บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 ความในใจ

เช้าวันนี้จันทร์เจ้าขาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเร็วกว่าเพื่อนเป็นพิเศษ ถึงแม้จะไม่มีผ้าพันคอสีแดงเหมือนเมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา อานิสงค์ของการสวดมนต์จะช่วยเหลือเธอแต่อย่างใด

“อีกแล้วเหรอเนี่ย!”

อยากจะตบกระบาลตัวเองซักสิบรอบ แต่ก็จำต้องวิ่งเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำอย่างไว รอยแดงช้ำตรงจุดเดิมเมื่อวาน เพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นจนน่าตกใจ และที่สำคัญไปกว่านั้น มันยังสลับข้างมาอีกฝั่งจนน่าโมโห เธอได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจแล้วอาบน้ำจนเสร็จ ก่อนออกไปก็ไม่ลืมแต้มครีมรองพื้นเนื้อดีแล้วกลบมิดด้วยแป้งพับให้สีจางลงเหมือนเมื่อวาน รูดซิปปิดจนมิดต้นคอ กล่าวได้ว่าการแต่งตัวในวันนี้ จันทร์เจ้าขาไม่ต่างอะไรกับนักกีฬาวอลเล่ย์บอลที่เพิ่งแข่งเสร็จ

“เช้านี้มีอะไรกินบ้างคะอาจารย์” เมื่อลงมารวมตัวกันที่ห้องอาหาร สาวลิ้นจระเข้อย่างกะทิที่เตรียมตัวมาไฝว้กับอาจารย์ที่ปรึกษาโดยเฉพาะ ก็เดินมาถามถึงโต๊ะอาหาร อาจารย์สาวปลายตามองยิ้มตอบพอเป็นพิธี

“ข้าวต้มหมูจ๊ะ พาเพื่อนไปนั่งกินสิทิตาพา”

“อ่อค่ะ แต่อาจารย์แน่ใจนะคะ ว่ามันไม่ใช่ข้าวต้มปลิงทะเลดำหรือลูกปลาวาฬยัดใส้หูฉลามอะไรเทือกๆนั้นอะค่ะ”

แกร๊งงงง

“ยัยทิตาพา!”

“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นในยามเช้า คนต้นเรื่องรีบโบกมือแสดงความสวยให้เพื่อนๆอย่างกับนางงาม เป็นอันรู้ดีว่าคืนก่อน อาจารย์สายสุนีย์ทำพวกเธอแสบแค่ไหน แซวบ้างอะไรบ้างก็ถือเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยละกัน

จันทร์เจ้าขาที่เช้านี้ยังไม่อยากเห็นความวุ่นวายจึงโค้งศีรษะขอโทษ ( ซึ่งปกติแล้วไม่เคยทำ ) แล้วรีบดึงแขนเพื่อนไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับกันเตอร์ ซึ่งเว้นที่ว่างไว้ให้กลุ่มหญิงสาวโดยเฉพาะ แน่นอนว่าที่ใกล้ๆกับเขาคือของจันทร์เจ้าขา

“วันนี้เธอดูอารมณ์ไม่ดีนะ เมื่อคืนนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ”

เมื่อข้าวต้มยกเข้ามาเสิร์ฟแล้วกินไปได้ครึ่งคำ หนุ่มฮอตก็เอ่ยถาม จันทร์เจ้าขาออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยจึงยังคงคอนเซ็ปเดิม คือตอบรับในลำคอ

“อืม”

“ถ้านอนไม่หลับเธอก็น่าจะตอบแชตฉันบ้าง” บอกเป็นเชิงน้อยใจ คิดว่าการมาเที่ยวจีนครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้เขาได้พิชิตใจเพื่อนข้างบ้านแล้วซะอีก แต่นอกจากแชตที่พยายามส่งหาวันละไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง แม้แต่ข้อความที่ขึ้นว่าอ่านแล้วก็ยังไม่ปรากฏ หนุ่มฮอตก็ได้แต่ทำหน้าเศร้า กะทิจึงรีบอธิบายให้ฟังทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก

“ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิกัน ยัยนั่นจะไปมีเวลาตอบที่ไหนล่ะ ลำพังแค่สวดมนต์ก็ปาไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว”

“หือ เมื่อคืนเธอสวดมนต์เหรอ”

ใช่ว่าปกติจันทร์เจ้าขาจะไม่เข้าวัดทำบุญหรอกนะ แต่เธอเข้าจนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัดไปแล้วต่างหาก เพียงแต่กันเตอร์ไม่รู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้ชอบสวดมนต์และศึกษาพระธรรมด้วยตัวเองเงียบๆด้วย ส่วนหนึ่งในจิตใต้สำนึก จันทร์เจ้าขามักคิดเสมอว่าเธอมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับธรรมมะที่เปรียบเสมือนข้อคิดของลัทธิบางอย่างที่ไม่เคยค้นคว้า นอกไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แม่ชอบเอามาให้อ่านเล่นๆ อีกทั้งจันทร์เจ้าขาก็คิดว่าเรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องอวดใคร ถึงกันเตอร์จะเป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ก็ใช่ว่าการอวดจะเป็นเรื่องที่ดี

น้ำเสียงแสดงอาการห่วงใยออกนอกหน้า เรียกรอยยิ้มให้เพื่อนๆที่รู้เรื่องเป็นอย่างดี ก่อนจะมีเสียงแซวเกิดขึ้นเป็นระยะ กลบล้างความน้อยใจเมื่อครู่ให้เลือนหาย มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ฟังแล้วอารมณ์ต่างกัน

หนึ่งคือเจ้าของเรื่องที่นั่งกินข้าวเงียบๆไม่แสดงอาการขัดเขินหรือดีใจอะไร

กับสอง...คนต้นเรื่องที่มองผ่านต้นไม้ใหญ่แต่ได้ยินเสียงคุยกันชัดเจน

“จันทร์เจ้ามันถูกผีหลอกน่ะสิ จริงๆเป็นตั้งแต่คืนแรกแล้วล่ะ แต่ยัยนี่เพิ่งมาบอกเอาเมื่อคืน ฉันกับปลานิลกลัวแทบแย่ ก็เลยเล่นโดมิโนกันทั้งคืน ตอนแรกก็กะจะย้ายไปนอนที่ห้องอื่นแหละ แต่เห็นจันทร์เจ้ามันหลับแล้ว ก็เลยไม่กล้าทิ้งให้อยู่คนเดียวไง” กะทิอธิบาย

“เรื่องจริงเหรอจันทร์เจ้า” อีกครั้งที่กันเตอร์ยังคงถือวิสาสะจับมือเธออย่างลืมตัว แล้วบรรยากาศในห้องอาหารจากที่กำลังอุ่นพอดีก็ค่อยๆเย็นลงเหมือนเมื่อวาน

“อะไรวะ อยู่ดีๆก็หนาวอีกแล้ว โรงแรมที่นี่ระบบความอบอุ่นยังใช้การได้อยู่ไหม ฉันนึกว่าอยู่ในแดนเอลซ่า ก่อนกลับจะเขียนคอมเพลนให้หนักเลยคอยดู” เพื่อนโต๊ะข้างๆบ่นอุบ พลางยกมือลูบต้นแขนเพื่อคลายหนาว

“จันทร์เจ้า ถ้าเธอลำบากใจขนาดนั้น ทำไมไม่ไลน์บอกฉันล่ะ บางทีฉันอาจแบ่งห้องให้เธอนอนได้เลยนะ”

‘ถึงขนาดแบ่งห้องให้ฮูหยินข้าเชียวรึ! ช่างเป็นบุรุษรนหาที่ตายนัก!’

ฟู่วววววววว

แกร๊งงงงง

“ซี๊ด ทะ..ทำไมอยู่ๆถึงได้หนาวขนาดนี้ บะ...บริกรคะ....” อาจารย์สายสุนีย์ที่ว่าหนังหนา เอ่ยเรียกบริกรเป็นภาษาจีน ก่อนจะพูดคุยอะไรซักอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับฝนฟ้าอากาศ มีเพียงจันทร์เจ้าขาเท่านั้นที่กินข้าวเงียบๆ โดยไม่คิดสนใจตอบคำถามกันเตอร์ที่รัวมานับสิบประโยคแล้ว

นั่นเพราะ...เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องเธออยู่

“กันเตอร์ กินข้าวเถอะ” บอกเสียงเรียบ ซึ่งก็ทำให้กันเตอร์ที่สงสัยหลายประโยคหยุดที่จะถาม แต่ก็ยังไม่วายกินข้าวคำ เหลือบมองเธอคำอยู่อย่างนั้นจนเรียกได้ว่า บรรยากาศที่เย็นอยู่แล้วแทบจับเป็นขั้วน้ำแข็ง

‘กล้าใช้สายตาแบบนั้นมองฮูหยินข้าได้อย่างไร’

“ให้ตายเถอะ หนาวชะมัด ไปกันเหอะแก” เพื่อนหลายๆโต๊ะรวมทั้งอาจารย์ทยอยกันลุกออกจากห้องไปรวมกันอยู่ข้างนอก มีเพียงกลุ่มของจันทร์เจ้าขาและเพื่อนของกันเตอร์บางส่วนเท่านั้น ที่ยังปักหลักกินกันอยู่โต๊ะเดียว จนท้ายที่สุดเสียงพูดคุยก็หยุดลงพร้อมกับการกล่าวลา

“กัน พวกเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันข้างนอก” เพื่อนๆกันเตอร์ทยอยลุกออกไปกันหมดไม่เว้นแม้กระทั่งกะทิกับปลานิลที่แต่แรกบ่นว่าหิวก็ยังทนไม่ได้

“จันทร์เจ้า ฉันว่าแกหยุดกินเถอะ หนาวขนาดนี้คงไม่มีใครมีกระจิตกระใจอยู่ในนี้แล้วล่ะ ฉันว่าเราไปกันเถอะ” กะทิฉุดเธอให้ลุกขึ้น แต่ร่างบางยังคงนั่งอยู่กับที่ ใบหน้าเรียบสนิทนั่นมองเผินๆก็สวยดี แต่ถ้ามองดีๆจะรู้ว่าอารมณ์เธอน่ากลัวขนาดไหน

“ฉันยังกินไม่อิ่ม” หญิงสาวตอบห้วนสั้น กะทิกับปลานิลนึกอยากจะเอาเท้าก่ายหน้าผาก

“พวกเธอไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะอยู่กินเป็นเพื่อนจันทร์เจ้าเอง ไม่ต้องเป็นห่วง” กันเตอร์ขันอาสา เมื่อเห็นเป็นอย่างนั้นกะทิกับปลานิลก็มองหน้ากันพลางกระซิบว่า จะทิ้งจันทร์มันจริงๆเหรอแก แต่สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าควรเชื่อกันเตอร์ดีที่สุด แล้วออกไปข้างนอก เหลือเพียงหนึ่งหญิงหน้าตายกับหนึ่งชายมีรัก ซึ่งคนทั้งคู่ต่างตกอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่งที่ควบคุมไอเย็นตลอดเวลา

“ตอนนี้ทุกคนก็ออกกันไปหมดแล้ว ทีนี้เธอจะเล่าให้ฉันฟังได้รึยัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อคืน” เมื่ออยู่กันตามลำพัง กันเตอร์จึงใช้โอกาสนี้เอ่ยถาม จันทร์เจ้าขาหยุดกินแล้ววางช้อนลง หันใบหน้าสวยมาทางเพื่อนชายเพียงคนเดียวก่อนตอบคำถาม

“ถ้านายรู้แล้วจะช่วยอะไรฉันได้”

“เธอ..หมายความว่ายังไง”

“นี่นายยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าฉันหมายความว่ายังไง”

“...”

“กัน ที่ผ่านมาครอบครัวนายสนิทกับที่บ้านฉันมาก มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่ญาติดีกับนาย ถูกปะ ยิ่งมารู้ว่านายเรียนอยู่ชั้นเดียวกันกับฉัน แม่ฉันก็ยิ่งอยากให้ฉันเป็นเพื่อนกับนายมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง หากพวกเขาไม่อยากให้เราคบกันหรอกเหรอ”

“เธอรู้”

“ใช่ ฉันรู้ รู้มาตลอด ตอนแรกฉันพยายามคิดในแง่ดีว่าอีกไม่นาน ทุกคนก็ลืมความต้องการไปเอง ฉันถึงได้ปล่อยผ่านมาโดยตลอด แต่เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้ยินข่าวลือเรื่องที่นายแอบชอบฉัน โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่คอยบงการ ตอนแรกฉันยอมรับว่าดีใจมาก แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ใจมันบอกว่าต้องปฏิเสธ บางทีฉันคิดว่าที่นายชอบฉัน คงเพราะเราใกล้ชิดกันมากเกินไป แถมครอบครัวของเราก็สนิทกันจนเรียกว่าเครือญาติได้ ดังนั้นช่องว่างระหว่างเราจึงเหลือแค่ความรู้สึกของฉัน ซึ่งขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า...”

จันทร์เจ้าขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถึงกันเตอร์จะต้องเสียใจ ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องบอกอยู่ดี “มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกกัน”

“...”

“ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่มีใครที่ชอบก็ตาม แต่ความรู้สึกลึกๆกลับบอกว่ามีใครคนหนึ่ง กำลังรอคอยให้ฉันได้รัก ซึ่งฉันไม่เคยรู้หรอกว่าใครคนหนึ่งที่พูดถึง เขาจะมีตัวตนอยู่ไหม แต่ที่แน่ๆ ฉันคิดว่าความรู้สึกของฉันกับเขา เราสามารถสื่อถึงกันได้เมื่อนานมาแล้ว"

ได้บอกในสิ่งที่ค้างคาใจมานานจนหมดก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จริงอยู่ที่ช่วงเวลาหนึ่งเธอก็เคยรู้สึกแบบเดียวกับกันเตอร์ ด้วยความรู้สึกของผู้ชายกับผู้หญิงนั้นไม่ใช่ก้อนหิน เมื่ออยู่ด้วยกันก็เหมือนกระแสไฟฟ้าขั้วบวกกับขั้วลบ ที่สามารถจูนกันให้ติดง่าย แต่พอจะลองต่อประจุเข้าจริงๆ กลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบอกเธอว่า มีประจุไฟฟ้าอีกขั้วรอเชื่อมกับเธอเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นจันทร์เจ้าขาเลยคิดเสมอว่า เธอต่างหากที่ไม่คู่ควรกับกันเตอร์ ที่เธอยอมเป็นเพื่อนกับเขาโดยเก็บงำความรู้สึกของเขาแล้วทำเฉยมาโดยตลอด ก็เพราะไม่อยากสูญเสียเพื่อนชายดีๆคนหนึ่งไปก็เท่านั้น และที่ต้องบอกในวันนี้ เธอก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น กันเตอร์ก็ยังเป็นเพื่อนของเธอ

ได้ยินเช่นนั้น ท่านเจ้าสำนักจากที่กำลังกรุ่นโกรธก็คลายความกังวล ลอบยิ้มให้กับความซื่อสัตย์ของฮูหยินที่ยังหลงเหลือความรู้สึกให้กับตน ไอเย็นในห้องจึงค่อยๆสลายไป เหลือเพียงบรรยากาศเข้าสู่ปกติ

“ที่ผ่านมาเธอรู้สึกแบบนี้มาโดยตลอดเหรอ” จันทร์เจ้าขาพยายามไม่ใส่ใจน้ำเสียงเศร้าสร้อยแล้วเสมองไปทางอื่น ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาคมที่มองผ่านต้นไม้สูงด้านนอกอย่างไม่ตั้งใจ หญิงสาวขมวดคิ้วอยู่สามวินาที ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ เพ่งมองสิ่งที่เห็นอยู่ด้านนอกอย่างท้าทาย

อีตาพระเอกงิ้วนั่น! หวังป๋อจ้าน!! ไม่สิ..พระเอกซีรี่ห์ของปลานิล! หวังอี้ถัง!!

"จันทร์เจ้า จันทร์เจ้าเธอเป็นอะไร"

“เอ้อ! เอ่อ.." เธอสะดุ้ง แล้วหันกลับมาหากันเตอร์ที่รอฟังคำตอบในสิ่งที่ถามไปเมื่อห้าวินาทีก่อน "ฉันขอโทษจริงๆนะกัน ขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกแย่ แต่ถ้าไม่บอกตั้งแต่วันนี้ ไม่ช้าก็เร็วนายก็ต้องรู้อยู่ดี ”

“จริงๆแล้วฉันรู้มาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ที่ไม่พูด ก็เพราะยังมีความหวังว่าเธอจะสนใจ แต่ว่ายิ่งหวังมากเท่าไหร่ ฉันกลับรู้ดีว่าเธอไม่มีทางชอบคนอย่างฉันแน่”

“ขอโทษนะกัน แต่ว่า...ทุกสิ่งมันไม่ได้ดั่งใจเราเสมอไปหรอกนะ บางทีสิ่งที่นายคิด มันอาจไม่เลวร้าย เพราะอย่างน้อยมันก็อาจเป็นจริงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง” เธอแค่บอกความนัยแฝงให้เขารู้เท่านั้น ไม่คิดว่าเด็กวิทย์คณิตที่ไม่เชี่ยวชาญการพูดแบบมีเคล้าโคลงอย่างกันเตอร์จะเข้าใจหรอก ทว่า บางทีเธออาจคิดผิด ด้วยถ้อยคำเหล่านั้น เด็กฉลาดที่รั้งอันดับหนึ่งของสายชั้นมาตลอดอย่างกันเตอร์มีหรือจะไม่เข้าใจ

กันเตอร์เงยหน้าสบตาเธอแล้วยิ้มเศร้า เอื้อมมือหนากอบกุมใบหน้าสวยให้มองเขาตรงๆ ถึงแม้จะเจ็บจี๊ดที่หน้าอกด้านซ้าย แต่ก็นับว่ารู้สึกดีอยู่มาก คนที่มองใต้ต้นไม้ในที่ไกลเห็นอย่างนั้น อยู่ดีๆส้นเท้าก็กระตุก

“งั้นก็แสดงว่าที่พี่ปั้นพูดก็ไม่ผิด เธอเคยชอบฉันใช่ไหมจันทร์เจ้าขา จะ...จันทร์เจ้า ธะ..เธอเคยชอบฉันจริงๆใช่ไหม” จันทร์เจ้าขาไม่รู้จะตอบว่าอะไร ยิ่งเห็นกันเตอร์ยิ้มกว้างแต่ทว่าเศร้าจับใจ เธอจึงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยมีตัวตนในสายตาเธอเท่านั้นที่เจ็บลึก เมื่ออยู่ๆก็ดันได้ยินว่าฮูหยินของตนเคยปันใจไปให้ชายอื่น

“เธอพูดแบบนี้ฉันก็โอเคขึ้นบ้างแล้วล่ะ ถึงจะไม่มาก แต่ฉันจะพยายามไม่ทำให้เธอลำบากใจอีกแล้ว”

“กัน...นายโอเคจริงๆเหรอ” ถึงจะปฏิเสธแต่เธอก็ยังห่วงใยในฐานะเพื่อนเสมอ กันเตอร์ก้มหน้ายิ้มขบซ่อนความลำบากใจต่อคำร้องของตนนับจากนี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา

“ฉันโอเคจริงๆ แต่ถ้าจะให้โอเคกว่านี้ ฉันขอสิ่งตอบแทนในการเลิกชอบได้ไหม”

“หือ?”

“ฉันอยากจูบเธอซักครั้ง”

‘บังอาจ!!!!’

กันเตอร์อาศัยช่วงเวลาจันทร์เจ้าขากำลังอึ้ง ดึงใบหน้าสวยเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนของคนทั้งคู่เป่ารินรดกัน จู่ๆหัวใจที่ดับมอดก็พลันเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

จันทร์เจ้าขากำลังผละตัวออกห่าง อยู่ๆโคมไฟด้านบนก็ค่อยๆปริแตก ไม่ถึงอึดใจก็ร่วงลงมาพังโต๊ะ หวังให้คนทั้งคู่แยกออกจากกันในที่สุด

“ระวัง!!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel