ตอนที่ 3 ฮูหยิน! เจ้าล้อเล่นกับข้าพอหรือยัง!
ภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้นในห้องครัว ตกอยู่ในสายตาคมของบุรุษรูปงามราวเทพเซียนตลอดเวลา มุมปากสีลูกอิงเถายกยิ้มขึ้น ทั้งที่นั่งเพ่งจิตเคล็ดวิชาครึ่งวิญญาณบนโขดหิน อู๋เจ๋อฟางเห็นเช่นนั้นก็อดประหลาดใจไม่ได้ ด้วยไม่คิดว่าหลังจากฮูหยินน้อยยอดดวงใจของท่านเจ้าสำนัก วิญญาณแตกสลายไปกับลูกแก้วหงส์มังกรฟ้าแล้ว จะได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้อีกซักครั้ง รอให้ท่านเจ้าสำนักลืมตากลับมาก่อนแล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย
นิ้วเรียวที่ถึงแม้จะผ่านการจับกระบี่มานัดครั้งไม่ถ้วน แต่ยังคงความงดงามยกถ้วยน้ำชาที่เย็นชืดแล้วดับกระหาย อู๋เจ๋อฟางเห็นว่าเวลานี้เหมาะสมที่สุดจึงเอ่ยปากถามให้แน่ชัด
“เรียนท่านเจ้าสำนัก เมื่อครู่นี้ท่าน....” อู๋เจ๋อฟางไม่รู้ว่าจะถามตรงๆอย่างไร จึงยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งตั้งฉากที่มุมปากวาดเป็นรูปยิ้ม เจ้าสำนักหลี่ตวัดสายตามองครู่หนึ่ง ไม่กล่าวสิ่งใดแล้ววางถ้วยน้ำชาลง
“เอ่อ ข้าเพียงคิดว่าท่านเจ้าสำนักกำลังป่วยไข้ ก็เลยลองถามดูเท่านั้น หาได้มีเจตนาล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวเหมือนครั้งก่อน”
“ก็ไม่มีอะไร นางเพียงแค่ถูกทำโทษเล็กๆน้อยๆเท่านั้น” เจ้าสำนักกล่าวไม่ได้ใส่ใจมาก ผิดกับเจ๋อฟางที่ขมวดคิ้วมุ่น
นาง? นางอีกแล้ว? หรือจริงๆแล้วคนที่เจ้าสำนักพูดถึงเมื่อชั่วยามก่อน แท้จริงคือสตรีคนใหม่ที่เจ้าสำนักกำลังหลงใหล? กาลเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบปี ท่านเจ้าสำนักหลงลืมฮูหยินน้อยไปแล้วหรือไร ช่างเป็นบุรุษยากแท้หยั่งถึงเสียจริง แต่หากนางคือสตรีที่ทำให้แท่นหินขาวของเจ้าสำนักเป็นสีแดงกับดำ? นั่นย่อมเรียกความสนใจในตัวเจ้าสำนักได้ง่าย เพราะนอกจากฮูหยินน้อยที่ทำให้แท่นหินนั่นเปล่งประกายแล้ว ก็หาได้มีใครอื่นไม่?
“เอ๊ะ? หรือว่า....” อู๋เจ๋อฟางเงยหน้าสบตาเจ้าสำนักหนุ่มที่ยังคงนิ่งเฉยไร้อารมณ์
“...”
“เอ่อ ฮะ..ฮูหยินน้อย...กลับมาแล้วหรือขอรับ” เขากลั้นใจถามในสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป ด้วยตลอดแปดปีที่ผ่านมานั้น อู๋เจ๋อฟางทราบดีว่าหากใครก็ตามในสำนักพูดถึงฮูหยินขึ้นมา จะต้องถูกสั่งลงโทษเสมอ ด้วยอดีตเจ้าสำนักคนก่อนเห็นว่า ในเมื่อนางตายไปแล้ว ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก คร่ำครวญไปก็หามีประโยชน์ไม่ ที่เหลือก็รอแค่ให้เจ้าสำนักคนปัจจุบันทำใจได้ก็เท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่า ผ่านมานับหลายปี เจ้าสำนักก็ยังไม่ยอมแต่งฮูหยินใหม่เข้าจวน
“...”
ความเงียบถือเป็นคำตอบที่ไม่เลวนัก บางทีเจ๋อฟางอาจคิดผิดก็ได้ สตรีที่ตายไปแล้วเช่นฮูหยินจะฟื้นขึ้นมาอีกได้อย่างไร เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี
“มะ มิบังอาจถาม แต่ใครกันที่กล้าลงโทษคนผู้นั้นได้ ช่างเป็นผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำโดยแท้” อาจารย์สายสุนีย์เพิ่งล้างจานเสร็จ เตรียมตัวจะอาบน้ำเกิดจามขึ้นมากะทันหัน เธอค่อนขอดในใจว่าต้องเป็นยัยสามแสบแน่ๆ โดยนึกไม่ถึงว่าในโลกนี้ ไม่ได้มีเพียงมิติเดียวที่ดำรงชีวิตอยู่ ท่านเจ้าสำนักหลี่ลุกขึ้นเอามือไพล่หลังแล้วอมยิ้มน้อยๆ เพื่อกันผู้คุ้มกันที่พอได้ยินก็หน้าชาไปครึ่งส่วน
“อาจารย์ของนาง”
ผู้คุ้มกันอู๋ถึงกับไปไม่เป็น ด้วยเป็นที่รู้กันว่าในยุคสมัยใด หากศิษย์เชื่อฟังอาจารย์ย่อมถือว่าเป็นศิษย์ที่ดี แต่หากศิษย์ไม่เชื่อฟัง การถูกลงโทษก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“ขะ ข้าไม่ได้จะกล่าวเช่นนั้น”
“ข้าใช้พลังจิตมากเกินไป คิดว่าจะขอพักซักหน่อย” ยังไม่ทันคิดลงโทษตนเอง เจ้าสำนักหลี่ก็พูดด้วยเสียงเย็นชาตัดหน้าเสียนี่ ผู้คุ้มกันอู๋ได้ยินเช่นนั้นก็เสียวสันหลังอยู่สามส่วน จึงรีบโค้งคำนับลงอย่างเนียนๆแล้วถอยออกมาเฝ้ายามอยู่ข้างนอก
เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด ก็เหลือเพียงแค่ท่านเจ้าสำนักที่บอกว่าจะขอพักซักหน่อย แต่กลับเอาแต่นอนแขนก่ายหน้าผาก ยิ้มไม่เชิงยิ้ม ซักพักก็ถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า คิ้วเรียวขมวดมุ่นที่เห็นในโรงเตี้ยมชั้นดียามที่ถูกอาจารย์ดุนั้น ช่างน่ามองยิ่งนัก ถึงจะไม่ชอบให้ใครมาดุนางต่อหน้า แต่การที่หัวข้อสนทนามีตัวตนของเจ้าสำนักอยู่ด้วย นั่นก็มากเพียงพอที่จะบอกได้ว่า อีกไม่นานนางก็จะกลับมาอยู่เคียงข้างตนแล้ว
“ลี่เอ๋อร์ ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีข้าไม่พ้นอยู่ดี”
หลังรายงานความคืบหน้าให้ผู้เป็นแม่ฟังผ่านโปรแกรมไลน์เสร็จ จันทร์เจ้าขาก็เตรียมตัวเข้านอนแต่หัววัน ตกดึกช่วงที่ทุกคนกำลังหลับใหล มีเพียงเธอที่กระสับกระส่ายไปมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างมารบกวนร่างกายบริเวณซอกคอของเธอ พอปล่อยตัวให้ว่างๆ สัมผัสหนักอึ้งตรงริมฝีปากก็เข้าครอบงำจนสั่นสะท้าน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!!
พลั่กกกก
หญิงสาวพยายามถีบผ้าห่มออกเพื่อจะดูว่าตัวอะไรกันแน่ที่ซ่อนอยู่ในนี้ ทว่า พอเบิกตาทั้งที่ยังงัวเงียอยู่ ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากตัวเธอกับหมอนข้างที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ น่าแปลกชะมัด เธอล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่แล้วสัมผัสเดิมก็เข้าครอบงำจนกระดิกตัวไม่ถนัด จะบอกว่าถูกผีอำก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้ยังกระดิกตัวได้อยู่ แต่ความรู้สึกมันเหมือนมีคนกอดซะมากกว่า แถมพอจะพลิกไปด้านซ้าย มันก็พลิกไปด้านขวา พอเธอพลิกขวา มันก็พลิกมาทางซ้าย ในที่สุดเธอก็หล่นจากเตียงดังตุ๊บ เหตุเพราะต่อสู้แย่งชิงพื้นที่กับสิ่งที่มองไม่เห็น
“อูย ใครวะ! ถ้าเจอตัวนะ! ฉันอัดแกแน่! ผีก็ผีเถอะ! คนจะนอนโว๊ย!”
เกือบค่อนคืนที่เธอต้องด่าไอ้ผีผ้าห่มซ้ำๆในความมืด ที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องเข้ามาแค่ร่ำไร ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อเตียงนั่นมันมีเจ้าของแต่เธอดันขอแล้วเขาไม่ยอม งั้นตอนนี้เธอยกให้ก็แล้วกัน จันทร์เจ้าขาดึงผ้าห่มลงมาปูนอนข้างๆเตียง แล้วคลำหาเสื้อกันหนาวอีกตัวมาสวมทับล้มตัวลงนอนใหม่ กรอกตาล่อกแล่กผ่านความมืดกลับไม่พบสิ่งใด ดูซิว่าจะกวนได้อีกไหม
“ที่งี้ล่ะไม่มา สงสัยจะอยู่ที่เตียงจริงๆ ไอ้ผีงกเอ๊ย”
ใบหน้าสวยระบายยิ้มสะใจกับความคิดตัวเอง ถึงจะกลัวอยู่บ้าง แต่ไอ้ผีตนที่เธอเห็นลางๆมันหล่อมากเหลือเกิน ทั้งๆที่มองฝ่าความมืดแล้วแท้ๆ แต่ราศีก็ยังจับ ไม่แน่ใจว่าตอนยังมีชีวิตอยู่จะฮอตปรอทแตกขนาดไหน จันทร์เจ้าขาชั่งใจอยู่สิบห้านาที จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง เสียงลมหายใจกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะดังเข้าโสตประสาทคนที่อยู่ในความมืด
เจ้าสำนักหลี่นอนตะแคงซ้ายข้างๆฮูหยินน้อยของตนแล้วเอื้อมมือลูบแก้มใสอย่างทะนุถนอม จมูกโด่งเป็นสันเลื่อนเข้าไปสูดกลิ่นหอมอ่อนๆให้หายชื่นใจ เคล้าคลอเคลียอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานก่อนจะฝังริมฝีปากลงที่ซอกคอขาว จันทร์เจ้าขากระตุกกับสัมผัสแปลกใหม่อันอุ่นร้อนแล้วก็หลับไปทันทีที่อ้อมกอดอุ่นๆแทกกายเข้ามา เมื่อเห็นว่าฮูหยินของตนไม่มีหมอนรองศีรษะ เจ้าสำนักหลี่จึงใช้แขนข้างที่ว่างอยู่ ดันศีรษะเล็กเข้ามาหนุนตนแล้วกกกอดนางเอาไว้แนบกาย
“ลี่เอ๋อร์ นี่ก็นานมากแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้นอนกอดเจ้าเช่นนี้ แปดปีแล้ว เจ้านอนหลับสบายโดยไม่มีข้าเคียงข้างได้อย่างไร”
หนึ่งบุรุษตัดพ้อในความมืดมิด มีเพียงแสงจันทราเท่านั้นที่รับรู้ความในใจ เมื่อความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วร่าง จันทร์เจ้าขาจึงขยับกายเข้าหาคนที่นอนกอดตนแน่นขึ้นกว่าเดิม เห็นเช่นนั้นเจ้าสำนักหลี่จึงค่อยๆระบายยิ้มออกมา นึกอยากจะพานางกลับไปพร้อมกับตนเสียแต่ตอนนี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้ หากไม่กล่าวสิ่งใดกับนางเลย
“ลี่เอ๋อร์ รอข้าอีกหน่อยเถิด แล้วข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าเข้าใจเอง ถึงตอนนั้น ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธข้านะ” แล้วจุมพิตหน้าผากนางไปหนึ่งหน กล่าวได้ว่าการได้มองภรรยานอนหลับเช่นนี้ คือความสุขอย่างหนึ่งของท่านเจ้าสำนักที่ว่ากันว่าเย็นชานักหนา
“คนอื่นเมินข้านั้นย่อมไม่สน แต่หากเป็นเจ้าข้าย่อมทนไม่ได้ วันนี้ที่เจ้าเห็นข้าถึงสองครั้งแล้วไม่พูดอะไร นั่นเพราะเจ้ายังไม่หายโกรธข้าเรื่องวันนั้นใช่หรือไม่ ลี่เอ๋อร์ ข้ารักเจ้าขนาดนี้ ข้าจะยอมทิ้งเจ้าไปได้อย่างไร”
ท่านเจ้าสำนักวนจูบแก้มใสแล้วแช่ไว้เนิ่นนาน แล้วจึงเลื่อนขึ้นหน้าผากไล่ลงมาปลายจมูก แก้ม และปากก่อนจะค้างไว้ราวกับราชสีห์ที่หิวกระหาย เพียงแต่ราชสีห์ตนนี้ยังพอมีสติยับยั้งว่า เพลานี้มิควรทำอะไรวู่วาม แม้ว่าแก่นกายใต้อาภรณ์จะเรียกร้องมากเพียงใดก็ตาม
“ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะให้อภัยข้า ลี่เอ๋อร์ สำนักหงส์มังกรดำยังต้องการทายาทจากเจ้าอยู่นะ” ว่าแล้วก็สูดกลิ่นแก้มนางเข้าไปลึกๆ
กล่าวได้ว่าคืนนั้น ทั้งเจ้าสำนักหลี่และจันทร์เจ้าขา ต่างก็หลับไปด้วยกันอย่างมีความสุข
ในฝัน..ที่หอสักการะฟ้าดินเทียนถาน จันทร์เจ้าขาเห็นบุรุษรูปงามไร้ที่ติผู้หนึ่งในชุดจีนโบราณสีฟ้าสลับขาว กำลังจูงมือเธอที่สวมชุดผู้หญิงจีนโบราณ ทันทีที่กล่าวถ้อยคำบางอย่างต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธ์ ณ ยอดเขานั้นจบลง ทั้งเขาและเธอต่างจ้องตากันหวานซึ้ง ก่อนที่ฝ่ายชายจะค่อยๆย่อเข่าลงข้างหนึ่ง เพื่อสวมรองเท้าให้กับเธอ แต่ว่าเธอในฝันนั้น จันทร์เจ้าขาคือหญิงสาวหน้าตางดงามอ่อนหวาน ราวกับกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งท่วงท่าการเดินที่นุ่มนวล กิริยาท่าทางในขณะที่ชายหนุ่มจูงมือเธอทำกิจกรรมอย่างอื่นร่วมกัน มันช่างงดงามน่ามองยิ่งนัก ซึ่งต่างจากเธอในปัจจุบัน ที่หาความอ่อนหวานนั้นไม่เจอแม้แต่น้อย
นี่คงเป็นจิตใต้สำนึกในมโนธรรมเล็กๆของเธอที่แม่เคยวาดฝันไว้ให้ จันทร์เจ้าขาเลยเก็บความต้องการเหล่านั้น มาฝันในคืนนี้เพื่อปลอบใจตนเองก็เป็นได้...
รุ่งเช้า จันทร์เจ้าขาตื่นมาก็พบว่าตัวเองนอนขดในผ้าห่มราวกับดักแด้ ฉุกคิดได้ว่าเมื่อคืนไม่ใช่ว่าเธอนอนกอดหมอนข้างหรอกเหรอ ร่างเล็กหมุนตัวออกก่อนจะพบความผิดปกติราวกับมีไอร้อนกัดกินตรงซอกคอ พอเอามือขึ้นแตะ กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่เพื่อความแน่ใจ เธอจึงลุกไปส่องกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“เฮ๊ย!!”
ฟึ่บบบบ
ร่างเล็กกระโจนขึ้นเตียงแล้วห่อตัวในผ้าห่มจนมิดคอ ไอ้รอยช้ำแดงๆนั่นมันมาได้ยังไง!! คิดไม่ทันจบ ปลานิลก็ตื่นขึ้นมา สาวโย่งขยี้ตาไล่ความง่วงงุนก่อนจะพบดักแด้น้อย นั่งกอดเข่าคอตกอยู่บนเตียงที่สาม
“เป็นอะไร หนาวขนาดนั้นเลยเหรอ” ดักแด้น้อยพยักหน้าหงึกหงัก อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
“ตื่นแล้วทำไมไม่ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาวะ เดี๋ยวก็สายหรอก โอเมก้านัดเราเจ็ดโมงครึ่งนะ”
“แกไปอาบก่อนเลย ฉะ..ฉัน..ฉันยังง่วงอยู่” ว่าจบก็ทิ้งตัวลงนอนตะแคง หันหน้าไปทางม่านหน้าต่าง ปลานิลอดจะแปลกใจไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ถาม พอเห็นเพื่อนเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว จึงยอมโผล่หัวทุยๆออกจากฝัก แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นขาป้อมๆกวัดไกวที่เตียงกลาง
“โธ่กะทิ!!”
“อื้อออ ตกใจอะไรขนาดนั้นวะแก ฉันไม่ใช่ผีนะ แล้วนี่ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” ร่างตุ้ยนุ้ยเดินงัวเงียมาที่เตียงเธอ ก่อนจะเบียดพื้นที่คับแคบอยู่แล้ว เพื่อขอแบ่งผ้าห่มดักแด้มาห่มครึ่งหนึ่ง
“ไม่ได้กะทิ!! อันนี้ของฉัน!!”
“แกจะหวงอะไรนักหนา ของเพื่อนก็คือของของเรา” จันทร์เจ้าขาดึงผ้าห่มของเธอไว้มั่น
“แต่ฉันหนาวมาก!! ถ้าแกห่มกับฉัน ฉันต้องแข็งตายแน่ๆ” นี่เธอต้องโกหกไปถึงเมื่อไหร่
“หนาวแบบนี้ก็ยิ่งต้องห่มด้วยกันเลยแหละแก จะได้อุ่นๆ” ดึงผ้าห่มมา
“ไม่ได้!! อันนี้มันของฉัน” ดึงผ้าห่มกลับ อีกนิดเดียวมันก็จะหลุดคอเธออยู่แล้ว ถึงตอนนั้นได้ความแตกกันพอดี
“แกนี่ขี้งกพอๆกับโอเมก้าผีเลย ไม่ให้ก็ไม่ให้ดิวะ” กะทิเดินงอนไปหยิบผ้าห่มบนเตียงตัวเองขึ้นมา ก่อนจะหันกลับมานอนเบียดจันทร์เจ้าขาเกือบตกเตียง ซึ่งพอดีกับปลานิลออกมาจากห้องน้ำ
“ใครจะเป็นคนอาบก่อน”
“ฉัน / ฉัน” ยกมือขึ้นพร้อมกันแล้วถลึงตาใส่
“กะทิ ฉันตื่นก่อนแก เพราะงั้นฉันจะเป็นคนอาบก่อน” จันทร์เจ้าขาบอก
“แต่เมื่อกี้แกบอกว่าหนาวไม่ใช่เหรอ งั้นฉันอาบก่อนก็แล้วกัน” กะทิทำท่าจะลุก แต่ถูกจันทร์เจ้าขากระแทกไหล่ล้มลงไปกับเตียง เธอใช้จังหวะนั้น หอบผ้าห่มทั้งผืนวิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
“อะไรของมัน?” สองเกลอมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แตกต่างจากคนที่หอบผ้าห่มทั้งดุ้นเข้ามาในห้องน้ำ ได้แต่นั่งถอนหายใจบนฝาชักโครก พลางเอามือตบหน้าผากหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“เกือบไปแล้วไหมล่ะยัยจันทร์เอ๊ย”
9.00 น.
คณะนักเรียนโรงเรียนบ้านทุ่งมะขามหวานเดินทางมาถึงพระราชวังต้องห้ามตามโปรแกรมที่กำหนด หลังจากตรวจสัมภาระที่ต้องพกติดตัวไปด้วยแล้ว อาจารย์สายสุนีย์ก็นำนักเรียนเดินตามไกด์เข้าไปด้านใน พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจัตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวที่เข้ามาส่วนใหญ่ จะเข้าผ่านทางประตูเทียนอันเหมินแห่งนี้ บริเวณรอบจัตุรัสเรียกว่าอาณาเขตหลวง
ซึ่งในอดีต พระราชวังแห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ประชาชนเข้า แม้แต่ข้าราชการชั้นสูงยังต้องขออนุญาตเข้าเป็นกรณีพิเศษ จึงเป็นที่มาของคำว่า พระราชวังต้องห้าม ซึ่งใช้เป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิเพื่อกั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนม นางกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้มากมาย และบุคคลเหล่านี้ ก็จะอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว แต่พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของจีนได้ในอดีต
เสียงไกด์ยังคงอธิบายรายละเอียดยิบย่อยตลอดแนวทางที่กลุ่มนักเรียนเดินผ่าน ถึงแม้ว่าวันนี้จะอากาศเย็นสบายและนักท่องเที่ยวหนาตา แต่สำหรับจันทร์เจ้าขาที่ได้นอนแค่ครึ่งคืน ลำพังแค่หลับหูหลับตาเดินก็ถือว่าทนสุดๆแล้ว
ปั๊กกกก
“อ๊ะ!!”
“อ้าวจันทร์เจ้า เป็นอะไรรึเปล่า” จู่ๆร่างสูงที่เดินนำหน้าเธอก็หยุดกะทันหัน จันทร์เจ้าขาที่ง่วงงุนเดินคอตกไม่ทันระวัง จึงชนแผ่นหลังเข้าอย่างจัง ราวกับโลกทั้งใบเอียง เธอก็เซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่กางแขนรออยู่แล้ว
“ว๊าย ยัยจันทร์” กะทิร้องเสียงหลง แต่มือก็รีบสะกิดปลานิลที่มัวแต่เซลล์ฟี่ให้รีบหันมาดู ยังดีที่เพื่อนคนอื่นๆเดินไปก่อน เลยไม่ทันได้เห็นฉากเด็ด
“แกๆถ่ายรูปไว้ๆ”
จันทร์เจ้าขาที่ได้สติรีบดันตัวออกห่างกันเตอร์ หนุ่มฮอตรุ่นเดียวกันสายวิทย์- คณิต ซึ่งมีข่าวลือว่าแอบชอบเธอมาตั้งแต่มอสี่ แต่ความเป็นทั้งเพื่อนข้างบ้านและชั้นเดียวกัน จันทร์เจ้าขาเลยไม่ใส่ใจมากนัก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะจีบเธอทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย แต่เธอก็ชัดเจนในสถานะมาตั้งแต่ต้น ทั้งคู่สบตากันโดยบังเอิญ ในจังหวะที่เธอดึงผ้าพันคอให้แน่นขึ้น เป็นเหตุให้สองเกลอที่รัวชัตเตอร์ไปหลายช็อตอิจฉาตาร้อนไปตามๆกัน
“โหย จะจ้องกันจนลูกคลอดเลยไหมค๊า คุณกันคุณจันทร์ แหม๋ๆ”
“กะทิ!!” จันทร์เจ้าขาหันไปถลึงตาใส่เพื่อนสาวที่เสียงมักมาก่อนตัวเสมอ กะทิยักไหล่แสร้งทำเป็นสนใจรูปที่แอบถ่ายไว้ก่อนหน้ากับปลานิล “รูปเมื่อกี้สวยเนอะแก”
“ขอบตาเธอดูคล้ำๆนะ เมื่อคืนนอนน้อยเหรอ” กันเตอร์ถือวิสาสะจับใบหน้าสวยแล้วลูบใต้ตาคล้ำเบาๆ จันทร์เจ้าขาเองก็ไม่คิดจะปฏิเสธ เพราะสนิทกันในระดับหนึ่ง นอกจากตอบรับเสียงอืม แล้วกระชับผ้าพันคอไหมพรมสีแดงไว้มั่น
“จันทร์เจ้า ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ เดี๋ยวฉันไปบอกอาจารย์ให้”
“ไม่เป็นไรหรอกกัน แค่ต้องดื่มน้ำให้มากๆหน่อยเราก็โอเคแล้วล่ะ” ว่าพลางหยิบขวดน้ำที่พกมาในกระเป๋าขึ้นดื่มรวดเดียว กันเตอร์ยกยิ้มสบายใจที่เห็นว่าคนที่แอบชอบยังอยู่ดี เว้นก็แต่สิ่งมีชีวิตอีกมิติหนึ่ง ซึ่งพอเห็นภาพในมโนคิดเกิดขึ้นกะทันหัน ถ้วยน้ำชาที่ได้พระราชทานจากเสด็จปู่ หรือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็พลันถูกบีบแตกเป็นเสี่ยงๆ
เพล๊งงงงงง
ผู้คุ้มกันอู๋ยืนคุมเชิงอยู่นอกห้อง ได้ยินเสียงผิดปกติก็รีบเปิดประตูเข้ามาดู ก่อนจะพบว่ามือขวาของท่านเจ้าสำนัก มีเศษกระเบื้องที่เมื่อก่อนเคยเป็นถ้วยน้ำชาถูกบดละเอียด
“ท่านเจ้าสำนัก!! มือของท่าน?....”
เลือดสีแดงสดไหลลงเป็นทางยาวเปอะเปื้อนผ้าแพรชั้นดีจนย้อมกลายเป็นสีเดียวกัน กล่าวได้ว่าตอนนี้ ทั่วทั้งสำนักหงส์มังกรดำ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนไปด้วยพลังยุทธ์สูงส่ง เพียงไม่นานลมพายุลูกใหญ่ก็โจมตีทั้งหุบเขาซงซาน ยอดไผ่ตรงรายทางเอนไหวเสียดสีกันจนน่าสะพรึงกลัว สัตว์น้อยใหญ่ที่ออกหากินช่วงเวลานั้น นับว่าต่างวิ่งหนีตายด้วยกันทั้งนั้น เพียงไม่นาน ฝนพายุพัดกระหน่ำก็ตกลงมาอย่างหนัก ไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงแต่อย่างใด
มีเพียงสองผู้เฒ่าที่อายุเป็นเพียงตัวเลข แต่รูปร่างหน้าตากลับยังหนุ่มแน่นคล้ายคนอายุสี่สิบต้นๆเท่านั้น ที่มองเหตุการณ์วิปลาสนี้ว่าเกิดจากฝีมือผู้ใด
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้ารองกันแน่ เหตุใดจึงได้เรียกวิชาลมกรดทะลวงเมฆาออกมาพร่ำเพรื่อเช่นนี้” ฝูจิ้งอวิ๋นน อดีตเจ้าสำนักหงส์มังกรดำหรือก็คือท่านตาของเจ้าสำนักหลี่คนปัจจุบันเอ่ยขึ้น
“จริงแท้ประการใดไม่อาจรู้ ด้วยนิสัยของเจ้ารอง มักเป็นคนสุขุมเยือกเย็น เกรงว่าเหตุการณ์วิปลาสครั้งนี้ จะไม่ใช่ตามที่ท่านกล่าวอ้าง” ฮูหยินฝู หรือจางซู่เอ๋อ ท่านยายของเจ้าสำนักเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นเราใช้พลังยุทธ์เหาะไปเถิดฮูหยิน เดินนานแล้วข้าเมื่อย”
“ท่านนี่อ่อนปวกเปียกยิ่งนัก ถ้าเดินไม่ไหวก็นำหน้าข้าไปก่อนสิตาเฒ่า” กล่าวจบ ฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวก็เดินนำลิ่วตามสันเขาไป ถึงแม้ฝนจะตก แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ขั้นสูงเช่นสองผู้เฒ่าหน้าเด็กมีหรือจะเปียกปอน ไม่คาดคิดว่าฮูหยินอดีตเจ้าสำนักจะร้อนวิชาได้ถึงเพียงนี้
“โธ่ฮูหยิน ใช่ว่าข้าไม่อยากเดินกับเจ้าหรอก แต่การประลองยุทธ์ที่ต้องอ่อนให้เจ้าถึงสามส่วน ทำให้ข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว เจ้าไม่เห็นใจข้าบ้างรึ” ใช่ว่าตลอดการเดินทางที่ผ่านมาจะไม่โอดครวญ อดีตเจ้าสำนักก็เดินคอตกตามหลังฮูหยินไปเงียบๆอย่างรู้งาน
กล่าวถึงคนที่อารมณ์เรียกได้ว่าครึ้มฟ้าครึ้มฝน เจ้าสำนักหลี่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ถึงแม้ว่าจะมีเสียงทักท้วงจากผู้คุ้มกันอู๋ว่าให้ถอดสมาธิออกมาทำแผลก่อนก็หาได้ฟังไม่ เมื่อทนฟังเสียงรบกวนต่อไปไม่ไหว ก็ใช้พลังอีกส่วน ดันร่างกำยำของผู้คุ้มกันออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสีย
ปังงงงงงงง
“ฮูหยิน! เจ้าล้อเล่นกับข้าพอหรือยัง!”
