ตอนที่ 1 จันทร์เจ้าขา
ความโศกเศร้าผลัดเปลี่ยนเป็นเรื่องเล่าขาน กาลเวลาผลัดเปลี่ยนเป็นตำนาน ทันทีที่ดวงประทีบดับเพียงครึ่ง ซากศพนับร้อยต่างถูกกลืนให้กลายเป็นหินราวกับห่อหุ้มจิตวิญญาณเหล่านั้นไว้ภายใน กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานั้น การเดินทางของโลกคู่ขนานที่มีเพียง1 รอบทศวรรษได้โคจรมาบรรจบกันอีกครั้ง ดวงประทีบสีแดงได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตมนุษย์ ก่อนจะดำดิ่งจนใกล้ดับสูญ พลันก็ถูกดูดไปอีกโลกหนึ่งไม่เห็นสิ่งใด
ในขณะนั้น ที่ยอดเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ม่านแก้ว ผู้ซึ่งยึดมั่นในพระพุทธศาสนามาโดยตลอด เดินทางมากราบสักการะรอยพระพุทธบาททั้งๆที่อายุครรภ์อ่อนๆได้เพียง 2 เดือน ขณะที่เธอกำลังอธิฐานจิต จู่ๆลูกไฟสีแดงประหลาดก็ลอยพุ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ววนรอบตัวเธอ 3 รอบ จากนั้นแตกออกเป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่งมีรูปร่างคล้ายหงส์ สีขนสลับลายเป็นประกาย หัวสีแดงคล้ายมังกรก็ไม่ปาน ไก่ก็ไม่เชิง
เธอได้แต่ยืนตะลึงแล้วหันไปหาสามี แต่กลับพบว่ามีเพียงเธอที่อยู่บนยอดเขาเพียงคนเดียว สายลมโบกสะบัดพัดโชยผ่านลูกแก้วอีกครั้ง พลันปรากฏเป็นเด็กทารกเพศหญิงกำลังนอนหลับตาพริ้มในอ้อมกอดหงส์แดง ก่อนที่เด็กทารกในอ้อมกอดจะถูกส่งมาให้เธอ ในใจนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่หากที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าอาจมอบทารกสวรรค์นี้ให้กับเธอก็เป็นได้
คิดดังนั้นม่านแก้วจึงยื่นมือออกไปรับทารกเข้ามาในอ้อมกอดด้วยความเต็มใจ แล้วลำแสงสีแดงก็ค่อยๆทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า อันตธานหายกลับเข้าไปในครรภ์ของม่านแก้วพร้อมกับสติที่ดับวูบ จะช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาจากฝันซ้อนฝัน
‘นับแต่นี้...ข้า...หยางเยว่ลี่ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตชาติที่ผ่านมา ความทรงจำครั้งเก่าก่อน ย่อมขอให้ลืมในชาตินี้’
กาลเวลาผันผ่านล่วงเลยมาถึง 18 ปี เด็กหญิงบนยอดเขาคิชฌกูฏในวันนั้น เติบโตขึ้นท่ามกลางการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากครอบครัวอัศวเหมันต์ จันทร์เจ้าขา เป็นบุตรีคนที่สาม ถัดจากพี่ชายและพี่สาวที่อายุห่างกันคนละสามปี ตั้งแต่เล็กกล่าวได้ว่าเธอเป็นเด็กที่เลี้ยงยากที่สุด ด้วยร่างกายที่อ่อนแอและขี้โรคมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้ครอบครัวต้องคอยประคบประหงมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเธออายุได้สิบขวบ จึงได้รู้จักศาสตร์การต่อสู้ที่เรียกว่ามวยไทยจากอาจารย์ในโรงเรียน
ตั้งแต่นั้นมา จากเด็กขี้โรคก็กลายเป็นดาวเด่นประจำโรงเรียน กล่าวได้ว่าตอนนี้ จันทร์เจ้าขาก็คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สดใสร่าเริงไม่ต่างจากเพื่อนรุ่นเดียวกัน
“จันทร์เจ้า ทำไมยังไม่ตื่นอีก ไม่เก็บกระเป๋าแล้วรึไง” ม่านแก้วเอ่ยเรียกลูกสาวที่นอนคุดคู้อยู่บนที่นอนด้วยความยากลำบาก เธอได้แต่ส่ายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่ากับอาการขี้เซาของบุตรีคนนี้
“จันทร์เจ้า ถ้ายังไม่ตื่นแม่จะต้มน้ำร้อนมาสาดแล้วนะ”
พรึ่บบบ
ร่างแน่งน้อยในผ้าห่มลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล โทรศัพท์และหูฟังที่ม้วนพันกันจนยุ่ง หล่นลงข้างเตียงจนผู้เป็นแม่นิ่วหน้าใส่ จันทร์เจ้าขาจึงรีบโยนมันกลับไปที่เตียงอย่างไม่ถนอม ม้วนๆผ้าห่มเป็นก้อนๆกลบเกลื่อนความผิด
“นี่แอบเล่นเกมส์อีกแล้วเหรอ? จันทร์เจ้า แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำแบบนี้ ถ้าอยากเล่นก็ให้ลงไปหาพี่ปั้นข้างล่าง แล้วดูซิ วันนี้จะไปทัศนศึกษาอยู่แล้ว ข้าวของก็ยังไม่เก็บ หน้าตาก็ขี้ริ้วขี้เหร่ เป็นแม่นะจ้างให้ล้านนึงก็ไม่ยอมให้เดินด้วยหรอก” ม่านแก้วลูบหน้าลูกสาวคนสวยที่ถึงแม้ขอบตาจะคล้ำ แต่ก็ยังคงความสวยในแบบสาวแรกแย้ม จันทร์เจ้าขาย่นจมูกใส่ผู้เป็นแม่อย่างขัดใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรจนกระทั่งเดินง่วงๆเข้าห้องน้ำ ถึงได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ตะโกนไล่หลังมา
ปีนี้จันทร์เจ้าขาเรียนจบมอหกแล้ว ในช่วงนี้โรงเรียนได้จัดทัศนศึกษานอกสถานที่ให้ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวเมืองโบราณประเทศจีนกัน พูดถึงเรื่องเงินทองนั้นไม่ขัดสน ลำพังแค่ปั้นดาว บุตรสาวคนโตก็จบการศึกษาและมีการงานมั่นคง ปั้นจั่น บุตรชายคนรองก็เรียนระดับมหาวิทยาลัย คงมีแต่จันทร์เจ้าขาที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าจะเข้าเรียนที่ไหน แต่ถ้าลูกสาวอยากสอบเข้าเรียนที่ต่างประเทศ เธอก็คงไม่ขัด ด้วยตั้งแต่เด็กลูกสาวคนนี้มักจะเป็นคนเรียนรู้ไวเสมอ บอกอะไรเธอมักจะจำได้เพียงครั้งเดียว
แต่สิ่งที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการไปทัศนศึกษารอบนี้ ถึงแม้ว่าทางโรงเรียนจะให้งบประมานที่มากพอ และการสนับสนุนจากผู้ปกครองหลายฝ่าย เรียกได้ว่าลูกๆของเธอคงไม่ลำบาก แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ด้วยนิสัยของลูกคนนี้ ไม่เหมาะที่จะเดินทางไกลโดยไม่มีแม่อย่างเธอคอยคุมพฤติกรรม
“แม่ ปั้นเอาของลงไปเก็บในรถให้น้องก่อนนะ เสร็จแล้วจะเลยไปมหา’ลัยเลย” ปั้นจั่นที่อยู่ในชุดนักศึกษาถือกระเป๋าลากน้องสาวออกมาจากห้อง เธอพยักหน้ารับแล้วตามลงไปช่วยลูกชายข้างล่าง
“ปั้น แม่ว่าแม่จะไปส่งน้องด้วย” เธอบอกอย่างกังวล ใบหน้าหล่อยกยิ้มขึ้นเชิงล้อแม่ที่แต่ไหนแต่ไรมักเศร้าเสมอที่ต้องส่งลูกออกนอกสถานที่
“แม่ครับ ถ้าแม่ไปกับปั้นแล้วปั้นจะไปเรียนบ่ายทันไหมล่ะครับ ไหนปั้นจะต้องมาส่งแม่อีกอะ ปั้นไม่อยากให้แม่นั่งแท็กซี่กลับคนเดียวนะ งั้นเอางี้ดีกว่า ถ้าส่งยัยจันทร์ถึงสนามบินแล้วปั้นจะคอลหาแม่ให้คุยกับน้องก่อนขึ้นเครื่องดีไหม”
“ดูพูดเข้า นี่เราหาว่าแม่ขี้แยเหรอ”
“ฮ่าๆ ก็ไม่รู้สิครับ”
“พี่ปั้น เอาของลงมาให้หนูหมดยังอะ” สาวน้อยในชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับยีนดำยาว ยืนจังก้าอยู่หน้าบ้าน ขาเล็กที่สวมกางเกงยีนสีเดียวกับเสื้อตัวนอก พยายามสอดรองเท้าผ้าใบสีแดงด้วยความทุลักทุเล ผมที่มัดรวบเป็นหางม้าแบบลวกๆช่วยขับใบหน้าสวยให้ดูสว่างมากขึ้น ทั้งที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางมากนัก แต่ความสวยที่ให้มาตั้งแต่กำเนิดจะไม่ทำให้คนทั้งบ้านหวงได้ยังไง
“เกือบครบละ ก็เหลือแต่เราอะที่ยังไม่ลงมาซักที” จันทร์เจ้าขายู่ปากอย่างขัดใจที่โดนว่าตรงๆ เธอเดินเชิดหน้าไปหาแม่ที่ยืนซึมข้างรถ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอียงคอทำตาโตน่ารักๆเหมือนทุกครั้ง
“ดูทำหน้าเข้า ไม่เอาสิคุณนายแม่ เค้าไปแค่ห้าวันเองน๊า เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก ไม่ต้องร้องเพราะกลัวจะไม่ได้ขนมหรอก” ม่านแก้วหยิกลูกสาวจนร้องโอย ก่อนจะกอดรัดร่างบางไว้แน่น
“เข้าใจเล่นนะยัยลูกคนนี้ ไปแล้วก็อย่าเที่ยวไปก่อเรื่องอะไรเข้าล่ะ อย่าลืมว่าสายสืบแม่มีเยอะ” เธอดีดจมูกลูกสาวเบาๆแล้วหอมแก้มซ้ายขวา
“เจ้าค่าคุณหญิงแม่ ลูกจะจำไว้เจ้าค่ะ” หญิงสาวประนมมือไหว้อย่างหญิงไทยใจงามเพื่อล้อเลียนผู้เป็นแม่ ซึ่งมักปลูกฝังให้เธอดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น แต่ก็ล้มเหลวเสียทุกครั้ง จึงได้แต่โอบกอดผู้เป็นแม่อีกครั้ง ก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถตามเสียงบ่นของปั้นจั่นที่รอนานแล้ว
“ไม่ต้องเศร้านะแม่ เดี๋ยวหนูก็กลับมาแล้ว บ๊ายบาย” เธอโบกมือให้จนสุดทางแล้วหันกลับมายิ้มให้ผู้เป็นพี่ชายด้วยความตื่นเต้น
“ดีนะที่แต่งตัวมิดชิด ถ้าไม่อย่างนั้นจะไล่ให้กลับไปเปลี่ยนชุดใหม ”
“ฉันไม่เคยแต่งตัวโป้เปือยเหมือนแฟนพี่หรอก วางใจได้”
“พี่แกยังไม่มีแฟน นั่งเงียบๆไป”
ปั้นจั่นดันศีรษะเล็กออกห่างก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถ จันทร์เจ้าขายิ้มล้อเลียนแล้วก็แอบถอนหายใจ เฮ้อ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จันทร์เจ้าขาเดินทางไปต่างประเทศหรอกนะ แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแค่ไปจีนครั้งนี้ กลับให้ความรู้สึกพิเศษกว่าทุกครั้ง
“ฮ้าว ในที่สุดเราก็กำลังบิน”
กะทิ สาวร่างอวบผู้มีเสียงเป็นเอกลักษณ์เอ่ยขึ้นพลางบิดขี้เกียจไปรอบที่สิบ เครื่องบิน J32010 สัญชาติไทยกำลังบินเข้าสู่น่านฟ้าประเทศจีน เวลานี้กล่าวได้ว่าบรรดาลูกเรือทั้งหมดต่างอยู่ในอาการหลับใหล ยกเว้นจันทร์เจ้าขา กะทิและปลานิล สาวหมวยร่างโย่งดีกรีนักบาสโรงเรียนเท่านั้น ที่ยังคงตื่นเต้นกับชั้นบรรยากาศที่รอบด้านมีแต่ปุยเมฆสีขาว
“เออจันทร์เจ้า แกขยับไปอีกหน่อยได้ไหม ฉันนั่งกลางแล้วมันอึดอัดอะ”
ก็จะไม่ให้อึดอัดได้ยังไง ในกลุ่มสามคนกะทิมันอ้วนสุด ก็ไม่แปลกที่มันอยากนั่งกลางแล้วดันรบกวนชาวบ้านเขาแบบนี้ เอาล่ะ พอพูดถึงชื่อนี้ทีไรเธอก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ที่โรงเรียนใครๆก็บอกว่าเธอน่ะชื่อโหลที่สุดในห้องแล้ว คนอะไรชื่อจันทร์ โคตรโบร๊าณโบราณอะ แต่ถ้าคิดซักนิดชื่อเต็มของเธอคือจันทร์เจ้าขา ตอนนั้นพ่อกับแม่บอกว่าเธอเกิดในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงที่พระจันทร์เต็มดวงพอดี นี่ก็เคยคิดว่าดีที่พ่อกับแม่ไม่ตั้งชื่อเต็มให้เธอว่าเด็กหญิงวันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำตานองเต็มตลิ่ง ถึงตอนนั้นอยากร้องไห้ก็คงร้องไม่ออก เพราะปกติพ่อกับแม่ก็จัดเต็มชื่อจริงลูกแต่ละคนอยู่แล้ว
โอย คิดถึงแม่แล้วอะ เดินทางไกลแบบนี้ถึงจะกินดีอยู่ดี แต่กับข้าวฝีมือแม่อร่อยที่ซู๊ด
ตึงงงงงง
“โอ๊ย!!!”
“ปลานิล!! / ปลานิล!!” สองเสียงประสานกันพร้อมปลุกเพื่อนๆและบรรดาลูกเรือที่โดยสารทั้งหมดให้ตื่นขึ้น ก่อนที่หนึ่งในนั้นที่คาดว่าจะเป็นแอร์โฮสเตสจะตะโกนเสียงดัง บอกให้ผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่พร้อมคาดเข็มนิรภัยให้เรียบร้อย
“เป็นยังไงบ้างแก” จากที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำปลานิลก็เปลี่ยนใจ จันทร์เจ้าขากับกะทิจึงช่วยกันเซฟเพื่อนข้างๆเบาะ
“เกิดอะไรขึ้นวะ จู่ๆก็เหมือนมีคนมาผลักฉันเลย โอย ปวดหัวอะแก” ปลานิลใช้กำปั้นทุบหน้าผาก
“แกใจเย็นๆก่อนนะ ฉันคิดว่าเครื่องบินน่าจะตกหลุมอากาศอะ” กะทิอธิบาย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับแอร์โฮสเตสคนเดิมจะพูดขึ้น และขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
“จันทร์เจ้า แกเป็นอะไร ทำไมแกดูลนๆจังวะ”
“กะทิ แกได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินไหม นั่นๆ มาอีกแล้ว..สะ..เสียงเหมือน..”
“ เหมือนอะไร” กะทิเอ่ยถามลุกลี้ลุกลน
“นก เมื่อกี้เป็นเสียงนก นกตัวใหญ่มากบินชนเครื่องบิน มันไม่ได้ตกหลุมอากาศหรอกแก” หญิงสาวบอกด้วยความสัตย์จริง กะทิถึงกับนิ่วหน้าด้วยไม่เชื่อว่านกจะกล้าบินเข้าชั้นบรรยากาศเบาบางแบบนี้ได้ แต่ถ้าเป็นจริงนกตัวนั้นคงไม่ใช่นกธรรมดา เธอส่ายหน้าพัลวัน
“แกหูฝาดไปแล้วล่ะจันทร์ นกบ้าอะไรจะบินในชั้นบรรยากาศแบบนี้ พอๆ สรุปคือมันตกหลุมอากาศ ”
“แต่ว่าเมื่อกี้ฉันได้ยินจริงๆ”
บึ้มมมมมม
“ว๊ายยยยยยย”
“กรี๊ดดดดดดดด”
“กะ..เกิดอะไรขึ้น”
จู่ๆกลิ่นควันโขมงจากด้านหลังก็ลอยตลบอบอวนมาข้างหน้า มองเลยไปเธอเห็นเพียงบรรดาลูกเรือที่อยู่ข้างหลังกำลังวิ่งหนีตายมารวมกันที่ด้านหน้า ทำให้ตัวเครื่องเสียการทรงตัวชั่วขณะหนึ่ง และในที่สุด ควันไหม้จากด้านหลังก็ค่อยๆกลืนกินบรรดาลูกเรือที่โดยสารมาด้วยกันจนมองไม่เห็นใคร ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องปนหวาดกลัวฝ่าความมืดไปทุกทิศ ก่อนมันจะเงียบลงราวกับมีคนปิดปุ่มรีโมต
จันทร์เจ้าขารีบประคองสติกลับมาก่อนจะใช้มือควานหากะทิกับปลานิลที่นั่งข้างๆ แต่ทว่า ควันที่เกาะกลุ่มหนาแน่นทำให้ทัศนะในการมองเห็นติดลบ
“แค่กๆๆ กะทิ!! ปลานิล!! อาจารย์!! ทุกๆคน!! พี่ๆแอร์ฯคะ!! ทุกคนอยู่ไหนกันหมด!!ได้ยินเสียงหนูไหมคะ!!”จันทร์เจ้าขาตะโกนฝ่าความมืดแต่ไร้เสียงตอบรับ รู้สึกถึงไอความร้อนและกลิ่นเผาไหม้ที่รุกรามพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ
“แค่กๆๆๆ กะทิ...ปะ..ปลานิล พวกแกอยู่..หนะ...ไหน แค่กกกกก อุ๊บส์อื้อ ”
จู่ๆมือปริศนาที่ไม่รู้มาจากไหนก็อุดปากของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนที่มันจะเลื่อนขึ้นมาปิดตาเธอให้หลับลง ในตอนนั้นแรงโน้มถ่วงของโลกก็ค่อยๆทำงานของมันไปช้าๆ จันทร์เจ้าขารู้แน่ว่าอีกไม่นานเครื่องบินก็จะตกลงสู่เบื้องล่าง แต่ไม่รู้ว่ามันจะตกที่ไหน แล้วไม่รู้ว่ามันจะระเบิดอีกหรือไม่ แล้วถ้าหากว่าเธอตายล่ะ...พ่อกับแม่เธอจะหาศพเจอไหม
“ฮือๆๆๆ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วยฮือๆๆๆ”
กระแสลมเริ่มเปลี่ยนทิศทางทำให้เครื่องบินที่ไร้การทรงตัวอยู่แล้วหมุนวนหลายตลบ ก่อนจะระเบิดกลางอากาศอีกครั้งแล้วตกลงสู่ทะเล
บึ้มมมม ซ่า....
คลื่นลมพัดโหมกระหน่ำ กระแสน้ำเกิดการเคลื่อนไหวรุนแรงก่อนจะสงบอย่างรวดเร็ว จันทร์เจ้าขาลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวเองกำลังลอยคอเหนือน่านน้ำท่ามกลางซากศพนับร้อยชีวิต กลิ่นคาวเลือดลอยเตะจมูกจนรู้สึกถึงความคลื่นเหียน ทั้งเพื่อน อาจารย์ และลูกเรือที่โดยสารมากับเธอต่างอยู่ในสภาพครึ่งดีครึ่งร้าย เธอไม่รู้เลยว่ารอดมาได้อย่างไรทั้งที่คนอื่นตายกันหมด หรือว่าจะเป็นมือปริศนาที่มาปิดตาเธอไว้
“ฮึก กะทิ ปลานิล อาจารย์และทุกๆคนตายหมด แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไง ฮือๆๆ นี่ไม่ใช่ความจริงใช่ไหม ใครก็ได้บอกทีว่าฉันแค่ฝันไป ฮืออออออ” มือบางปัดเศษซากเครื่องบินที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากศพของอาจารย์ที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบอย่างน่าสงสาร
เธอสะอื้นไห้ทำใจอยู่นาน จึงยื่นมือไปแตะแผ่นหลังเสื้อสีเหลืองลายดอกคูณของอาจารย์ประจำชั้น เธอจำได้ว่าก่อนมาอาจารย์บอกจะแต่งชุดประจำจังหวัดไปเที่ยวต่างประเทศ
“ฮือๆๆๆๆ” ยิ่งคิดถึงความทรงจำที่จะไม่มีร่วมกันแล้วก็ยิ่งเจ็บปวด
“ฮึก กะทิ ปลานิล พวกแกอยู่ไหน ฮือๆๆๆ” ทว่าไกลออกไป ศพของกะทิกับปลานิลลอยวนติดด้วยกัน เธอมองตามตาละห้อยด้วยไม่อาจว่ายน้ำไปหาพวกเขาได้ อาศัยเพียงซากหักๆของเครื่องบินที่เบาที่สุดเกาะเพื่อกันจมเท่านั้น ถึงแม้ศพพวกมันจะตัวเละไม่น่าดู แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนของเธออยู่ดี
“ฮือๆๆ พ่อ แม่ พี่ปั้น พี่ดาว ช่วยหนูด้วยฮือๆ หนูไม่เหลือใครแล้ว ทีนี้ใครจะพากลับไปบ้านฮือๆๆๆๆ”
เสียงร้องแห่งความสิ้นหวังน้อยๆท่ามกลางทะเลอันกว้างใหญ่ใครเล่าจะได้ยิน จันทร์เจ้าขารู้แจ้งแล้วว่าเธอคงไม่มีโอกาสได้กลับไปที่บ้านอีกแล้ว อีกไม่นานถ้าเธอไม่อยู่ตรงนี้ก็คงกลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเล เมื่อจิตใจเข้าใกล้ความสิ้นหวังเต็มทน จันทร์เจ้าขากลับฉุกคิดถึงเรื่องพระมหาชนกที่แม่เคยเล่าให้ฟังตอนเด็กๆขึ้นมา ในตอนนั้นเรือโดนพายุพัดกระหน่ำ ลูกเรือทั้งหมดตายไปกับสายน้ำ บ้างก็ถูกสัตว์ทะเลกัดกิน มีเพียงพระมหาชนกเท่านั้นที่รอดชีวิตได้เพราะความเพียร แล้วเธอล่ะ เธอคงไม่อาจเอาตัวเองไปเทียบกับผู้มีบุญอย่างท่านได้ คงมีแต่คำภาวนาจิตที่ถึงแม้ว่าจะเป็นความหวังอันน้อยนิดเท่านั้น
เธอหลับตาลง พนมมือตั้งจิตอธิฐาน
“ฉัน...ขอให้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงความฝันแค่ตื่นหนึ่ง...ในช่วงเวลาหนึ่ง...ขอให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาเป็นเหมือนเดิม...ฮึก ขอให้เป็นเหมือนเดิมด้วยเถิด”
สิ้นคำอธิฐาน เธอจึงทิ้งกายทอดลงสู่เบื้องล่าง ค่อยๆให้ความเค็มของน้ำทะเลกัดเซาะร่างกายจนชีพใกล้จะดับสูญ พลันลำแสงเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นสู่น่านน้ำหอบพัดร่างเธอลอยเหนืออากาศ
ราวกับเข็มนาฬิกาได้หมุนทวนหน้าปัดแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท้ายที่สุดแล้ว โชคชะตาจะเป็นเช่นใดย่อมมิอาจรู้ มีเพียงความสั่นไหวของโลกคู่ขนานอีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น ที่กำลังตื่นตะหนกกับปรากฏการณ์ลำแสงประหลาดบนยอดหุบเขาปีศาจกินคน
“นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น หรือว่ามีจอมยุทธ์ท่านใดไปรบกวนปีศาจเพลิงที่ปากปล่องนั่น” หนึ่งในชาวบ้านล้านตลาดที่กำลังขายของตะโกนขึ้น บ้างเห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยปะปนกันไป
“ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วนเชียวล่ะ แต่ใครเล่าจะกล้าเข้าหุบเขาแห่งนั้น เพียงแค่ก้าวขาเข้าไปร่างก็กลายเป็นหินเหมือนที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ข้าคนนึงล่ะที่ไม่กล้า” ชายรูปร่างดีเอ่ยขึ้นอีกคน
“แต่มีคนผู้หนึ่งที่สามารถทำเช่นนั้นได้ หากไม่ใช่ท่านเจ้าสำนักอายุน้อยผู้นั้นก็คงมิอาจหาญ นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญเป็นแน่ เกรงว่าเจ้าสำนักผู้นั้นจะทำให้เทพเซียนบนสวรรค์พิโรจน์เอาซะแล้วสิ” เสียงฮือฮาดังขึ้นกับความเห็นที่สามมากที่สุด ด้วยในแคว้นต้าหลิ่งนี้มีสำนักจอมยุทธ์มากมายก็จริง แต่ผู้ที่วรยุทธ์สูงส่งควรค่าแก่การจดจำมีเพียงไม่มาก หากไม่รวมอดีตเจ้าสำนักหงส์มังกรดำ เจ้าสำนักจิ้งจอกมาร และประมุขพรรคสะท้านฟ้า ก็เห็นจะมีเพียงเจ้าสำนักอายุน้อยผู้ถูกกล่าวขานว่าเป็นยอดอัจฉริยะเหนือยุทธภพผู้หนึ่ง หลี่ไท่มู่จง
บนยอดเขาซงซาน อันมีป่าไผ่โอบล้อมของผู้ที่ถูกกล่าวอ้าง สถานที่ที่กล่าวกันว่าเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาลทั้งสี่แห่งทิศกลาง ทั้งยังเป็นแหล่งรวมยุทธ์ของผู้ที่ต้องการฝึกตนมากมาย แต่คงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และว่ากันเรื่องความเข้มงวดของเจ้าสำนัก ซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงพระนัดดาของฮ่องเต้ แต่ด้วยการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ถือตัวเฉกเช่นท่านตาที่เป็นอดีตเจ้าสำนัก ในตอนนั้นด้วยวัยเพียงยี่สิบปี จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสำนักที่อายุน้อยและวรยุทธ์สูงส่งผู้หนึ่งในแคว้นต้าหลิ่ง รองจากผู้เป็นท่านตา
“ท่านเจ้าสำนัก ลำแสงประหลาดที่ยอดหุบเขาปีศาจกินคนนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งใดขอรับ ”
อู๋เจ๋อฟาง ผู้คุ้มกันหนุ่มที่อายุมากกว่าเจ้าสำนักอยู่สามปี หุนหันพลันแล่นเข้ามาในลานประลองเวทย์ ด้วยเพราะสนิทสนมกันตั้งแต่วัยเยาว์ก่อนที่ท่านเจ้าสำนักจะปลีกตัวหนีความวุ่นวายในจวนชินอ๋องของพระบิดา มาฝึกวรยุทธ์ในสำนักของท่านตาและอยู่มาจนถาวรในขณะนี้ จึงไม่แปลกที่อู๋เจ๋อฟางและท่านเจ้าสำนักหลี่จะสนิทสนมกันชนิดเรียกพี่ชายกับน้องชายยังได้เลย
หลี่ไท่มู่จงปรายหางตามองคนไม่รักษามารยาทครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับมาให้ความสนใจแท่นหินหยกขาวซึ่งใช้รักษาเยียวยาและเดินลมปราณอยู่บ่อยครั้ง บัดนี้กลับเปล่งประกายสีแดงสลับดำแล้วแปรเปลี่ยนเป็นหงส์คู่มังกรเพียงเสี้ยววินาทีก่อนหายไป
“เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่หรือขอรับ” คนไร้มารยาทอู๋เจ๋อฟางยังคงคุกเข่าถามต่อไป ถึงจะรู้แน่ว่าเจ้าสำนักต้องรำคาญตน แต่ก็อยากรู้ให้แน่ชัด ด้วยรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆแท่นหินอันเปรียบเสมือนที่พำนักจิตของท่านเจ้าสำนักก็เปลี่ยนสีไป แต่หากอู๋เจ๋อฟางสังเกตซักนิด จะเห็นมุมปากยกยิ้มในหน้าอยู่เก้าส่วนแล้วหุบลงเป็นน้ำแข็ง
“นางกลับมาแล้ว”
“นาง?” นับเป็นการคุยกับอากาศยังมีอารมณ์สุนทรีย์เสียมากกว่า เพียงถามแค่นั้นใบหน้าน้ำแข็งก็แผ่รังสีเย็นยะเยือกจนผู้คุ้มกันหนุ่มหุบปากแทบไม่ทัน
“นับจากนี้จงเฝ้าห้องข้าไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด แม้แต่ท่านตากับท่านยายที่กำลังกลับจากประลองยุทธ์ที่เขาเทียนซานก็ไม่ยกเว้น”
อู๋เจ๋อฟางน้อมรับคำสั่งแล้วถอยรูดออกไปยืนเฝ้าหน้าประตูทันที ทิ้งให้เจ้าสำนักยืนปั้นหน้านิ่งอยู่นานสองนาน จนท้ายที่สุดแล้ว...
เมื่ออยู่เพียงลำพังใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนก็พลันเปลี่ยนเป็นยกยิ้มที่มุมปากอิ่ม กล่าวได้ว่า สัมผัสที่มือเมื่อครู่นี้ช่างอ่อนนุ่มยิ่งนัก
“ฮูหยิน ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ”
