ตอนที่ 4 ถังน้ำส้มสายชูที่รอวันระเบิด
“อะไรว๊า อยู่ดีๆฝนก็ตก เซ็งชะมัดเลยอะ”
“ก็นั่นน่ะสิ มาเที่ยวเมืองนอกทั้งที แทนที่จะได้เซลล์ฟี่สวยๆ แต่ต้องมาติดแหง็กอยู่ในร้านขายกาแฟ กะทิ แกไปปักตะไคร้ซิ”
“หน็อย แกน่ะสิไป ฝนตกอย่างกับห่าลงแบบนี้ ขืนออกไปก็หวัดกินตายพอดีสิ”
เพื่อนนักเรียนที่วิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาหลบในร้านขายกาแฟบ่นกันเซ็งแซ่ แม้แต่อาจารย์จนถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่เว้น
“ตกหนักแบบนี้ ฉันว่าต้องมีคนทำอะไรไม่ดีมาแน่ๆเลยแก ไม่งั้นเง็กเซียนไม่พิโรธแบบนี้หรอก” สองเกลอที่นั่งโต๊ะข้างๆทำปากขมุบขมิบ บรรยากาศมาคุพวกนั้นพูดได้เลยว่าไม่ได้ส่งผลเสียกับคนอดหลับอดนอนมาค่อนคืนอย่างจันทร์เจ้าขา ดีซะอีกที่มันตก เธอจะได้ไม่ต้องเดินขาลากจนเมื่อย สู้ดีหาที่มืดๆนอนไม่ดีกว่าเหรอ
ถ้าคิดว่ามันง่ายก็คงทำไปนานแล้ว หากไม่ติดว่าทั้งตัวเปียกไปกว่าครึ่ง แต่ไม่มีปัญญาถอดเสื้อออกซักชิ้น เป่าผมให้แห้ง เธอก็ต้องทนหนาวต่อไปอย่างนี้ล่ะ
“จันทร์เจ้า ฉันว่าเธอถอดผ้าพันคอออกก่อนดีไหม ใส่ทั้งเปียกๆแบบนั้นจะไม่สบายเอานะ” กันเตอร์เอื้อมมือจะดึงผ้าพันคอออก มือเรียวที่รอจังหวะจึงตะปบเข้าที่แขนแกร่งเพื่อป้องกันตัว ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาจะแก้ตัวว่ายังไงล่ะ แต่บรรยากาศเย็นยะเยือกที่จู่ๆก็ก่อตัวขึ้น ยิ่งทำให้เธอสั่นสะท้าน
“อ้าวจันทร์เจ้า จะไปไหนเหรอ” กันเตอร์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นตามด้วยความเป็นห่วง แต่คนขี้หนาวทำได้แค่หันมาตอบส่งๆแล้วก้มหน้าก้มตาเดิน
“ฉันจะไปเข้าห้องน้ำหน่อย”
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหมแก” ปลานิลกับกะทิอาสาพร้อมกัน
“ไม่ต้องๆ พวกแกนั่งอยู่ตรงนี้แหละ ฉันไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ”
“เธอแน่ใจนะว่าจะไม่หลงทาง” กันเตอร์ถามอย่างรู้ทัน ถึงแม้ว่าจันทร์เจ้าขาจะอ่านภาษาอังกฤษออก แต่เรื่องเส้นทางในต่างแดนที่ค่อนข้างวกวน เขาน่าจะช่วยเธอได้
“นายคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่กัน นั่งอยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันมา” เธอบอกเสร็จก็รีบเดินจ้ำอ้าวหายไปตรงหัวมุม ทิ้งไว้แค่เก้าอี้ว่างเปล่า มีไว้บริการลูกค้าอย่างละสองคนต่อโต๊ะเท่านั้น
“อย่าห่วงเลยน่า ยัยจันทร์ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนปวกเปียก ที่ชอบทำตัวแอ๊บแบ๊วไปวันๆ เหมือนใครบางคนแถวนี้หรอก วางใจได้” ใครบางคนที่กะทิพูดถึง ก็คือหนึ่งในสต็อคสาวที่แอบชอบนายกัน พอคนถูกพาดพิงได้ยินก็ถลึงตาใส่ แล้วฟาดฟันกันทางคำพูดปากเปล่าว่า ทำไมล่ะๆ
“อะไรกันเนี่ย เมื่อกี้ยังอุ่นๆอยู่เลย ใครมือบอนด์ไปเปิดแอร์วะ ” เสียงโวยวายจากเพื่อนๆร่วมทริป โอดครวญไล่หลัง
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนแล้ว จันทร์เจ้าขามองซ้ายมองขวาก่อนจะค่อยๆปลดผ้าพันคอที่ชุ่มน้ำออกแล้วบิดจนแห้ง ยังดีที่ในห้องน้ำมันอุ่นกว่าข้างนอก เธอจึงแกะหนังยางที่ผมออก ใช้มือสางไล่หยดน้ำที่เกาะจนเปียกออกไป
“ที่นี่น่าจะมีเครื่องเป่ามือ”
บอกกับตัวเองอย่างนั้นแล้วเดินไปหัวมุม เอามือแตะๆตรงเครื่อง ลมร้อนก็เป่าพู่ลงมา จันทร์เจ้าขาย่อตัวเล็กน้อย พอให้ผมได้รับไอร้อนจนแห้งแล้วมัดกลับเข้าที่เดิม เหลือผ้าพันคอที่ต้องทำให้แห้งก่อน แต่ยังไม่ทันลงมือเป่า จู่ๆอากาศก็เย็นลงเหมือนตอนอยู่ข้างนอก จันทร์เจ้าขายกแขนกอดอกกำลังจะเดินออกไปดูว่าในนี้ได้ติดตั้งแอร์ไว้รึเปล่า ก้าวขาไม่ทันพ้นห้องที่สาม ไฟก็ดับพรึ่บลง ประตูที่แต่แรกเปิดออกก็ถูกแรงดันบางอย่างปิดลงดังปัง!!!!!!
“นี่มันอะไรเนี่ย”
เธอไม่ใช่คนที่กลัวผีอะไรเท่ากะทิกับปลานิล แต่เสียงทุ้มน่าฟังปนอารมณ์โกรธที่ดังลอยมาในความมืด กลับทำให้เธอต้องคิดใหม่
ปึงงงงงงง
“อยากทำให้ข้าตกถัง [1]น้ำส้มสายชูตายใช่หรือไม่!!”
ถึงแม้จะมีเวลาจำกัดในการแยกจิต ฉะนั้นการอยู่นานย่อมไม่เป็นผลดี ท่านเจ้าสำนักหลี่จึงลงมืออย่างอุคอาจ เพื่อต้อนจันทร์เจ้าขาให้จนมุม แววตาใสซื่อทอประกายหวาดกลัวในความมืด แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่อยู่ในอาการมัวเมาน้ำส้มสายชูเมตตาแม้แต่อย่างไร ต่อให้เธอควานมือสะเปะสะปะ แต่คนธรรมดาไร้วรยุทธ์เช่นนั้น จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างผ่านความมืดได้อย่างไร แน่นอนว่ามีเพียงท่านเจ้าสำนักหลี่ที่มองทุกอย่างแจ่มแจ้งราวกับจุดไฟตะเกียงหนึ่งร้อยดวง
จันทร์เจ้าขารู้สึกถึงไอร้อนจัดที่รินรดตรงปลายจมูก ก่อนมันจะค่อยๆถูกกลืนหายไปจากคนผู้หนึ่งที่พยายามจูบเธอผ่านความมืด นึกอยากจะกรีดร้องให้คนช่วย แต่กลายเป็นว่าทันทีที่เธออ้าปาก ดันเป็นการเปิดโอกาสให้ไอ้บ้ากามคนนั้นสอดลิ้นร้อนๆเข้ามาเก็บกวาดความหอมหวานจนหมดสิ้น
“อื้อออ อ่อยอั้นอ๊ะไอ้อ้าอาม ” (ปล่อยฉันนะไอ้บ้ากาม)
เธอร้องท้วงในลำคอ แต่ดูเหมือนคนที่มัวเมาในถังน้ำส้มจะยิ่งรุนแรงกับเธอ เกลียวลิ้นตวัดกวาดไปทั่วโพรงปากจนเธอหายใจแทบไม่ทัน นึกอยากจะต่อยมันซ้ำๆตามศิลปะป้องกันตัวที่เล่าเรียนมา แต่เมื่อจะลงมือ เธอกลับไร้เรี่ยวแรงราวกับว่าเขาใช้จิตวิทยาบางอย่างแตะต้นคอเธอให้หยุดการเคลื่อนไหว จันทร์เจ้าขาปล่อยให้ไอ้บ้ากามคนนั้นจูบเธอจนหนำใจ มันกัดปากเธอแล้วก็จูบลงไปซ้ำๆอย่างนั้น
เธอยืนนิ่งเพราะไม่อาจขยับได้ หยาดน้ำตาเม็ดเล็กค่อยๆร่วงเผาะอาบสองข้างแก้มใส ท่านเจ้าสำนักหลี่เมื่อรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นเจือความเค็มจึงผละริมฝีปากออกระคนเสียดาย มองผ่านความมืดเห็นฮูหยินที่รักร้องไห้ก็ใจอ่อนยวบ นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรรุนแรงกับนางก็พลันรู้สึกผิด
ท่านเจ้าสำนักรีบดึงร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมกอดแล้วคลายจุดให้ พอรู้สึกตัว จันทร์เจ้าขาก็รีบดันร่างสูงออกสุดกำลัง
“ปล่อยฉันนะปล่อยฉัน!! ฮึก”
เธอทั้งหยิก ทั้งข่วน ทั้งต่อยเขา แต่เหมือนร่างกายนี้จะเป็นเสาปูนเสียมากกว่า นอกจากจะไม่ขยับเขยื้อน กลับเป็นเธอที่เหนื่อยเอง
“ข้าขอโทษที่วู่วามจนลืมนึกถึงความรู้สึกของเจ้า ลี่เอ๋อร์”
“แกเป็นใคร!”
“ลี่เอ๋อร์?”
“ฉันถามว่าแกเป็นใคร!!”
ท่านเจ้าสำนักหลี่นิ่งค้างไปชั่วขณะ ด้วยไม่อาจยอมรับได้ว่านางไม่รู้จักตน
“เจ้ากล้าพูดคำนี้กับข้าได้อย่างไร” น้ำเสียงนั้นฟังแล้วค่อนข้างเจ็บปวดอย่างยิ่ง
“ฉันพูดได้มากกว่านี้อีก!! ถ้าแกยังไม่บอกว่าแกเป็นใคร! ฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!!” ท่านเจ้าสำนักหลี่แทบสำลักความน้อยใจไปอึกใหญ่ ยิ่งเห็นฮูหยินน้อยทำท่าจะวิ่งออกไป ก็รีบฉุดตัวไว้แล้วกอดนางจากด้านหลัง
“ลี่เอ๋อร์ฟังข้า!!”
“ไม่!! ฉันไม่ใช่คนที่แกพูดถึงหรอก!! แกจำคนผิดแล้วล่ะ!! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้สิ! ปล่อย!! ”
จันทร์เจ้าขาดิ้นขัดขืนสุดกำลัง ก่อนจะพ่นคำหยาบที่น้อยครั้งหลุดออกมา
“ปล่อยฉันสิไอ้โรคจิต!! ไอ้วิตถาร!! ”
“...”
ผลั่กกกกก
ในขณะนั้น ไฟที่เคยดับก็ติดขึ้นมาจนสว่างจ้า จันทร์เจ้าขาปรับสายตาให้เข้าที่ ก่อนตกตะลึงตาค้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า นั่นไม่ใช่ไอ้พระเอกงิ้วที่เธอเคยเห็นเมื่อวันก่อนตอนเอากระเป๋าไปเก็บหรอกเหรอ? ความสูงประมานร้อยเก้าสิบกว่า ผิวขาวจัด ตาชั้นเดียวแต่คมสวยพอดี จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากอิ่มสีชมพู รูปหน้าคมสันราวกับพระเอกซีรี่ห์…หวังป๋อจ้านที่ปลานิลมันหวีดไม่มีผิดเพี้ยน แล้วไหนจะผมดำยาวสลวยราวกับพรีเซ็นเตอร์รีจอยนั่นอีก ชุดผ้าไหมสีฟ้าสลับขาวปลิวตามแรงลมที่พัดเข้ามายิ่งขลับให้คนที่อยู่ตรงหน้าเธอ หล่อเหลาระดับซุปเปอร์สตาร์ไปเลย นี่มันไม่ยุติธรรม!
ทำไมโรคจิตต้องหน้าตาดีขนาดนี้ด้วยเนี่ย!
แม้ใบหน้าหล่อเหลาทำได้เพียงมองเธอนิ่งด้วยแววตาตัดพ้อ แต่กระนั้น รัศมีแห่งความบ้าผู้ชายที่เธอเพิ่งสัมผัส ก็ไม่ได้ทำให้หัวร้อนน้อยไปกว่ากัน เธอกำหมัดไว้ข้างลำตัว ขบสันกรามแน่น หลุบตาลงต่ำ เดินเข้าไปหาเขาแล้ววาดฝ่ามือเล็ก ตบแก้มเนียนละเอียดนั้นเต็มแรง
เพี๊ยะ!!!!
ใบหน้าหล่อหันตามแรงตบ แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ยิ่งทำให้จันทร์เจ้าขาเกิดความกลัวขึ้นมาซะแล้วสิ ว่าไอ้พระเอกงิ้วนั่นจะทำอะไรเธออีกรึเปล่า
“คิดว่าฉันเป็นต่างชาติ แล้วแกจะทำอะไรก็ได้เหรอ อย่าเข้ามานะ”
เธอพ่นคำด่าเป็นภาษาจีนกระท่อนกระแท่น แต่กลับรู้สึกว่าสำเนียงมันชัดราวกับเป็นคนในชาติ ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ถึงที่โรงเรียนจะเคยสอนมาบ้าง แต่การเรียนพิเศษเฉพาะวิชาก็น่าจะทำให้เธอได้เปรียบในข้อนี้ แต่สายตาที่มองมาอย่างประหลาด ทำให้เธอถอยรูดไปข้างหลัง เผลอตั้งการ์ดขึ้นอัตโนมัติ
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าเกลียดชังข้ามากขนาดนั้นเชียวหรือ”
“แหง๋ล่ะ ก็แกเป็นไอ้โรคจิตที่ขโมยจูบแรกของฉันไป แถมแกกับฉันก็ไม่รู้จักกันด้วย เป็นใครก็โกรธละวะ” เอ๊ะ หรือไม่โกรธนะ ไม่สิ เธอต้องโกรธอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจูบแรกจะเสียให้กับคนหล่อแต่เธอไม่มีทางยอมแน่ เห็นนางครุ่นคิดกับตัวเองเช่นนั้น เจ้าสำนักหลี่ก็ยิ่งน้อยใจ แต่ด้วยเป็นบุรุษ การแสดงออกทางสีหน้าจึงค่อนข้างปิดมิด มีเพียงแววตาคมคู่นั้นที่ทอประกายคำตอบ
“หากเจ้าแสร้งลืมข้า เช่นนั้นย่อมไม่เป็นไร แต่หากเจ้าลืมข้าจริงๆ ข้าจะทำให้เจ้าจำได้เอง” ยังไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงก็ดันเธอติดกำแพงแล้วก้มลงจูบอีกครั้ง ถึงแม้จะทุบหน้าอกเขาซ้ำๆก็ไม่เป็นผล เพราะอีกฝ่ายดันรวบมือเธอขึ้นสูง
“อื้อๆๆๆๆ”
“ลี่เอ๋อร์ หากวันนั้นข้าทำให้เจ้าโกรธเคือง ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้าให้อยู่เพียงลำพัง หากเจ้าโกรธก็ตีข้าสิ ด่าข้าหรืออะไรก็ได้ แต่อย่าทำเย็นชากับข้าได้หรือไม่” ผละริมฝีปากออกแล้วก็กดจูบอีกครั้ง จันทร์เจ้าขาจะอ้าปากพูดก็ไม่ทัน ท้ายที่สุด กะทิกับปลานิลที่เห็นว่าเพื่อนออกมาเข้าห้องน้ำนานแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววออกมาซักทีก็เลยต้องมาตาม
“จันทร์เจ้า แกอยู่ในนั้นรึเปล่า”
กะทิเคาะประตูเสียงดังแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ปลานิลที่เดินตามมาติดๆกับกันเตอร์ เห็นท่าไม่ดีก็ลอบสบตากัน
“อื้อออ ปละ..ปล่อยเถอะ” หญิงสาวพยายามดึงแขนที่เจ้าสำนักจับขึ้น ลงมาแล้วผละจากตัวเขา แต่คนหน้าด้านกลับมอบจูบหนักๆให้เธออีกครั้ง แล้วดุนดันลิ้นแทรกเข้ามาจนเธอใจแทบวาย
“ฉันต้องกลับแล้ว เพื่อนฉันรออยู่ข้างนอก แฮ่กๆ” เธอผละจากพระเอกงิ้วที่คิดไปเองได้ในที่สุด ก่อนจะรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ก่อนไปก็ไม่ลืมหยิบผ้าพันคอสีแดงติดมือออกมาในสภาพทุลักทุเล ทุกการกระทำนั้น ตกอยู่ในสายตาเจ้าสำนักหลี่ตลอดเวลา
“อ้าวแก แกอยู่ในนั้นด้วยเหรอ ทำไมเคาะทีแรกถึงไม่มีใครมาเปิดประตูเลยล่ะ” ปลานิลที่ถอดใจแล้วกำลังเดินกลับไปทางอื่น เมื่อเห็นเพื่อนรักออกมาก็วิ่งเข้าไปหาพลางสำรวจรอบๆตัว
“แกเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าแดงอย่างนี้ ไม่สบายเหรอ” กะทิถามอย่างเป็นห่วงเช่นกัน
“เธอหายไปนานมาก พวกเราก็เลยออกมาตาม ดีนะที่โอเมก้าไม่ถามหาเธอก่อน ไม่งั้นพวกเราก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร ถ้าเธอหายไป” กันเตอร์เข้ามายืนเคียงข้างเธอจนแนบเนื้อ นั่นคือวิธีการแสดงออกถึงความห่วงใยของเขาก็จริง แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งทำแบบนั้นอากาศรอบๆก็ยิ่งเย็นลง
“ฉันไม่เป็นไร แค่เข้าไปหลับนิดหน่อย ตอนนี้โอเคแล้วล่ะ ไปกันเถอะ” ก้มหน้าก้มตาตอบราวกับหนีอะไรแล้วดึงแขนเพื่อน
“เดี๋ยวๆแก ฉันว่าฉันจะเข้าห้องน้ำซักหน่อย ปวดฉี่”
“อย่านะกะทิ!!”
“เฮ๊ย ทำไมแกต้องเสียงดังด้วยวะ ฉันแค่จะไปเข้าห้องน้ำ?”
“เอ่อ คือว่า..ห้องนั้นมันสกปรกมากอะแก หลายห้องใช้การไม่ได้เลย ฉันว่าแกไปเข้าที่อื่นเถอะเชื่อฉัน”
แก้ตัวน้ำขุ่นๆ แต่เพื่อนหูเบาอย่างกะทิย่อมเชื่อเธออยู่แล้ว จันทร์เจ้าขาว่าไม่ดีเธอก็ว่าไม่ดี คนทั้งสี่จึงเดินกลับเข้าไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆที่บ้างก็เล่น บ้างก็กินให้เป็นปกติ
จันทร์เจ้าขาลอบถอนหายใจในความคิด แต่ก็ดังพอที่คนฝึกยุทธ์ทั้งชีวิตได้ยินแล้วจะอมยิ้ม
‘ เกือบไปแล้วไหมล่ะ’
กลางคืน หลังกินข้าวอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็เป็นเวลาที่จะต้องพักผ่อนซักที จันทร์เจ้าขาที่แต่เดิมมักนอนเร็วเสมอ แต่ทว่า วันนี้กลับสวดมนต์ตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ พอเห็นเพื่อนรักถอยจิตออกจากสมาธิล้มตัวจะนอน ปลานิลก็ไม่ลืมเลยที่จะเอ่ยถาม
“ยังไงวะแกวันนี้ เจออะไรดีๆมางั้นเหรอ”
“ก็เปล่า ฉันแค่สวดมนต์เผื่อเมื่อวาน” ตอบหน้าตาเฉยแล้วล้มตัวลงนอน
“ฉันเพิ่งรู้ว่าคนเราสามารถสวดมนต์เผื่อเมื่อวานได้ด้วย? มันมีงี้ด้วยเหรอวะแก” ปลานิลหันไปถามกะทิที่นั่งทาครีมอยู่ข้างๆ
“ก็ไม่รู้สิ แต่เพิ่งเคยเห็นก็เพื่อนแกนี่แหละคนแรก”
“วันนี้ฉันว่าแกดูแปลกๆนะจันทร์เจ้า มีอะไรในใจที่พวกเราไม่รู้รึเปล่า” ตั้งแต่เช้าแล้วที่ปลานิลสงสัยในตัวเพื่อน ว่าทำไมจู่ๆจันทร์เจ้าขาถึงยอมใส่ผ้าพันคอ ถึงแม้ว่าอากาศจะค่อนข้างหนาว แต่ยัยนั่นมักบ่นตลอดเวลาว่าใส่แล้วเหมือนมีอะไรมารัดคอ แถมหายใจก็ไม่ค่อยออก ตอนแรกก็ไม่คิดจะใส่ใจมาก ด้วยอากาศหนาว ยัยนั่นอาจทนไม่ไหว แต่เห็นตอนกลางวันที่จันทร์เจ้าขามีอาการลุกลี้ลุกลนราวกับกลัวอะไรบางอย่าง เธอก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
“นั่นสิ ปกติเวลาแกมีเรื่องอะไรก็จะเล่าให้พวกเราฟังตลอด ฉันเองก็ไม่ต่างจากปลานิลมันหรอก ถึงจะสงสัย แต่ก็ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ แต่บางทีฉันก็แอบคิดนะ ว่าจริงๆเมื่อคืนแกจะโดนผีหลอก”
จันทร์เจ้าขาถึงกับไปไม่เป็น เดิมทีเธอคิดว่ายัยพวกนั้นจะเห็นอะไรดีๆที่เธอพยายามปกปิดไว้ซะอีก แต่ปล่อยให้กะทิมันเข้าใจแค่อย่างเดียวก็น่าจะพอ เพราะยังไงอีตาพระเอกงิ้วกับผีผ้าห่มเมื่อคืนก็น่าจะเป็นคนละส่วนกัน
“เหอะน่า พวกแกไม่ต้องรู้หรอก พูดไปก็มีแต่จะกลัวกันเปล่าๆ” เล่นไปตามน้ำก่อนแล้วกัน สองเกลอพยักหน้าเข้าใจอยู่สามส่วน
“นี่แกยอมรับว่าถูกผีหลอกเมื่อคืนจริงๆเหรอ” กะทิมองซ้ายมองขวาแล้วกระโดดไปกอดปลานิลที่ยังมองเธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ฉันจะนอนแล้ว” บอกเสร็จก็รีบคลุมโปงอย่างไว ไม่สนใจว่าเพื่อนที่นั่งทำแบบสอบถามจะรู้สึกถึงความผิดปกติรึเปล่า ถึงจะกลัวอยู่บ้าง แต่สองหน่อก็ยังใจกล้าพอที่จะหยิบโดมิโนที่เอามาด้วย เล่นคร่าความกลัว
จันทร์เจ้าขากรอกตาม่อล่อกม่อแลกในผ้าห่ม สองสิ่งที่ทำให้เธอเป็นกังวลถึงขนาดสวดมนต์ขับไล่นานขนาดนี้ อาจมีความเชื่อมโยงกันถึงสองส่วน หนึ่งคือผีผ้าห่มที่คืนนี้อาจจะโผล่มาเล่นงานเธออีก และสองคืออีตาพระเอกงิ้วหลงโรงที่จู่ๆก็แผ่ไอเย็นในห้องน้ำเมื่อตอนกลางวัน
‘ ขอล่ะ ฉันไม่อยากคิดมากหรอกนะ คนหน้าตาดีแบบนายฉันหวังว่าคงไม่ใช่ผี’
อีกฟากหนึ่งของโลกต่างมิติก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ท่านเจ้าสำนักหลี่ที่ปกติมักอาบน้ำเร็วเสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับใช้เวลาอยู่ในห้องอาบน้ำนานเกือบหนึ่งชั่วยาม หนำซ้ำ พอออกมาก็คัดสรรเครื่องนุ่งห่มชั้นดีอย่างพิถีพิถันด้วยตนเอง เสียจนอู๋เจ๋อฟางอดแปลกใจไม่ได้ ด้วยเจ้าสำนักแต่เดิมหาใช่บุรุษรักสวยรักงามเฉกเช่นอิสตรี แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ พยายามหาคำตอบที่ดีมาหักล้างความเย็นชาที่มีอยู่ก่อนหน้า ก็ยังไม่เห็นสิ่งใดจะเทียบเท่า
“วันนี้ท่านเจ้าสำนักอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดดีๆขึ้นเกิดหรือขอรับ”
“เจ้าว่าตัวนี้ดีหรือไม่” นอกจากจะไม่สนใจสิ่งที่ผู้คุ้มกันหนุ่มพูดแล้ว ยังยื่นเสื้อคลุมสีเขียวตัวนอกให้ดูอีกต่างหาก
“เอ่อ ตัวนี้งามนักขอรับ แต่ออกจะจืดไปเสียหน่อย น่าจะลองสีน้ำเงินเข้ม” นี่ก็บ้าจี้ไปด้วยกัน เจ้าสำนักยกยิ้มอย่างพอใจ แต่กระนั้นเสื้อตัวในที่มักเป็นสีขาวล้วนเล่า จะพอดีหรือไม่
“เจ้าว่าเสื้อตัวในสีนี้...”
“ข้าน้อยคิดว่าท่านใส่อะไรก็งามขอรับ” ตัดบทอย่างเป็นกังวล เจ้าสำนักหนุ่มตวัดสายตาเย็นชามองผู้คุ้มกันที่หลุบตาลงต่ำ มือประสานข้างหน้าอย่างรู้งาน
“หมดธุระของเจ้าแล้ว ออกไปได้”
“ขอรับ?”
นี่ไม่ได้ตั้งใจจะบอกซักหน่อยหรือว่า เพราะอะไรเจ้าสำนักถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ อู๋เจ๋อฟางสุดจะยื้อต่อ จึงรีบถอยหลังออกทางเดิมแล้วปิดประตูให้เงียบเชียบที่สุด เจ้าสำนักหนุ่มเพ่งมองไปยังโขดหินที่เชื่อมต่อกับป่าหลังห้องนอนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ร่างสูงสง่าค่อยๆประทับนั่งในท่าขัดสมาธิคล้ายเดินลมปราณ หลับตาเพ่งจิตแน่วแน่ไปยังบุคคลที่จมอยู่กับความกลัวในห้วงนิทราอีกโลกหนึ่ง ในสมองก็คิดตามสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางวันนี้มิได้ขาด
“ฮึๆ ตอนนั้นเจ้ารังแกข้า ข้าพอกล้ำกลืนฝืนทนรับได้ แต่ตอนนี้ข้าจะรังแกเจ้าคืนบ้าง ก็อย่ามาโทษกันล่ะฮูหยิน”
[1]ตกถังน้ำส้มสายชู : อาการหึงหวง , คนขี้หึง
