บทที่ 2 คนที่หายไป
[คนกลาง]
"ฮัลโหล คะคน ละ..เล็ก คนเล็ก พี่ว่าพี่เจอแล้ว พี่เจอแล้ว!!" น้ำเสียงตื่นเต้นเปล่งออกมาอย่างตะกุกตะกักแต่แฝงไปด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิด ทำคนฟังรู้สึกใจเต้นแรงตามไปด้วย
"เจออะไรคะพี่กลาง แล้วก่อนจะพูดก็หายใจลึกๆ ตั้งสติดีๆ ก่อนนะคะ เล็กฟังไม่รู้เรื่อง" หญิงสาวภาวนาขอให้เรื่องที่พี่ชายจะพูดเป็นเรื่องที่ต้องการฟังมาตลอดระยะเวลาห้าปีเต็ม
"ยัยเล็ก พี่เหมือนจะเจอ นะ..น้องบัว พะ...พี่ว่าพี่เจอน้องบัวแล้ว แต่พี่ ไม่แน่ใจเหตุการณ์มันเกิดเร็วมาก" เจ้าของเสียงเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว
"พี่กลาง ไม่พูดเล่นค่ะ" เสียงปลายสายที่ดังอย่างตื่นตระหนกพร้อมความยินดีที่ปกปิดไม่มิด
"ยัยเล็ก!! พี่ซีเรียส แค่ต้องรอเจออีกสักครั้งแค่นั้นแล้วจะรู้เรื่องเลย"
"จะ..จริงหรือพี่กลาง" เสียงน้องสาวแทบจะร้องกรี๊ดออกมาเมื่อสิ่งที่ได้ยินเป็นสิ่งที่ต้องการฟังมาตลอด คนที่ครอบครัวตามหา
"อืม รอพี่แน่ใจก่อนแล้วเดี๋ยวพี่จะบอกเล็กอีกที แค่นี้นะ ไม่แน่เราอาจจะเจอคนที่เราตามหาจริงๆ ก็ได้" น้ำเสียงพี่ชายคนรองที่พูดออกมาด้วยความมุ่งมั่นทำให้น้องสาวอย่างคนเล็กรอคอยอย่างมีความหวัง ในใจได้แต่ภาวนาให้เป็นดั่งที่คิด นานมากแล้ว นานแล้วที่น้องหายไป
"ขอให้เจอจริงๆ สักทีนะคะ เล็กจะพาคุณแม่ไปทำบุญเก้าวัดเลยค่ะ" หญิงสาวยกมือสาธุท่วมหัวในห้องทำงานส่วนตัวโรงแรมใหญ่ในเครืออัครา
"งั้นแค่นี้ก่อนนะคนเล็ก"
"ค่ะพี่กลาง คนเล็กจะรอฟังข่าวดีนะคะ"
คนกลางหรือศิรพัฒน์ วิบูลย์พันธกิต หลังจากวางโทรศัพท์จากน้องสาวเสร็จก็กดโทรออกหาอีกคนทันทีที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน
"ว่าไงคนกลาง งานมีปัญหาหรือเปล่า" เสียงปลายสายที่ส่งมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นทำเอาผมขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
"ไม่มีปัญหาครับ แต่เหมือนกลางจะ.."
ตืด ตืด ตืด~~
ยังไม่ทันที่ผมพูดจบปลายสายก็ตัดสายทิ้งกันอย่างไม่มีเยื่อใย
'พี่ใหญ่นะพี่ใหญ่ แล้วอย่าหาว่ากลางไม่บอกก็แล้วกัน' ผมบ่นคนปลายสายที่ตัดสายทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ฟังอะไรเลย ใช่สิ!! นอกจากงาน งาน งาน พี่ใหญ่ก็ไม่เคยสนใจอะไรเลย แต่ก็เอาเถอะรอให้ผมมั่นใจอีกหน่อย ขี้คร้านคุณใหญ่แห่งอัครา กรุ๊ปที่ทุกคนพากันยำเกรงจะกระดิกหางตามน้องน้อยที่หายไปกลายเป็นคนละคนกับเจ้านายผู้เคร่งขรึมในตอนนี้เลยทีเดียว คอยดูเถอะผมเอาหัวเป็นประกันเลย
ผมเดินเข้าไปที่รีสอร์ตเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องก่อนจะเดินออกมาสมทบกับลูกน้องในแผนกที่วันนี้พากันมาสัมมนาที่นี่ พร้อมกับอีกหลายบริษัทที่เพิ่งทยอยเข้ามา รีสอร์ตที่นี่เป็นอีกหลายๆ ที่ของตระกูลถือว่าเป็นที่ที่ให้ความสนใจน้อยที่สุดแล้ว ในบรรดาเครือ ไม่ถือว่าเป็นที่ที่ทำรายได้มากนักแต่ก็ไม่เคยขาดทุนเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายในช่วงวันหยุดเทศกาลต่างๆ เห็นว่าช่วงไฮซีซั่นจะมีคนจองเยอะที่สุด ปกติแล้วผมกับพี่น้องก็ไม่ค่อยได้มาดูแลเอง แต่ก็มีคนที่ไว้ใจได้คอยดูแลและมีเข้าประชุมแจ้งยอดผลกำไรทุกไตรมาส
ที่จริงคนต้นคิดว่าจะมาจัดสัมมนาที่นี่ก็คือผมนี่แหละ ส่วนหนึ่งก็อยากจะมาพักผ่อน อันที่จริงอยากมาพักผ่อนมากกว่ามาทำงานอีก จากประสบการณ์การทำงานกับพี่ชายคนโตทำเอาผมแทบประสาทแดกจนทุกวันนี้ พี่ชายบ้างานคนเดียวไม่พอ ยังจะมาลากผมเข้ามาด้วย ทั้งๆ ที่ผมอยากจะใช้ชีวิตชิวๆ นอนสบายรอรับเงินปันผลเสียหน่อย ชีวิตสมถะของผมที่ต้องมาทำงานเหมือนคนเป็นหนี้แบบนี้ทุกวันก็เพราะพี่ใหญ่คนนี้แหละครับ ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อห้าปีก่อน จบอาชีพนักการทูตที่ตัวเองรัก หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานบริษัทต่อจากพ่อ วันๆ ก็ทำแต่งานไม่เคยสนใจโลก ไม่เคยหยุดพักผ่อนทำงานเหมือนที่บ้านเป็นหนี้ มีชีวิตแบบหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งเวลาไว้เช้ามาต้องไปทำงาน ถึงเวลากินข้าว ได้เวลานอนก็นอนเป็นคนที่แทบไม่ได้มีชีวิตหวือหวา เหมือนกับคนที่มีชีวิตไปวันๆ แต่เรื่องหนึ่งที่พี่ชายผมไม่เคยห่างหายไปเลยคือการให้คนตามหาน้องที่หายไปตลอดห้าปีกว่า
ถามว่าทำไมผมต้องเชื่อฟังพี่ใหญ่ด้วย ก็ถ้าไม่อยากถูกตัดหุ้นบริษัท แล้วก็รองประธานบริษัท ผมมาทำก็ถูกของพี่มันแล้วนี่เน๊อะ ส่วนน้องสาวอย่างคนเล็กนี่ก็สบายตัวไปแล้ว นอกจากจะทำงานตำแหน่งรองประธานอีกคนเธอก็ยังมีคู่หมั้นที่รักและคอยดูแลไม่ห่าง ทำให้ครอบครัวหายห่วงแถมคู่หมั้นเจ้าตัวยังเป็นถึงเจ้าของบริษัทนำเข้ารถยนต์ยี่ห้อหรูจากต่างประเทศทั่วโลกที่มีชื่อเสียงติดอันดับหนึ่งของประเทศที่คนให้ความนิยมเป็นอย่างมาก รักกันหวานชื่นจนผมยังอิจฉา
ผมมองรีสอร์ตที่กินพื้นที่ไม่ต่ำกว่าห้าร้อยไร่อันที่จริงที่นี่ก็ไม่แย่เท่าไรถึงว่าทำไมมีนักท่องเที่ยวมากันมากมายนัก ก็ดูบรรยากาศที่นี่สิ น่าอยู่ชะมัดมองไปทางไหนก็เห็นแต่ธรรมชาติทั้งภูเขาทั้งสวนดอกไม้นานาพรรณที่ถูกปลูกเพื่อสร้างสีสันและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาถ่ายรูปและด้านหน้ายังมีคาเฟ่เล็กๆ ไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย ในสไลด์ประชุมเมื่อครั้งก่อนที่ผู้จัดการรีสอร์ตนำมาเสนอพร้อมรายงานยอดกำไรตามไตรมาส ผมมองภาพความสวยงามตามธรรมชาติที่อยู่ในรูปก็ว่าสวยแล้วแต่พอมาเห็นจริงๆ ด้วยตาตัวเองก็คิดว่าที่เห็นผ่านตานั้นยังไม่สวยเท่านี้เลย สงสัยต้องบอกพ่อกับแม่มาพักผ่อนที่นี่อยู่กับธรรมชาติกันบ้างแล้ว
แต่ก็มีบางจุดที่ต้องปรับปรุงเสียหน่อย และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ผมไม่คิดว่าการที่เลือกมาที่นี่จะทำให้มาเจอกับน้องที่หายตัวไป ถึงจะยังยืนยันไม่ได้ว่าใช่เธอไหม แต่ก็คงจะไม่ยาก รีสอร์ตแห่งนี้ก็ไม่ได้กว้างขวางเสียเมื่อไร
'คราวนี้แหละ พี่ใหญ่ถ้าเจอตัวน้องมันเมื่อไร คนกลางคนนี้จะขอพักงานแล้วเที่ยวรอบโลกสักปีหนึ่งละกันนะ' ผมคิดในใจอย่างหมายมั่นตั้งใจจะตามหาน้องอีกสักครั้งเพราะมั่นใจว่ายังไงน้องต้องทำงานที่นี่แน่ๆ
"สวัสดีค่ะคุณกลาง" เดินมาไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงทักมาจากด้านหลัง
"สวัสดีครับคุณสิริน งานราบรื่นดีไหมครับ" ทันทีที่ผู้จัดการ รีสอร์ตวัยกลางคนเห็นผมเดินออกมาจากห้องพักเธอก็เข้ามาสวัสดีทันที ถ้าจำไม่ผิดคุณสิรินเป็นคนดูแลรีสอร์ตแห่งนี้ตั้งแต่คุณพ่อลงทุนทำใหม่ๆ และแต่งตั้งให้คุณสิรินเป็นผู้ดูแลแทนและเจ้าตัวก็ทำงานได้ดีมากด้วย แถมยังดูเป็นผู้หญิงแกร่งในสายตาผมอีก ขนาดอายุเยอะแล้วก็ยังคงมีความน่ายำเกรงและดูให้ความเคารพผมไปในตัว คุณพ่อผมเป็นคนที่มองคนไม่เคยพลาดเลยจริงๆ
"งานราบรื่นดีค่ะ ตอนนี้ทุกคนที่เข้าร่วมงานกำลังเข้าห้องพักตามที่จัดเตรียมไว้ให้ค่ะ สำหรับวันพรุ่งนี้ก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วค่ะ " คุณสิริน กล่าวด้วยความนอบน้อมส่งยิ้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
"ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะครับ เดี๋ยวผมขอเดินดูรอบๆ หน่อยถ้ามีอะไรจะให้เด็กไปเรียกนะครับ"
"ได้ค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ"
"ครับ"
ผมเดินเรื่อยมาจนถึงห้องอาหารของทางรีสอร์ตที่ตกแต่งอย่างเป็นธรรมชาติ ดูไปก็สวยงามไม่น้อย แต่เอ๊ะ!! ตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปสั่งอาหารทานก็ต้องหยุดอยู่กับที่เพื่อมองให้แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นที่วิ่งชนผมคือคนคนเดียวกับที่ผมตามหา ถึงจะผ่านมาห้าปีกว่าแล้ว แต่ผมว่าผมจำไม่ผิด ใช่น้องจริงๆ ถึงจะดูแปลกตาไปมากก็ตามแต่ผมก็ไม่เคยลืมคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวผมอีกคน ผมมองตามน้องไม่วางตา พิจารณาใบหน้าที่ดูซูบตอบอย่างร้ายแรงกับสีผมที่ดูแปลกตาน่าจะเกิดจากการย้อมเพราะสีผมจริงของน้องคือสีน้ำตาลประกายทองที่เป็นตัวระบุเชื้อชาติได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าน้องจะทำสีเพื่ออะไรก็แล้วแต่มันก็ไม่อาจบดบังใบหน้าลูกครึ่งสวยงามของเธอลงได้ ผมนั่งแอบมองน้องอยู่ในจุดที่เธอมองไม่เห็นได้ง่าย เห็นเธอเดินเสิร์ฟอาหารมือเป็นระวิง ทั้งๆ ที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ อาจเป็นเพราะคนที่มาสัมมนาในครั้งนี้ด้วยทำให้ดูคนเยอะมากเป็นพิเศษ
ตลอดทั้งวันผมเห็นน้องเดินแทบไม่หยุด จนอยากจะเรียกผู้จัดการมาถามว่าไม่มีพนักงานเสิร์ฟอีกแล้วหรือไงนอกจากเธอคนนั้นกับหญิงสาวอีกสามคน แต่ว่าลูกค้าที่นั่งกันเกือบร้อยคนที่นั่งกระจายกันเต็มห้องอาหารนั้นยังไงก็ดูไม่ทั่วถึงแน่ๆ
แต่ตอนนี้ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเกรงว่าน้องจะตกใจแล้วเตลิดหนีไปเสียก่อน ผมเฝ้าสังเกตเธอมาค่อนวันก็เห็นความผิดปกติของเธอ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าการก้าวเดินของเธอผิดปกติ ผมมองไปที่การก้าวของเธอตาไม่กะพริบจึงเห็นว่าเธอเดินกะเผลกเล็กน้อยในครั้งที่เร่งจังหวะการเดิน แต่เหมือนพอเธอรู้ตัวว่าเผลอเดินเร็วไปก็จะเห็นได้ว่าเธอก้าวช้าลงด้วยท่าทีปกติ
ผมมองใบหน้าน้องที่ดูเซียวกว่าเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัดเหมือนน้องจะยังฝืนทำงานทั้งที่ร่างกายตอนนี้ดูไม่เอื้ออำนวย น้องดูเปราะบางมาก ปกติน้องเป็นคนตัวเล็กอยู่แล้วแต่ตอนนี้น้องผอมแห้งกว่าครั้งก่อนไปมากโข ร่างกายผ่ายผอมแทบจะปลิวลมได้เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาน้องลำบากขนาดไหนแต่ที่รู้ๆ ไม่ได้อยู่สบายอย่างแน่นอน อย่างที่เห็นสภาพน้องตอนนี้เหมือนคนเป็นโรคด้วยซ้ำ ผมที่ไม่อาจเก็บความตกใจไว้ได้ มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ราคาหลักแสนกดอัดวิดีโอความยาวประมาณห้านาทีเป็นช่วงๆ ตามติดน้องในขณะที่น้องเดินเก็บจานเปล่าบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะส่งเข้าแชทส่วนตัวของน้องสาวทันทีและไม่ลืมถ่ายช่วงจังหวะการก้าวเดินที่ไม่ปกติของน้องด้วย
ผมมองตามน้องที่ตอนนี้มานั่งพักฝั่งตรงข้ามที่ผมนั่งอยู่ ผมรีบกระชับหมวกปิดบังใบหน้ากับขยับหน้ากากอนามัยให้เข้าที่ ยังไม่อยากให้น้องเห็นตอนนี้ มือผอมบางแห้งกร้านอย่างคนไม่ได้ดูแลตัวเองล้วงหยิบซองยาออกจากกระเป๋าก่อนจะเทลงฝ่ามือแล้วกรอกใส่ปากตามด้วยน้ำเปล่าที่เธอถือติดมาเธอนั่งเหยียดขาข้างซ้ายออกมาก่อนจะบีบนวดที่ตรงหัวเข่า มือบางข้างที่ว่างล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกจากกระเป๋าซับเหงื่อที่ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาด ผมเห็นเธอนั่งพักเพียงชั่วครู่ก็เดินเข้าไปในร้านเสิร์ฟอาหารต่อ
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงเย็น ผมเห็นเธอเดินสะพายกระเป๋าผ้าออกมาจากรีสอร์ตตรงมาทางที่ผมนั่งอยู่ ก่อนจะมีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งตามเธอมาแล้วยื่นถุงอะไรบางอย่างส่งให้เธอ ตอนนี้พวกเธอทั้งสองคนมาหยุดอยู่ตรงโซนที่ผมนั่งพอดี ทำให้ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนพูดชัดขึ้น ดีที่มีต้นไม้บัง ทำให้ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตว่ามีคนนั่งอยู่
"บัวหอม วันนี้ป้าแตนฝากกับข้าวไปให้เด็กๆ ด้วย มีขนมของโปรดเด็กๆ ด้วยนะ เอารับไปสิ" หญิงสาวที่วิ่งตามน้องมาพูดด้วยน้ำเสียงติดหอบเล็กน้อย
"จะดีเหรอแก้วขวัญ เดี๋ยวใครรู้จะพากันโดนไล่ออกเอานะ" ผมได้ยินเสียงคนน้องพูดกับผู้หญิงที่ชื่อแก้วขวัญด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"แหม ถ้าจะไล่ออกเพราะแค่เอาข้าวกับขนมให้เด็กๆ แก้วนี่แหละจะช่วยประท้วงให้ดู" หญิงสาวที่ดูอวบมีน้ำมีนวลพูดด้วยน้ำเสียงติดเอาเรื่องก่อนที่เธอจะจับมือน้องมารับอาหารที่เธอวิ่งเอามาให้
"แล้วขาเธอเป็นยังไงบ้าง ต้องไปหาหมอไหม วันนี้งานหนักมากแก้วยังไม่ได้เห็นเธอพักเลย แถมยังไม่ได้มีเวลาคุยกันอีก"
"อื้อ...ไม่เป็นไรหรอก สบายมากเราไปรับเด็กๆ ก่อนนะ ฝากขอบคุณป้าแตนด้วย"
ผมเห็นน้องส่งยิ้มให้คนที่ชื่อแก้วขวัญแล้วเดินออกไปนั่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พอน้องนั่งเสร็จรถก็ขับออกไปทันที ผมเห็นดังนั้นก็รีบตรงไปขึ้นรถขับตามเธอไปห่างใช้เวลาไม่นานผมก็มาจอดอยู่ตรงหน้าโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในใจครุ่นคิดตั้งแต่ได้ยินคำว่าเด็กๆ ก็ยิ่งวิตก เพราะที่น้องหายตัวไปตั้งแต่ตอนนั้นก็เพราะเรื่องเด็กในท้อง หรือว่าน้องมีสามีใหม่มีลูกใหม่ไปแล้ว
ทันทีที่เห็นคนน้องออกมาจากโรงเรียนพร้อมด้วยเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่กำลังยิ้มหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเดินจับมือน้องคนละข้างกวัดแกว่งไปมา ในตอนที่ทั้งสามคนกำลังเดินผ่านมาที่หน้ารถ ผมถึงกับต้องกลั้นหายใจเพราะเด็กทั้งสองคนนั้นเพียงได้มองใบหน้าแค่เสี้ยวเดียวก็คงไม่ต้องบอกว่าลูกใครเพราะดีเอ็นเอ เด่นหราซะขนาดนั้น ความคิดเรื่องน้องมีสามีและลูกถูกปัดตกไปทันที ที่เห็นเด็กแฝดชายหญิงหน้าตาน่ารักน่าชังอย่างกับเด็กฝรั่ง
'นี่มันเรื่องเชี่ยะอะไรวะเนี่ยะ!!!'