อย่าได้ปิดบังข้า หาไม่แล้ว ความคิดไร้สาระของเจ้าเฒ่านั่น อาจถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกก็ย่อมได้"

อดีตเจ้าสำนักฝูยื่นคำขาด ทั้งยังไม่ลืมเหน็บแนมฮ่องเต้ผู้เป็นเสด็จปู่ ซึ่งวันๆคอยหาแต่เมียใหม่ให้หลานเป็นว่าเล่น ในเมื่อมอบจงเอ๋อร์ให้กับเขาแล้ว ก็อย่ายื่นมือเข้ามายุ่งนักสิ

ฝูจิ้งอวิ๋นรู้ดีว่าหลานชายคนรองนิสัยเป็นเช่นไร เมื่อได้รับอะไรที่ไม่ตรงกับใจ เขามักยอมหักแต่ไม่ยอมงอเสมอ บ่อยครั้งจึงถูกฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแง่งอนอยู่บ่อยครั้ง และเป็นฝ่ายนั้นที่ยอมกลืนน้ำลายตัวเอง ส่งของมาง้อหลานถึงหน้าสำนักอยู่ร่ำไป สุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า พ่ายแพ้ให้กับความดื้อรั้นของนัดดาคนโปรดจนน่าระอาย

แต่ครั้งนี้จงเอ๋อร์ทำเกินไป แม้เขาจะไม่ค่อยสนอะไรนัก แต่การใช้พลังยุทธพร่ำเพรื่อจนสร้างความเสียหายแก่สำนักและบรรดาลูกศิษย์ ข้อนั้นย่อมหายอมความได้ง่ายไม่

“ท่านใจเย็นๆก่อนได้หรือไม่ จงเอ๋อร์ไม่ใช่คนเหลวไหลอย่างที่ท่านกล่าวหาแน่ หากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้เพื่ออะไร”

ฮูหยินฝูเดินเข้ามาในห้องพร้อมสาวใช้ที่ยกน้ำแกงลูกบัววางไว้ ก่อนจะผายมือไล่คนนอกออกไป เหลือเพียงเจ้าสำนักหลี่ อดีตเจ้าสำนักฝู ฮูหยินเฒ่าฝู และผู้คุ้มกันอู๋เท่านั้น

“เช่นนั้นท่านตาก็ลงโทษข้าเถิด”

หลี่ไท่มู่จงคุกเข่าลง ไม่คิดสนใจแม้ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไร บ่อยครั้งที่จิตใจจะล่องลอยเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน ถ้าไม่ใช่คนสนิทก็ยากจะได้เห็น ใบหน้าที่ราบเรียบ ไม่ได้ย่ำแย่ไปกว่าหัวใจที่เจ็บปวด แต่หากให้ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่เห็นภาพบาดตาบาดใจนั้น ก็ได้แต่ขบสันกรามแน่น นิ้วมือทั้งห้าบัดนี้กำจนเส้นเลือดปูดโปน ตลอดหลายปีเฝ้าคิดถึงแต่ฮูหยินเพียงหนึ่งเดียว แต่นางกลับปันใจไปให้ชายอื่นทั้งที่เขาต้องทรมาน

ลี่เอ๋อร์ เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร

ฮูหยินเฒ่าฝูเห็นหลานชายเงียบไปก็ชักหวั่นใจ ใบหน้าเศร้าหมองนั้นใช่ว่าจะไม่เคยเห็นยามอยู่ตามลำพังยายหลาน หากแต่เวลานี้นางรู้สึกว่าจงเอ๋อร์แสดงออกมาโจ่งแจ้งเกินไป อีกทั้งผู้คุ้มกันอู๋ก็ยากนักจะได้เห็น จึงค่อนขอดในใจว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะตาเฒ่าไม่รู้จักคิดเช่นฝูจิ้งอวิ๋นเป็นแน่แท้

“จงเอ๋อร์ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”

อย่างไรนางก็ลำเอียงรักหลานมากกว่าอดีตเจ้าสำนักฝูอยู่แล้ว เห็นหลานรักไม่ลุกขึ้น ก็พยุงด้วยสองแขนตนเองมันเสียเลย มือเรียวที่ยังคงสาวคอยปัดฝุ่นทั้งจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ หันตาขวางๆไปทางผู้เป็นสามี

“ใจร้ายนักนะตาเฒ่า จงเอ๋อร์แค่ฝึกวิชาเท่านั้น ท่านจะอะไรนักหนา คนทั้งหุบเขาก็หาได้เป็นอันใดไม่ เช่นนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของหลานข้า” ตาเฒ่าฝูแววตาแข็งค้าง คิดในใจว่าให้มันได้อย่างนี้สิ เมื่อไหร่จะสนใจข้ามากกว่าเจ้าหลานอกกตัญญูผู้นี้เสียที

“ขอบคุณท่านยาย แต่ที่ข้าทำนั้น หาใช่ไม่มีเหตุผล หากจะกล่าวให้ถูก พวกท่านคงลืมไปแล้วกระมัง เมื่อแปดปีก่อนที่หุบเขาปีศาจกินคน....” เจ้าสำนักหลี่ค่อยๆเล่ารายละเอียดให้สองผู้เฒ่าและหนึ่งผู้คุ้มกันฟังด้วยใบหน้าเรียบสนิท ทุกคนต่างตกตะลึงไปตามๆกัน ด้วยไม่คิดว่าเรื่องบังเอิญเช่นนี้จะมีอยู่จริง

“กลับชาติมาเกิดอย่างนั้นหรือ” ฝูจิ้งอวิ๋น คนที่เหมือนไม่รู้อะไรแต่ก็ท่าเยอะ เอ่ยรวบรัดสรุป

“ไม่แปลกหากเจ้าจะรับรู้การมีตัวตนของนาง" ฝูจิ้งอวิ๋นวิเคราะห์ "ตอนนั้นก่อนภรรยาเจ้าจะตาย นางกลืนลูกแก้วหงส์มังกรฟ้าไป เป็นไปได้ว่าพลังนั้น อาจรวมเป็นหนึ่งในร่างนางตั้งแต่เกิดแล้ว คงไม่แปลกหากว่านางจะไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังวิเศษ และนางอาจทำบางอย่าง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมประตูเชื่อมภพจึงเปิดออก"

สายตาคมของท่านตาจ้องหลานชายอย่างสื่อความหมาย "จงเอ๋อร์ ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดจะทำอะไร"

เจ้าสำนักหนุ่มจ้องตอบ รอเพียงถ้วยน้ำแกงเย็นชืดจนหมดไอร้อน จึงได้เก็บความรู้สึกนั้นให้จมมิดไปกับห้วงน้ำแข็งในจิตใจ

“ท่านตาคิดอย่างไร ข้าก็คิดเช่นนั้น”

เจ้าสำนักหลี่กล่าวเสียงเรียบ ไม่แสดงอาการโจ่งแจ้งเหมือนที่ฝูจิ้งอวิ๋นคิดอีก ถึงอย่างไรก็เถอะ ด้วยเป็นที่ทราบกันดีว่า เดิมทีก่อนที่สำนักหงส์มังกรดำจะใช้คำว่าหงส์นั้น ก็มีเพียงสำนักมังกรดำเท่านั้นในยุทธภพ แต่ซินแสที่พระชายาหลี่ ซึ่งเป็นพระมารดาของเจ้าสำนักหลี่ไท่มู่จงรู้จัก ดันทักให้ใส่คำว่าหงส์นำหน้าเพื่อความเป็นสิริมงคล นับแต่นั้นมาสำนักมังกรดำจึงเป็นเพียงอดีต ซ้ำยังไม่คาดคิดว่าต่อมาจะได้แต่งบุตรีเพียงคนเดียวของตระกูลหยางมาเป็นสะใภ้ ซึ่งทราบกันดีว่าสัญลักษณ์ของตระกูลหยางคือหงส์มังกรฟ้า

“มีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลก" คนต่างวัยทั้งสามหูผึ่งด้วยความสนใจ

“เดิมทีเคล็ดวิชาครึ่งวิญญาณนี้ สามารถทำได้เต็มความสามารถที่มี แต่เหตุใดเมื่อใช้กับลี่เอ๋อร์ ข้ากลับรู้สึกว่าใช้ได้เพียงครึ่ง แถมยังมีเวลาจำกัด ข้าเองก็ไม่สามารถใช้ทั้งร่าง หายตัวไปยังโลกของนางได้นานๆ ท่านตารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”

ฝูจิ้งอวิ๋นครุ่นคิดครู่หนึ่ง เดิมทีเคล็ดวิชาครึ่งวิญญาณเป็นการระบุตัวตนของผู้ใช้ในอีกสถานที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาเก่าแก่ชั้นสูงที่ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหงส์มังกรดำเท่านั้นที่สามารถทำได้ นอกจากจะฝึกสำเร็จยากแล้ว ผู้ฝึกยังต้องเดิมพันด้วยชีวิต ซึ่งหากสำเร็จ ผู้ใช้ก็สามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา

แต่ว่า ความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็มีขีดจำกัด

“อาจเป็นเพราะพลังหงส์มังกรฟ้าก็เป็นได้ มิตินั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของนาง แต่การรักษาลูกแก้วหงส์มังกรให้มีพลังเสถียรที่สุด คือการฝังในร่างของนางต่างหาก เพียงแต่..นางแค่ควบคุมพลังไม่เป็น เมื่อเจ้าอยู่ใกล้นาง กลิ่นอายแห่งสัตว์เทพย่อมปกป้องเจ้าของร่าง เพราะมันคิดว่าเจ้ามีวรยุทธ์ค่อนข้างสูง หรือกล่าวอีกนัยคือ มันกลัวเจ้าทำอันตรายกับนาง ถ้าพลังนางจะต้านเจ้าไว้ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก"

“เช่นนั้นควรทำอย่างไรขอรับ"

“ทำอย่างไรหมายถึงอย่างไร? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากให้นางกลับมาที่นี่หรอกหรือ"

ฝูจิ้งอวิ๋นมองหลานรักปราดเดียวก็ทะลุไปถึงลำไส้ใหญ่ หน็อยแน่เจ้าคนสาระเลว คิดจะพรากพ่อพรากแม่ พรากนางไปจากครอบครัวหรือ ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีน่ะสิ

“ลี่เอ๋อร์นางเป็นฮูหยินของข้า ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ นางก็จะเป็นฮูหยินเพียงคนเดียวของข้า” ถ้อยคำชัดเจนถึงจะไม่หวานพอให้คนอื่นฟัง แต่นั่นคือความจริงใจทั้งหมดที่ส่งผ่านริมฝีปากอิ่ม อดีตเจ้าสำนักฝูลูบเคราพึงพอใจในความมั่นคงนี้ ทั้งยังซ่อนความลำบากใจไว้เบื้องลึก

“เช่นนั้นเราก็ควรพาตัวนางกลับมาสิ ทั้งลูกแก้วและนางจะต้องได้รับการปลดปล่อยให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม” ฮูหยินฝูออกความเห็นอย่างกระตือรือร้น นางมีความหวังว่าไม่นานหลานสะใภ้จะกลับมา

“ข้าน้อยไม่รู้ว่าหากแสดงความคิดเห็นจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ แต่ว่าท่านเจ้าสำนักขอรับ ให้ข้าได้พูดอะไรซักสองสามประโยคได้หรือไม่”

อู๋เจ๋อฟางที่ยืนนิ่งอยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง เจ้าสำนักหลี่พยักหน้า แต่ไม่ตอบอะไร

“ขอบคุณขอรับ” ผู้คุ้มกันหนุ่มโค้งศีรษะเล็กน้อยพลางกล่าว “หากที่นายท่านฝูพูดว่าฮูหยินน้อยกลับชาติมาเกิดในอีกมิติหนึ่งจริง เช่นนั้นการนำตัวนางกลับมา ย่อมมีความลำบากอยู่หลายส่วน ข้าคิดว่า ในมิตินี้นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าหยางและฮูหยินใหญ่ เช่นนั้นในอีกมิติหนึ่ง นางย่อมเป็นบุตรีสกุลใดสกุลหนึ่งเช่นกันขอรับ หากเราต้องการนางมาจริง ย่อมไม่เป็นผลดีกับครอบครัวทางนั้น"

ทุกคนพยักหน้าตามที่ผู้คุ้มกันหนุ่มคิด ยกเว้นเจ้าสำนักหลี่ที่แต่เดิมมีความหวัง พลันหัวใจก็กระตุกหลายส่วนทั้งที่สีหน้ายังเรียบสนิท

“หากจะกล่าวก็ไม่ผิด เพราะแต่เดิมตระกูลหยางเป็นผู้สืบทอดวิชาหงส์มังกรฟ้า หากเจ้าคิดจะดึงนางกลับจริง เช่นนั้นก็ควรให้ธรรมมะเป็นฝ่ายนำทาง”

แต่การจะให้ธรรมมะเป็นฝ่ายนำทางได้นั้น อาจต้องแลกกับอะไรบางอย่างซึ่งถ้าพูดออกไปตอนนี้ เจ้าสำนักหลี่ต้องไม่ยินยอมแน่ เจ้าสำนักหลี่ที่คาดเดาความหมายแฝงออกมิกล่าวสิ่งใด สีหน้ายังเรียบสนิท หากทว่าในใจกลับเต้นรัว

“เชิญท่านตาพูดมาอย่าได้ปิดข้า”

“ย่อมมี แต่เจ้าคิดดีแล้วหรือ หากดึงนางกลับมาได้จริง พลังในตัวนางจะยิ่งเป็นผลเสียต่อเจ้ามากมายนัก"

"เหตุใดจึงเป็นผลเสียได้เล่า"

"พลังหงส์มังกรฟ้าหลอมรวมเป็นหนึ่งกับร่างนางนานแล้ว นางเติบโตในภพใหม่ การใช้พลังไม่เป็น จะทำให้นางปลอดภัย แต่หากนางต้องมาที่นี่ด้วยชะตา ข้าก็ไม่อาจรับประกันว่านางจะควบคุมพลังได้ หากต้องเผชิญกับอันตรายที่คาดไม่ถึง และข้ามั่นใจว่า สิ่งที่นางจะทำมากที่สุดก็คือการแก้แค้นให้ตระกูลหยาง”

ตาเฒ่าฝูจิ้งอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

"เหล่าจอมยุทธ์ในใต้หล้า หากพวกเขารู้ว่าภรรยาเจ้ามีพลังวิเศษในกายมาแต่กำเนิด มันจะคุ้มจริงหรือ หากพวกเขาต้องการตัวนาง ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายนะจงเอ๋อร์”

ได้ฟังดังนั้นเจ้าสำนักหลี่ก็สีหน้าเข้มขึ้น

"ข้าไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายนางแน่ ท่านตาโปรดวางใจ"

"การสังหารนางไม่ใช่จุดจบของเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าเมื่อได้ลูกแก้วหงส์มังกรเซียนมาแล้ว ผู้คนทั้งใต้หล้าจะไม่แก่งแย่งกันอีกหรือ บางทีอาจเกิดสงครามที่เราอาจคาดไม่ถึงก็ได้ ลองตรองให้ดีนะจงเอ๋อร์"

"แต่หากนางอยู่ที่นั่น ข้าก็ไม่อาจวางใจว่านางจะสามารถควบคุมพลังได้"

"เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาตรงๆเถิดจงเอ๋อร์ ยายรับฟังเจ้าอยู่ตรงนี้" ฮูหยินเฒ่าฝูบีบมือหลานรักอย่างให้กำลังใจ

"ข้าคิดถึงนาง ข้าลืมนางไม่ได้จริงๆ แม้แต่วันเดียวก็ลืมไม่ได้" หลี่ไท่มู่จงกล่าวเสียงเศร้า แม้ใบหน้ายังคงเรียบสนิท แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหัวใจของเขาค่อนข้างเจ็บปวดยาวนาน

สองผู้เฒ่าหันมองหน้ากันด้วยความลำบากใจ แต่ไหนแต่ไรจงเอ๋อร์ไม่เคยแสดงอาการอ่อนแอเช่นนี้ แต่เป็นเพราะความรู้สึกผิดในใจ ที่ในวันนั้นไม่ได้เลือกอยู่ข้างนาง แต่กลับมองความถูกต้องโดยไม่ฟังคำอ้อนวอนของนางเป็นหลัก

ความรักทั้งหมดที่มี หยางเยว่ลี่ชั่งน้ำหนักและหันหลังให้เขา ย่อมไม่มีใครกล่าวโทษนางได้โดยตรง

บุพการีต้องมาก่อน…

จนวาระสุดท้ายที่นางสังเวยชีวิตด้วยลูกแก้วหงส์มังกร เขาถึงนึกได้ว่าควรเชื่อใจนางมากกว่าสิ่งใด ทว่า มันก็สายไปแล้ว นางไม่มีวันหวนกลับมา เว้นแต่โชคชะตาเท่านั้น…

คิดมาถึงตรงนี้ หยาดน้ำตาเจ้าสำนักหนุ่มผู้ไม่เคยยอมอ่อนให้ผู้ใด ก็ค่อยๆรินไหล ความคะนึงหาและเจ็บปวดหลายปีที่ผ่านมา แม้สองเฒ่ารับรู้มาโดยตลอด ก็ไม่อาจสัมผัสได้หากไม่ใช่หลี่ไท่มู่จงคนนี้

ขอโทษที่คิดถึงเจ้า..ฮูหยิน

"จงเอ๋อร์ เจ้า…"

"ข้าจะปกป้องนาง" เจ้าสำนักหลี่ปรับสีหน้าหมดอาลัยตายอยากทิ้งไป น้ำเสียงที่กล่าวหนักแน่นมั่นคง "จะปกป้องจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และหากข้ามีอันเป็นไป ขอเพียงได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางอีกซักครั้ง ก็คือความสุขที่แท้จริงแล้ว"

"นี่เจ้า.."

"ข้าตัดสินใจแล้วท่านตาท่านยาย หากชะตาไม่เข้าข้างข้า เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้กำหนดเอง ข้าจะสอนนางควบคุมพลัง และหากข้าทำไม่ได้ ข้าจะยอมตายด้วยมือของนางเอง"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel