บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 ความจริงหรือเพียงแค่ฝันไป

"บิงโก!! ตานี้แกแพ้แล้วกะทิ เอาลูกอมที่ยึดฉันไปคืนมาเลย”

“ได้ไง เมื่อกี้แกขี้โกงอะ”

“เฮอะ! ฉันเหรอขี้โกง แกเล่นไม่เป็นเองต่างหาก”

“งั้นลองใหม่อีกซักตา ถ้าฉันแพ้ คราวนี้ค่อยนับว่าแพ้จริงๆ”

“กะทิ แกอย่าตุกติกได้ปะ แพ้แล้วก็แพ้ดิ”

“พอกันทั้งคู่นั่นแหละ! นี่พวกเธอคิดว่าอยู่กันสองคนรึไงยะ! เงียบๆหน่อย!”

“อาจารย์คะ ก็กะทิมัน...”

“เงียบ! ถ้าเครื่องลงเมื่อไหร่ ฉันจะลงโทษพวกเธอแน่”

“เฮือก!! ไม่นะ!!อย่า!!!!!!”

“จันทร์เจ้า!! / จันทร์เจ้า!!”

“แฮกๆๆๆๆ” จันทร์เจ้าขาดีดตัวจากเบาะ เป็นเหตุให้เพื่อนๆต้องวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างบางนั่งหอบหายใจถี่แรง ด้วยจิตสุดท้ายที่เห็นคือเธอกำลังจมน้ำตาย แต่จู่ๆก็มีลำแสงประหลาดดึงตัวเธอขึ้นมา กลิ่นคาวเลือดที่เห็นในตอนนั้น ยังติดที่ปลายจมูกอยู่เลย

“รีบหนีเร็ว!! รีบหนีเร็ว!! เครื่องบินกำลังจะระเบิดแล้ว!! เราต้องหนีแล้วเร็วๆเข้า!!” ร่างเล็กเขย่าแขนใครซักคนทั้งที่ยังมองไม่เห็น ท่าทางลุกลี้ลุกลนนั่น ยิ่งทำให้อาจารย์สายสุนีย์ ครูประจำชั้นอดเป็นห่วงไม่ได้

“จันทร์เจ้าขา ใจเย็นๆก่อนนะ เธอแค่ฝันร้ายนะจ๊ะเด็กดี ไม่เอานะไม่ร้องๆ” อาจารย์สายสุนีย์ที่เธอมักเรียกว่าโอเมก้าผีดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น ก่อนจะลูบหลังให้คลายกังวล

“เด็กดีๆ เมื่อกี้เธอแค่ฝันร้ายน๊า”

“ฮึกฮือ อาจารย์คะ หนูไม่ได้ฝันนะ เมื่อกี้มีศพคนอื่นๆเต็มไปหมดเลย มีหนูรอดอยู่คนเดียวอะ แล้วหนูก็เห็นศพอาจารย์นอนตายคว่ำหน้า แต่ส่วนอื่นๆกลับเละไปหมด หนูกลัวมากเลยค่ะอาจารย์ ฮืออออ”

อาจารย์สายสุนีย์ถึงกับหน้าเบ๊ นี่ศิษย์รักกล้าฝันว่าเธอตายศพไม่สวยได้อย่างไร พอเพื่อนๆได้ยินจันทร์เจ้าขาเพ้อหนักแบบนั้น ก็พากันแอบขำ เพราะใครๆต่างก็รู้ว่ายัยนั่นมักถูกชะตากับอาจารย์แทบนับครั้งได้ นี่คงเป็นหนึ่งในวิธีเอาคืนของยัยแสบจันทร์เจ้าแน่ๆ

“เอ่อ จันทร์เจ้าขาจ๊ะ อาจารย์ว่านะ เธอคงนอนมากไปหน่อย จนฝันเป็นตุเป็นตะ ยังไงตอนนี้เธอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยดีไหม เผื่อว่าจะดีขึ้น”

อาจารย์ใช้นิ้วปาดน้ำตาให้ศิษย์รัก? แต่จันทร์เจ้าขายังคงส่ายหน้ารัวๆ เนื่องจากภาพที่เห็นในฝัน ต้นเหตุระเบิดมันมาจากข้างหลัง แน่นอนว่าเธอจะไม่ไปเหยียบตรงนั้นเป็นอันขาด

“หนูโอเคขึ้นแล้วค่ะ” เธอบอกทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตา

“ถ้าอย่างนั้น..กะทิ! ปลานิล! พวกเธอไปขอผ้าเย็นจากพี่แอร์ฯมาให้เพื่อนหน่อยไป” หันไปบอกแล้วเน้นน้ำเสียงตรงชื่อว่าเธอคาดโทษเอาไว้อยู่ ก่อนที่สองเกลอจะรับคำสั่งแล้วแหวกทางเพื่อนคนอื่นๆ แกมขู่ให้แยกย้ายไปนั่งที่ กลุ่มไทยมุงสลายแล้วจันทร์เจ้าขาจึงกวาดตามองอย่างระมัดระวัง เห็นเพื่อนคนอื่นๆรวมทั้งลูกเรือที่โดยสารมาด้วยยังอยู่ในสภาพดีก็อุ่นใจขึ้นบ้าง หรือว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่เธอเห็นจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น

“นี่ผ้าเย็นของเธอ เช็ดหน้าเช็ดตาให้เรียบร้อยซะ ถ้ามีอะไรก็เรียกอาจารย์ได้ตลอดนะ อาจารย์นั่งอยู่เบาะหลังเธอ” จันทร์เจ้าขารับผ้าเย็นมาเช็ดหน้าตามที่บอก แล้วอาจารย์จึงกลับไปนั่งที่ โดยไม่วายส่งสายตาพิฆาตให้สองเกลอของเธอที่ทำเสียเรื่องไปครั้งหนึ่ง

“จันทร์ เมื่อกี้แก....”

หมับบบบ

“พวกแกยังไม่ตายจริงๆใช่ไหม” เธอโผลเข้ากอดสองเพื่อนรักเต็มๆแรง จะผลักก็ผลักไม่ออกเพราะความดีใจมันจุกอก จนที่สุดของความอึดอัดกะทิถึงได้บอกออกไป

“เอ่อ..คือแก..ถ้าแกไม่ปล่อยพวกฉันตอนนี้เห็นทีจะได้ตายกันจริงๆ”

“ดูพูดเข้าสิแกก็” จันทร์เจ้าขาคลายอ้อมกอดออกยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อเห็นว่าเพื่อนยังอยู่ดี

“ไหนแกลองเล่ามาซิ ว่าเหตุการณ์ในฝันแกเป็นยังไงมั่ง เห็นดราม่ากับโอเมก้าผีแบบนั้นฉันก็ไม่สบายใจ” ประโยคหลังปลานิลยังต้องแอบกระซิบ ก่อนจะเหลือบตาไปด้านข้าง กะทิเห็นจึงรีบดึงตัวเพื่อนทั้งสองให้นั่งลงอย่างรู้ทัน

“เล่ามาให้ระเอียดยิบเลยนะแก ห้ามหมกเม็ดแม้แต่อย่างเดียว”

“จัดไปสิ” แล้วจากนั้น วิทยากรกิตติมศักดิ์จันทร์เจ้าขาก็เล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ จนแม้กระทั่งคนฟังที่เรียกว่าต้องทนฟังอยู่เบาะหลังอย่างอาจารย์สายสุนีย์ ยังต้องหยิบสโมท็อกค์ขึ้นมาอุดหู

“อี๋ น่ากลัวว่ะแก....”

17.30 น.

เครื่องบินJ32010 แลนดิ้งเข้ามาจอดเทียบยังสนามบินปักกิ่งอย่างปลอดภัย กลุ่มนักเรียนโรงเรียนบ้านทุ่งมะขามหวานที่รอเช็คกระเป๋าสัมภาระอย่างอื่นเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังที่พักที่ติดต่อไว้ จันทร์เจ้าขาที่สัมภาระแทบจะเรียกว่าน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อน เดินลากกระเป๋าขึ้นห้องอย่างว่องไว ยังดีที่โรงแรมที่จองไว้ได้ห้องนอนสามคนต่อหนึ่ง แน่นอนว่าสามเกลอต้องได้พักที่เดียวกัน

ตุ๊บบบบ

“อ๊าาาา เหนื่อยเป็นบ้าเลยแก” จันทร์เจ้าขาทิ้งตัวลงนอนกับเตียงที่แบ่งให้คนละส่วน ก่อนจะเกลือกลิ้งไปมาราวกับคนขี้เกียจจะทำอะไรแล้ว

“มาถึงก็จะนอนเลยรึไงยะ โอเมก้าให้เวลาพวกเราสิบห้านาทีเองนะ รีบไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวไม่มีเวลาจะมาโทษกันไม่ได้นะเว๊ย” ปลานิล คุณแม่ของกลุ่มเตือนสติ แต่มีเหรอที่คนหน้ามึนอย่างจันทร์เจ้าขาจะไม่เข้าใจ เพียงแต่เธอไม่ทำตามก็แค่นั้น

“ม่านหน้าต่างเปิดได้ปะแก มาปักกิ่งทั้งที ขอสูดบรรยากาศเมืองคนรวยหน่อย”

แกร๊กกกกก

ทันทีที่ม่านเปิด จันทร์เจ้าขาก็ออกไปยืนสูดอากาศเมืองคนรวยตามที่พูดทันที ปลานิลที่เก็บของบางส่วนเข้าตู้ได้แต่ส่ายหน้าแล้วลงมือสนใจของของเธอต่อ ส่วนกะทิ รายนั้นก็เข้าห้องน้ำป่านนี้ยังไม่ออกมาซักที นี่คงเป็นเหตุผลที่ยัยแสบจันทร์เจ้าหาอะไรทำคร่าเวลา

สายลมหนาวหอบพัดความเย็นเข้ามาปะทะร่างเล็กจนสั่นสะท้าน จันทร์เจ้าขากระชับเสื้อคลุมแน่น ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยิบผ้าพันคอในห้องมาพันเพื่อกันหนาว แต่ทันทีที่สายตากลมมองผ่านไปยังต้นไม้ใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ เธอกลับเห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาระดับซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าของเอเชียในชุดจีนโบราณสีฟ้าสลับขาว กำลังยืนกอดอกพิงต้นไม้ทอดสายตามองมาที่เธอ

“....”

แววตาคู่นั้นทอประกายวิบวับราวกับรอคอยบางอย่าง ถึงแม้ว่าจะมองอยู่ไกลๆ แต่ยิ่งสบตาคู่นั้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้แค่คืบจนรับรู้ถึงลมหายใจ ผมที่มัดเป็นหางม้าครึ่งหัวถูกรวบตึงไว้ข้างหลังด้วยผ้าผูกสีเดียวกับชุด แม้จะบอกว่าเธอไม่ค่อยถูกโฉลกกับผู้ชายผมยาวเท่าไหร่ แต่อีตานี่ ทั้งหน้าทั้งหุ่น องค์ประกอบรวมๆแล้วแซ่บเว่อร์

ราวกับเขาอ่านใจเธอออกหรืออย่างไรไม่รู้ เพียงแค่คนที่อยู่ไกลๆกระตุกยิ้มมุมปาก หัวใจแข็งกระด้างของเธอก็พลันอ่อนระทวยไปหมดสิ้น

โหยยยย โคตรหล่อเลย ดาราแน่ๆ หน้าตาคุ้นๆแบบนี้ หรือจะใช่ซุปตาร์จีนที่ปลานิลมันกำลังกรี๊ดในซีรี่ห์อยู่นะ เหมือนจะชื่อหวังป๋อจ้าน อะไรซักอย่าง เอ่อ ช่างเถอะ เธอไม่ใช่คอซีรี่ห์มิตรภาพลูกผู้ชายซักเท่าไหร่ ว่าแต่แถวนี้มีกองถ่ายด้วยเรอะ ไหนล่ะตากล้อง? เผื่อได้เข้าเฟรมบ้าง

“จันทร์เจ้า กะทิมันออกมาจากห้องน้ำแล้วนะ แกจะเข้ารึเปล่า” เสียงปลานิลร้องทัก ทำให้จันทร์เจ้าขาที่กำลังอ้าปากค้างต้องดึงสติกลับมา

แปะๆ

เธอตบเข้าที่แก้มทั้งสองแล้วหันไปตอบเพื่อนอย่างเร็ว ก่อนจะมองไปที่ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง ทว่า อีตาพระเอกงิ้วดันหายไปแล้ว

“อ้าว หายไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย”

“เห็นอะไรของแกยะ นี่เรียกจนปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้ว อย่ามาลีลานะยัยจันทร์ รีบไปเข้าห้องน้ำเร็วๆเลย” เสียงที่มาก่อนสามวินาทีปลุกคนที่อยู่ข้างนอกสะดุ้ง แต่ความสงสัยทำให้จันทร์เจ้าขาลองชะโงกหน้าออกไปดู ก็ถูกมือปริศนามาดึงหูไว้พร้อมกับปิดม่านลงในที่สุด

“โอ๊ยๆ กะทิเบาๆสิแก”

