บทที่ 3 เด็กแฝด
ผมที่กำลังมึนงงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก็ต้องตาลีตาเหลือกหยิบโทรศัพท์ออกมากดบันทึกวิดีโอทั้งสามคนส่งไปที่แชทของน้องสาวอีกครั้ง หลังจากข้อความถูกเปิดอ่าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันที
"พะ..พี่กลาง อย่าบอกนะว่า"
"ครับ พี่ก็คิดว่าอย่างนั้น ตอนนี้พี่กำลังจะขับรถตามน้องไป แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะโทรหาใหม่" ผมวางสายคนเล็กก่อนจะขับรถตามรถสองแถวที่น้องพาเด็กๆ ขึ้นไปนั่ง ใช้เวลาไม่นานรถสองแถวก็มาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ผมจอดรถไว้อีกฝั่งถนนเยื้องๆ กันไม่ให้ผิดสังเกตก่อนจะมองเข้าไปในบ้านไม้ที่ค่อนข้างจะเก่า ผมเห็นคนน้องเปิดประตูรั้วแล้วพาเด็กเดินเข้าไปในบ้าน ผมมองไปรอบบริเวณบ้าน ที่นี่ถึงแม้ไม่ได้ดูห่างไกลจากบ้านอื่นมากเท่าไรแต่รั้วไม้ระแนงที่ดูไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันโจรงัดแงะได้เลย ก็พลางคิดว่าตลอดมาคนน้องอยู่มาได้ยังไง
ผมนั่งสักพักก็เห็นคนน้องเดินออกมาจากบ้านเอาผ้าออกมาตากที่ราวหน้าบ้าน แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ผมมองเข้าไปในบ้านเห็นเด็กๆ พากันเดินออกมานั่งที่โต๊ะหน้าบ้าน ส่วนคนเป็นแม่ถือจานข้าวมาสองใบวางตรงหน้าของเด็กทั้งสองคน
"วันนี้คุณยายแตนฝากข้าวมาให้น้องข้าวหอมกับน้องข้าวปั้นด้วยนะคะ นี่แล้วก็มีขนมใส่ไส้ด้วย แต่ต้องกินข้าวให้เสร็จก่อนนะคะ"
"แล้วแม่จ๋าไม่กินเหรอฮะ"
"แม่จ๋ากินมาแล้วค่ะ"
ผมได้แต่มองทั้งสามคนแม่ลูกแต่ก็ไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน จนเวลาล่วงเลยมาสักพัก ผมเห็นเด็กๆ ที่ทานข้าวเสร็จแล้วก็พากันไปวิ่งไล่จับกันรอบๆ บ้านส่งเสียงหัวเราะคิกคักกันตามประสา ส่วนคนน้องผมเห็นเธอเอาอาหารจากจานข้าวลูกที่กินเหลือมาเทรวมกันก่อนจะตักกินเหมือนเป็นเรื่องปกติ ตาก็มองเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ก๊อก ก๊อก~~
ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะกระจกผมก็ลดกระจกลงหันไปสวัสดีคุณป้าที่ดูมีอายุที่ยืนเท้าสะเอวองมาด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจแต่ก็รับไหว้ผมก่อนจะได้ยินเสียงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงดุ ๆ
"เอ็งมาทำอะไรตรงนี้ละพ่อหนุ่ม ข้าเห็นรถเอ็งจอดตรงนี้นานแล้วนะ" คุณป้ามองเข้ามาในรถเหมือนจะสำรวจว่ามีใครอื่นนอกจากผมอีกไหม
"เอ่อ...พอดีผมหลงทางครับแล้ว GPS มันดูไม่ได้เพราะเหมือนมันจะไม่มีสัญญาณน่ะครับ แต่เมื่อกี้ผมเช็คสัญญาณได้แล้วครับกำลังจะขับออกไปพอดี ก็ได้ยินเสียงคุณป้าเคาะกระจกเสียก่อนน่ะครับ"
ด้วยสกิลการเอาตัวรอดเก่งของผมที่มีมาแต่กำเนิด เลยพูดไม่ติดขัดแถมยังไหลลื่นจนป้าแกไม่ติดใจสงสัย
" ถ้าอย่างนั้นขับกลับดีๆ ล่ะพ่อหนุ่ม"
"ครับ สวัสดีครับ" ผมรีบขับออกมาจากบ้านคนน้องทันที ยังไงวันนี้ก็รู้ที่อยู่น้องแล้ว เหลืออีกแค่ต้องสืบดูว่าทำไมน้องมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ก่อนจะไปบอกพี่ใหญ่ เขาต้องตามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
"ฮัลโหล กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อย ขอด่วนที่สุด เออๆ เดี๋ยวกูส่งรายละเอียดให้"
ผมโทรหาเพื่อนที่มีเส้นสายอยู่ในจังหวัดนี้ก่อนจะส่งรายละเอียดให้มัน เหลือก็แค่รอเวลาเท่านั้น วันนี้ผมคงต้องกลับไปที่รีสอร์ตก่อน เพราะพรุ่งนี้ดันมีงานทั้งวันอีก แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเธอยังอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแน่นอน
[บัวหอม]
รุ่งเช้า
"แม่จ๋า//แม่จ๋า"
ฟอดด // ฟอดด
"อุ๊ย!! แม่จ๋าตัวร้อน" เด็กน้อยข้าวหอมร้องออกมาอย่างตกใจเพราะอุณหภูมิความร้อนที่แผ่ออกมาจากคนเป็นแม่
"ไหนๆ ขอข้าวปั้นดูแม่จ๋าหน่อย" ข้าวปั้นยกแขนขึ้นจับหน้าผากแม่ตัวเองอีกครั้ง ถึงเป็นเด็กแต่ทั้งสองคนก็รู้ว่าตัวร้อนและไม่สบายคืออะไร เพราะพวกเขาก็ผ่านมาหมดแล้วและได้แม่จ๋าเป็นคนดูแลทุกครั้ง
เด็กแฝดสองคนที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้ายังนอนอยู่อ้อมกอดของแม่ตัวเองก็พากันตกใจ เพราะรู้สึกว่าแขนของแม่ตัวเองร้อนมากกว่าปกติ เด็กๆ พากันเขย่าคนเป็นแม่ที่ยังนอนหลับอยู่พร้อมกับส่งเสียงเรียกคนเป็นแม่เสียงดังลั่นพร้อมกับเขย่าตัวคนเป็นแม่ให้ตื่นด้วยความกลัว กลัวว่าแม่ของพวกเขาจะเป็นอะไรไป
"แม่จ๋า //แม่จ๋า"
"หืม...ว่าไงคะเด็กๆ ตื่นกันแล้วเหรอ?"
เช้านี้ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกหนักหัวมากกว่าปกติ ทั้งลมหายใจที่เริ่มจะร้อนผ่าวทำให้รู้ว่าฉันเริ่มจะไม่สบายอีกแล้ว ฉันเห็นลูกๆ ทำหน้าตาตื่นตกใจน้ำตาไหลลงมาข้างแก้มแสดงว่าลูกๆ ปลุกฉันนานพอควรเลย
"โอ๋ๆ ร้องทำไมกันคะ หืม..ฝันร้ายอีกเหรอ"
"ก็แม่จ๋าไม่ตื่น หนูกลัว" ข้าวหอมตัวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับโถมเข้ามากอดฉัน
"หนูก็กลัว หนูเรียกแม่จ๋าตั้งนาน แม่จ๋าก็ยังไม่ตื่น" ข้าวปั้นคนน้องพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดสะอื้นเล็กน้อยแต่ตอนนี้ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแล้ว
"โอ๋ ๆ แม่จ๋าขอโทษนะคะ แม่จ๋าแค่เพลียแค่นั้นเองลูก ไม่เอาไม่ร้องๆ ไปค่ะแม่จ๋าตื่นแล้วเตรียมตัวไปทำงานกับแม่จ๋ากันดีกว่า แต่เอ..ลูกแม่จ๋าแต่งตัวเสร็จแล้วนี่นา แสดงว่าตื่นกันนานแล้วเหรอจ๊ะ "
"หนูตื่นก่อน แล้วก็ปลุกข้าวปั้นแล้วเราก็ไปอาบน้ำกันค่ะ แม่จ๋า ชุดนี้สวยไหมคะ" ข้าวหอมถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มรอรับคำตอบจากคนเป็นแม่
"สวยมากค่ะ"
"ชุดข้าวละฮะ หล่อไหมคับ" เด็กน้อยข้าวปั้นที่ไม่ยอมน้อยหน้าก็ถามออกมาอย่างรอคำตอบพลางหมุนซ้ายหมุนขวาให้คนเป็นแม่ได้มองอย่างถนัด
"หล่อที่สุดเลยคับ" ฉันมองลูกสาวและลูกชายที่ตอนนี้อาบน้ำแต่งตัวเองได้แล้ว ความภาคภูมิใจของคนเป็นแม่ที่ดูลูกน้อยเติบโตจนช่วยเหลือตัวเองได้ ทำให้ฉันยิ้มด้วยความสุข ไม่อยากจะพูดเลยว่าเด็กสองคนตรงหน้าเป็นคนที่ทำให้ฉันมีกำลังใจในการตื่นมาในทุกๆ เช้า
ถ้าไม่มีลูกๆ ฉันอาจจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ได้ เด็กน้อยข้าวหอมในชุดเสื้อกระโปรงสีชมพูที่ดูซีดเล็กน้อยเพราะถูกใช้ซ้ำอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ทำให้ดูน่ารักน้อยลงเลย ส่วนเด็กน้อยข้าวปั้นอยู่ในชุดเอี้ยมยีนสีเข้มที่ผ่านการใช้งานมานานแต่ก็ยังดูไม่ล้าสมัย วันนี้เป็นเสาร์และเป็นวันหยุดของเด็กๆ แต่ฉันยังต้องทำงานจึงจำเป็นต้องพาลูกๆ ออกไปทำงานด้วยทุกครั้ง ซึ่งเด็กๆ ก็ชินแล้วแถมยังดีใจและรอคอยวันหยุดตลอดเพราะจะได้ไปเจอกับพวกบรรดาป้าๆ ยายๆ ที่ร้านอาหารที่ฉันทำงาน
"งั้นเดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำก่อนนะคะ หิวหรือยังกินโอวัลตินรองท้องก่อนไหมคะ"
"กินจ่ะ//กินฮะ"
"โอเคค่ะ เดี๋ยวแม่จ๋าอาบน้ำแป๊บหนึ่งนะคะ นั่งเล่นรอแม่จ๋าก่อน" ฉันรีบเข้าห้องน้ำชำระร่างกายโดยใช้เวลาไม่นานนัก ตอนนี้รู้สึกปวดหัวตุบๆ หนักกว่า แต่หน้าที่แม่และงานที่ต้องทำ ทำให้คนเป็นแม่อย่างฉันไม่มีวันหยุด และมันเป็นแบบนี้มาตลอด
แต่ฉันก็มีความสุขในแบบของฉัน
ไม่สิ! พวกเรามีความสุขในแบบของเราต่างหาก
ฉันอาบน้ำแต่งตัวโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำไม่ต้องแต่งหน้าอะไรมากแค่ทาครีมกันแดดแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่อะไรหรอกแค่ฉันไม่มีพวกเครื่องสำอางแบบอื่นเลย เพราะเห็นว่ามันแพงและไม่จำเป็นขนาดนั้น ฉันพาเด็กๆ ลงมาที่ห้องครัว ตอนนี้ฉันรู้สึกปวดหัวเหมือนจะระเบิด ร่างกายเริ่มจะมีอุณหภูมิสูงมากกว่าเดิม ฉันชงโอวัลตินกับหยิบขนมปังมาให้เด็กๆ คนละห่อทานรองท้องระหว่างเดินทางไปทำงาน
หลังจากกินอาหารรองท้องเสร็จ ฉันก็หยิบยาแก้ปวดทานไปสองเม็ดหวังว่าจะช่วยให้ดีขึ้น ฉันไม่อยากให้ลูกทั้งสองติดไข้หวัดจากฉัน และวันนี้ฉันก็สัญญากับลูกๆ แล้วว่าจะพาไปกินไก่ทอดของโปรดของทั้งสองคนรวมถึงฉันด้วย เพราะวันนี้เป็นวันเงินเดือนออกและเป็นสิ่งที่ฉันทำเป็นประจำที่จะพาลูกไปกินอาหารที่ชอบเดือนละครั้ง