ที่ห้องอาหารภายในโรงแรมที่จัดเตรียมไว้ให้ หลังจากอาหารถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ ความตะกละที่ไม่เข้าใครออกใคร ก็ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบไปด้วยเสียงซดน้ำแกง หลังกินไปได้พอสมควร จันทร์เจ้าขาก็วางตะเกียบลงแล้วเลื่อนชามซุปอะไรซักอย่างให้กะทิ ซึ่งกินยังไงก็บ่นว่าไม่อิ่ม

“เป็นยังไงบ้างอาหารมื้อนี้ อร่อยใช่ไหมคะนักเรียนที่น่ารักทุกคน” อาจารย์สายสุนีย์ ซึ่งเป็นทั้งครูประจำชั้นห้อง ม.6/10 และหัวหน้าคณะเอ่ยทักทาย ก่อนที่คำประสานเสียงจะเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่าอร่อยมาก ดูอาจารย์จะภูมิใจเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะไปไม่ถึงดวงตา

“ถ้านักเรียนอิ่มอร่อยแล้วอาจารย์ก็สบายใจ แต่ถ้าใครที่บ่นว่าไม่อิ่มก็ขอเพิ่มได้ ที่โต๊ะอาจารย์มีซุปเยอะนะ ใครชอบก็มาเอาไปได้เลย” คำพูดแบบนี้มันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ จันทร์เจ้าขากอดอกพิงเก้าอี้พลางหรี่ตาเล็กลง ด้วยรู้ถึงนิสัยเค็มๆของอาจารย์ดีว่า เป็นเจ้าแม่แห่งความงก ขนาดกระดาษเอสี่ที่อยู่ในห้องเรียงกันเป็นปึ๊กใหญ่ๆ อาจารย์ยังหวงนักหวงหนา แล้วประสาอะไรกับอาหารชั้นเลิศ ดีกรีกินไกลถึงเมืองนอกเมืองนา ของแพงหากินยากแบบนั้น มีเหรอที่อาจารย์จะลดความเค็มของตัวเองลงได้

“ซุปอะไรวะแก โคตรอร่อยเลย กลับบ้านไปฉันจะให้แม่ทำให้กินมั่ง” กะทิซดน้ำดังกร๊วบไปถึงวงล้อมชั้นใน ไม่ทันได้ฟังสิ่งที่อาจารย์เฉลยกับเพื่อนไปก่อนหน้า ว่าเนื้อในซุปที่แท้จริงคืออะไร พอเห็นสีหน้าเพื่อนที่ต่างก็ดำคล้ำขึ้นหลายส่วนก็ชักทะแม่งๆ

“อาจารย์คะ ตกลงในซุปนี่ทำมาจากเนื้ออะไรคะ” จันทร์เจ้าขากลั้นใจถาม แต่คำตอบที่ได้ก็ทำเอาคนข้างๆถึงกับวางช้อนแทบไม่ทัน

“ปลิงดำจ่ะ”

แกร๊งงงงงง

“อ่อ ขอโทษค่ะ พอดีมือมันลื่น” กะทิหน้าชาไปกว่าครึ่ง อยากจะวิ่งออกไปอ้วกทิ้งก็ไม่ทันเพราะเสียดายความอร่อยที่กลืนไปแล้ว “ แก...ฉันคิดว่ามันกำลังไต่ในท้องฉันแล้วล่ะ”

“เวอร์ ไอ้ที่ดิ้นๆอะ ลูกๆแกรึเปล่า หมายถึงพยาธิน่ะ” จันทร์เจ้าขากล่าวติดตลก ที่คนอื่นไม่ตลกด้วย

“อาจารย์แย่ที่สุดเลยแก ทำไมถึงไม่บอกกันก่อนว่ามันเป็นปลิงดำ ยี๋ ฉันกินเข้าไปได้ยังไงทั้งที่ไม่เห็นขนมันวะ” ปลิงทะเลมีขนด้วยเหรอ จันทร์เจ้าขาได้แค่แอบคิดในใจ แต่นึกถึงภาพปลิงเกาะตามซอกปะการังมีขนดำๆขึ้นอยู่เต็ม ปลานิลก็ขนลุกขนชันไปหมด ยังดีหน่อยที่จันทร์เจ้าขาอิ่มก่อน เลยไม่รู้ว่าไอ้ซุปอร่อยที่เพื่อนๆว่า รสชาติเป็นยังไง

“มาจีนทั้งที พวกแกต้องสตรองให้มากนะ ถึงโรงแรมที่นี่จะไม่ใช่ระดับดีที่สุดในปักกิ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าของกินพวกนี้ จะไม่มีขายเลย ทำใจเถอะน่า กินแล้วก็กินไป” จันทร์เจ้าขาปลอบเพื่อน ก็แหง๋ล่ะ เธอไม่ได้กินหนิ แล้วอาหารแต่ละอย่างที่เอามา เธอก็คำนวณดีแล้วว่าต้องกินเฉพาะเนื้อที่รู้จักเท่านั้น ไอ้ซุปๆเนี่ยแหละตัวดีเลย

“เออว่าแต่ พวกแกมาที่นี่เห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม” กะทิกับปลานิลนิ่วหน้าใส่กับคำพูดที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเพื่อนสาว ก่อนจะตอบพร้อมกัน

“ก็เปล่าหนิ”

“น่าแปลกที่ตอนเอากระเป๋าไปเก็บ ฉันเห็นผู้ชาย” กึก!!

“ที่ไหน!!” สองเกลอหูผึ่งทันทีทั้งๆที่เธอพูดขึ้นลอยๆ

“ชู่ว พวกแกจะเสียงดังทำไมเนี่ย ฉันเห็นเขาอยู่หลังระเบียงห้อง” จันทร์เจ้าขาทำนิ้วชี้จุ๊ปากแล้วหดคอลง ทำให้เพื่อนต้องคอยหดคอลงตามเพื่อจะฟัง

“แล้วยังไงต่อ” ปลานิลถามอย่างกระตือรือร้นล้น

“ผู้ชายหล่อ หล่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา แต่เหมือนจะเป็นพระเอกงิ้วหลงโรงนะ ไม่ก็ดารากำลังถ่ายหนังใกล้ๆอะ เพราะเขาใส่ชุดจีนโบราณมาก แต่ดูมีคลาสสุดๆอะ หน้าตาเหมือนหวังถังถังของแกเลยปลานิล ฉันนึกว่าเป็นฝาแฝดกันซะอีก เกือบตะโกนไปขอลายเซ็นแล้ว” ปลานิลฟังแล้วแทนที่จะดีใจ กลับขมวดคิ้วมุ่น

“เดี๋ยวๆ หวังถังถังคือใครวะแก”

“อ้าว ไม่ใช่ดาราที่แกชอบหรอกเหรอ ก่อนมาจีน ความฝันสูงสุดของแกคือการได้เจอเขาไม่ใช่เรอะ ตอนนี้มาความจำเสื่อมอะไรอีกเนี่ย” ปลานิลถอนหายใจ พลางกรอกตาขึ้นบน

“หวังอี้ถังค่ะ! หวังถังถังอะไรก่อน! นี่แกจำซีรี่ห์ที่พระเอกเกือบเป็นง่อย จนทำให้แกบ่อน้ำตาแตกไม่ได้เหรอวะ แกยังคร่ำครวญกับฉันอยู่เลยว่าอยากได้สาหน้าตาอย่างนี้ ชะนีความจำเสื่อม”

“อ้าวเรอะ ก็จำได้แต่หน้าอะ จำชื่อไม่ได้ โทษที”

“ไม่ใช่โทษทีค่ะ โทษมหันต์เลยแหละ” ปลานิลว่า

“นี่ๆ เดี๋ยวนะ มันจะเป็นไปได้เหรอแก นี่มันในเมืองนะ ถึงฉันจะเคยดูในโซเชี่ยล ว่าคนจีนชอบใส่ชุดโบราณเดินเล่นตามถนน แต่ใครจะมาเดินเพ่นพ่านหลังโรงแรมที่เป็นป่ารกวะ ใครไปอยู่ตรงนั้นก็บ้าแล้วแก” กะทิอธิบายแล้วยืดคอขึ้น

“ฉันว่าแกคงเพ้อจนเก็บเอาความฝันมามากกว่า ตามทฤษฎีแล้วเนี่ย ความฝันเกิดจากเซลล์ประสาทในส่วนReticular สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในช่วงNrem และ Rem sleep แต่มีลักษณะต่างกัน ตามแต่ว่าสมองส่วนรับของแก จะจดจำและวิตกกังวลอะไรมาบ้าง เท่าที่ฉันได้ยินมานะ แม้แต่สัตว์ก็ยังฝันได้เลยนะแก” ปลานิลหยิบยกทฤษฎีมากล่าวอ้างซะคนเล่าไปไม่เป็น แต่ยังไงซะ คนที่เชื่อมั่นในสายตาตัวเองอย่างจันทร์เจ้าขา ก็ไม่มีทางปฏิเสธว่าเขาไม่มีตัวตนเลย

“แต่แกไม่เคยได้ยินที่คนเขาพูดกันเหรอ บางทีมันอาจเป็นอจินตรัยที่แปลว่าการรับรู้ได้เฉพาะตนไง” เธอยังเถียงข้างๆคูๆ

“เหลวไหลน่ะแก ดูนาคีมากไปปะเนี่ย แกเชื่อที่ยัยคำแก้วนั่นพูดจริงๆเหรอ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอก ม๊าฉันเป็นเภสัชกร เตี่ยเคยเป็นหมอฝังเข็มมาก่อน ครึ่งชีวิตทำงานมากับยาและคนไข้ สิ่งที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ เป็นแค่ข้อสัณนิฐานของคนบางกลุ่มเท่านั้น” ปลานิลก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ก่อนที่คนทั้งคู่จะแถกันจนสีข้างถลอก โดยมีกะทินั่งคั่นกลางกรอกสายตาไปมา

“นี่พวกเธอ แม้แต่ในห้องอาหารก็ยังไม่เว้น คราวนี้จะกุเรื่องอะไรขึ้นมาอีกล่ะยัยจันทร์เจ้าขา ยัยปาลิตา” อาจารย์สายสุนีย์คนเดิมเดินมาถลึงตาใส่คนทั้งคู่ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อนๆว่า เอาแล้ววววว ก่อนจะเบนไปหากะทิที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่ตรงกลาง

ในระหว่างนั้นที่ชั้นสองตรงเจ็ดนาฬิกา ผ้าแพรพันสีฟ้าสลับขาวปลิวไสวระเก้าอี้ว่างที่ไม่มีใครนั่ง ปรากฏบุรุษรูปงามที่เพิ่งอยู่ในหัวข้อสนทนาหมาดๆ ใบหน้าคมคายยกยิ้มที่มุมปากสี[1]ลูกอิงเถาน้อยๆ ราวกับพอใจที่เห็นร่างบอบบางขมวดคิ้วเป็นปม จันทร์เจ้าขารู้สึกถึงไอความร้อนที่แผดเผาผ่านสายตาคู่หนึ่ง มองไปรอบๆห้อง ก่อนจะสะดุดที่ชั้นสองตรงเจ็ดนาฬิกาแล้วเบิกตากว้าง

“นั่นมัน...หวะ..หวังป๋อจ้าน! ปลานิลฉันว่าฉันเห็น..”

“อะไร อาจารย์พูดแค่นี้เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอยัยจันทร์เจ้าขา” แทนที่มือจะสะกิดปลานิลให้มองดาราในดวงใจ แต่มือดันถูกจับจนต้องสะบัดจากการเกาะกุมของอาจารย์สายสุนีย์ ซึ่งเริ่มจะหัวร้อนกับแก๊งสามสาวอย่างลืมตัว เธอชี้ไปที่ชั้นสอง

“หวังป๋อจ้าน ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว?”

“ใคร? นี่เธอแอบนัดผู้ชายมาเที่ยวที่นี่ด้วยเหรอ? แล้วเรื่องนี้พ่อกับแม่เธอรู้รึยัง”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะอาจารย์ คือผู้ชายคนนั้นเขา...” เธอพยายามอธิบาย แต่อาจารย์สายสุนีย์กลับไม่ฟังเหตุผล พร้อมกับสั่งลงโทษพวกเธอทั้งสามต่อหน้าเพื่อนๆไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว โทษฐานที่พวกเธอมักก่อความวุ่นวายบ่อยครั้ง แล้วไหนจะเสียงดังไม่ให้เกียรติครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆและสถานที่ งั้นครูก็จะขอลงโทษพวกเธอ เพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยง”

“อาจารย์!!” สามเกลอผสานเสียงแทบจะพร้อมกัน แต่คนหน้าหนาอย่างอาจารย์สายสุนีย์ที่มีความแค้นปัญญาอ่อนกับเด็กๆกลุ่มนี้กลับไม่สนใจ เธอเดินไปสนทนาภาษาจีนกับบริกรเสิร์ฟอาหารซักครู่ ก่อนจะกลับมาพร้อมคำสั่งที่ยากปฏิเสธ

“บทลงโทษของพวกเธอคือ เก็บจานชามที่กินเหลือของเพื่อนๆไปล้างให้หมด ห้ามให้พนักงานในโรงแรมช่วยแม้แต่คนเดียว”

“ว่าไงนะ!!” แบบนี้มีด้วยเหรอ ให้ลูกค้าล้างจานเอง พวกเธอแทบไม่อยากจะเชื่อ แต่คนออกคำสั่งอย่างอาจารย์สายสุนีย์มีหรือจะกลับคำ ในเมื่อขอร้องเจ้าถิ่นแล้วเขาอนุญาต เรื่องอะไรต้องไม่ทำล่ะ

“กินเสร็จแล้วก็เชิญแม่นางทั้งสามเข้าครัวได้ แล้วอย่าก่อความวุ่นวายจนทำเสียเรื่องอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันปล่อยลอยแพพวกเธอแน่”

ถึงจะแค่พูดเล่นแต่เอาเข้าจริงๆก็แอบเป็นห่วงเด็กๆเหมือนกัน พอสามเกลอเดินคอตกเข้าครัวของทางโรงแรมที่พนักงานยืนรอรับแล้ว อาจารย์สายสุนีย์ก็หันไปยักไหล่กับเด็กนักเรียนที่กลั้นขำยัยสามแสบ ถูกลงโทษบ้างก็ดีเหมือนกัน เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เด็กสามคนนั้นก็มักป่วนประสาทอาจารย์และคนอื่นๆไปเรื่อย ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นกลุ่มที่เรียนเก่งพอตัว แต่ความซ่าความแสบไม่เป็นรองใครแน่นอน อีกอย่าง ที่อาจารย์สายสุนีย์กล้าลงโทษยัยเด็กพวกนี้ คงเพราะถูกผู้ปกครองของทั้งสามกำชับให้ได้รับบทเรียนซะบ้าง

ชื่นชมได้ไม่นาน อาจารย์สายสุนีย์จึงแอบเดินไปดูสถานการณ์ในครัว ซึ่งพอไปเห็นเธอก็แทบหน้านิ่วคิ้วขมวด

“โอเมก้าผีทำแบบนี้กับพวกเรามันไม่แฟร์เลยนะเว๊ย รู้ไหมว่าฉันอายแค่ไหน เพราะแกคนเดียวเลยจันทร์เจ้า ถ้าแกไม่เล่าเรื่องผู้ชายให้ฟัง เราก็คงไม่เถียงกัน” ปลานิลยู่ปากหาเรื่องจันทร์เจ้าขาที่หัวเสียไม่ต่างกัน

“สรุปคือฉันผิดเหรอ งั้นคราวหน้าถ้าฉันเห็นอีตานั่นอีก พวกแกก็ไม่ต้องมาสนใจแล้วกัน”

“ได้ยังไงล่ะ ปกติผู้ชายหล่อๆก็ตามจีบแกเป็นกระพรวนอยู่แล้ว ถ้าแกเห็นนะรีบบอกฉันเลย รับรองว่าฉันจะไม่กบฏเหมือนปลานิลมันหรอก” กะทิพูดขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าจะนอยด์อาจารย์อยู่สามส่วน

“เอาเข้าไปสิพวกแก นี่ฉันซีเรียสนะ ตอนนี้เรามาเที่ยวกันอยู่ไม่ใช่รึไง ยังมาทำเสียเรื่องกันหมดอีก ดีนะที่เสร็จแล้วจะเข้านอน ถ้ายัยโอเมก้าผีนั่นใช้ให้ฉันล้างจานตอนเช้าๆแบบนี้ละก็ ฉันจะโทรไปฟ้องกระทรวงศึกษาธิการเลย ว่าถูกยัยครูผีลังแกเด็ก” คนที่แอบยืนฟังอยู่หลังเสาถึงกับกัดฟันกรอด ยัยปาลิตา เธอกล้าดียังไงมาว่าฉันหน้าผียะ ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นนักบาสโรงเรียนแถมยังเป็นเด็กอาจารย์ชัยชนะละก็ ล้างจานมันยังน้อยไป

“ล้างจานไปถึงไหนแล้วจ๊ะเด็กๆ” เมื่อทนฟังคำนินทาต่อไปไม่ไหว อาจารย์โอเมก้าผีก็โผล่หน้าออกมาจากเสา คนที่เพิ่งนินทาอยู่หลัดๆอย่างปลานิลสะดุ้งเฮือก เกือบปล่อยจานร่วงลงพื้น จันทร์เจ้าขาอยู่ใกล้สุดรับไว้ แล้วจำใจแหวกทางให้อาจารย์คนสวย?เข้ามาแทรก

“อาจารย์เห็นว่าเดี๋ยวมันจะนานแล้วพวกเธอจะเหนื่อยเอา เลยกะจะมาช่วย ไม่คาดคิดว่าพอมาถึงจะได้ยินคนเรียกตัวเองว่าโอเมก้าผี” คำว่าผี ตวัดสายตาไปรอบๆจนสามเกลอสะดุ้งแล้วหลุบตาลงต่ำ

“เอ่อ คำว่าโอเมก้ามันเป็นคำเรียกทางวิทยาศาสตร์อยู่หนึ่งแขนงค่ะอาจารย์ แล้ว..ถ้าอาจารย์เคยดูโฆษณานม คงเคยได้ยินพวกโปรตีนโอเมก้าสามโอเมก้าสี่พวกนั้น เอ่อ มันมีประโยชน์มากเลยนะคะอาจารย์ พวกเราคิดว่ามันก็เหมือนกับอาจารย์ที่ให้ทั้งคุณและก็โทษกับพวกเรา ก็เลยเรียกแบบนั้น” จันทร์เจ้าขาหดคออธิบายอย่างยากลำบาก

“แล้วผีล่ะ พวกเธอคงไม่ได้หมายถึงอาจารย์หน้าผีหรอกใช่ไหม”

“เอ่อๆ ปะ..เปล่าเลยนะคะอาจารย์” กะทิรีบปฏิเสธทันควัน แล้วกระทุ้งศอกไปที่ปลานิลที่คิดว่าแกจะโยนขี้มาให้ฉันทำไม

“อะ..อ๋อออ” ลากเสียงยาว “ คือคำว่าผีอะค่ะ มันก็คือ...คือเอ่อ..คือการเปรียบเทียบทั้งคุณและโทษนั่นแหละค่ะ เวลาที่อาจารย์สอนพวกเราก็ให้ความรู้เต็มที่ แต่พอเวลาอาจารย์โกรธก็เหมือนกับสัตว์ผี...เอ่อ ผีเปรต ผีโพรง ผีห่าซาตาน.. ”

“ยัยปาลิตา!! ”

“อาจารย์ใจเย็นๆก่อนนะคะ” จันทร์เจ้าขารีบจับมืออาจารย์มาหาตน “คือยัยนิลแค่จะหมายความว่า โอเมก้ามีประโยชน์แต่ก็มีโทษในแบบเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะกินของที่มีประโยชน์บนโลกนี้มากมาย แต่ถ้ากินมากไปก็ทำให้สุขภาพไม่ดีได้ ยกตัวอย่างเช่นชูชกที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม พอกินนานๆก็ท้องแตกตายเพราะตะกละ ปลานิลแค่จะหมายความแบบนั้นค่ะ แต่มันยังใช้คำพูดไม่เป็น แหะๆ จริงไหม ปา ลิ ตา! ”

ถึงแม้วิชาภาษาไทยจะไม่ได้ดีมาก แต่การปลอบประโลมสำนวนนุ่มๆคืองานถนัดของเธอ จันทร์เจ้าขากระทุ้งศอกกัดพันพูดให้ปลานิลพนักหน้าเห็นด้วย ก่อนสามเกลอจะหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนความจริงที่ว่า ผีก็คือผีแหละไม่มีอะไรมาก แล้วลงมือล้างจานต่อท่ามกลางความร้อนระอุของรังสีพิฆาต ปลานิลนะปลานิล แกเล่นกับใครไม่เล่น ริอาจเล่นกับโอเมก้าผีก็ต้องหาคำแก้ตัวที่แฝงหลักการแบบนี้ล่ะ

แต่จะว่าไป หัวข้อสนทนาที่แท้จริงมันไม่ใช่อาจารย์สายสุนีย์ตั้งแต่แรกเลย เธอเพียงคิดว่าการได้เจออีตาพระเอกงิ้วสองครั้งคนนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำให้ทริปท่องเที่ยวของเธอวุ่นวายขนาดนี้

เอาล่ะ จากนี้หวังว่าคงไม่ได้เจอนายนั่นอีกแล้ว แต่ถ้าเจอเป็นครั้งที่สามจริงๆ ถ้าเขาไม่ใช่ผีแต่เป็นคน

เห็นทีคงต้องคุยกันหน่อยแล้ว!!

[1]ลูกอิงเถา : ลูกเชอร์รี่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel