บทที่ 1 จุดเริ่มต้น
ชีวิตของบัวบูชา
ฉันบูชา รัชกร หรือชื่อเล่นบัวหอมในวัยยี่สิบห้าปีพร้อมด้วยลูกแฝดชายหญิงอาศัยอยู่กันลำพังสามคนแม่ลูกที่บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี
น้องข้าวหอมเด็กหญิงศิริกานดา รัชกร อายุ 5 ขวบ เด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าชัง ปากนิดจมูกหน่อยผมหยักศกเหลือบทองเป็นประกายอย่างลูกเสี้ยว เป็นเด็กเลี้ยงง่ายกินง่ายกิริยามารยาทเรียบร้อย
น้องข้าวปั้น เด็กชายศิลากาล รัชกร อายุ 5 ขวบ แฝดคนน้องที่น่ารักน่าชังไม่ต่างกับคนพี่แต่จะติดซนมากกว่าคนเป็นพี่สาวอยู่มาก ซึ่งก็เป็นไปตามช่วงอายุของเด็กวัยนี้ที่จะมีซุกซนบ้างตามประสา
เด็กแฝดชายหญิงน่าตาน่ารักอย่างกับเด็กฝรั่งเพราะส่วนหนึ่งได้มา DNA จากฉันที่เป็นลูกครึ่งเพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นใคร ไม่มีที่มาว่าสัญชาติจริงๆ ของฉันเป็นพื้นเพมาจากที่ไหนเพราะถูกนำไปทิ้งไว้ตั้งแต่เด็กสายสะดือยังไม่แห้งด้วยซ้ำ ฉันถูกเอามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านมหาเศรษฐีหลังหนึ่งเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน มันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ไม่รู้ว่าคนทางนั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง จะมีความสุขดีไหม จะยังจำเด็กที่ชื่อบัวหอมคนนี้ได้หรือเปล่า
กลับมาปัจจุบันตอนนี้ลูกทั้งสองคนของฉันกำลังเรียนอยู่โรงเรียนชั้นอนุบาลสองโรงเรียนแถวบ้านที่มีค่าเทอมไม่ได้แพงมากนัก ฉันอยู่กับลูกสามคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านไม้สองชั้นที่ค่อนข้างเก่าแต่ก็ยังแข็งแรง เป็นบ้านของรุ่นพี่ที่ทำงานแต่ได้ย้ายไปต่างประเทศเพราะแต่งงานกับแฟนที่เป็นชาวต่างชาติ แล้วปล่อยให้ฉันเช่าในราคาไม่แพงนัก ด้วยความสงสารแถมยังลดค่าเช่าให้ฉัน จนฉันเองก็ตกใจกับค่าเช่าที่แสนจะถูก ถึงไม่ได้เป็นบ้านใหญ่ใหญ่โตอะไรแต่ค่าเช่าถูกแถมติดโรงเรียนของลูกก็ใกล้ที่ทำงาน ทำให้ฉันไม่แม้แต่จะปฏิเสธและคอยดูแลรักษาบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีไม่ปล่อยให้ทรุดโทรมไปตามเวลา
ฉันทำงานเป็นพนักงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ถามว่าฉันเป็นคนพื้นเพที่นี่อย่างนั้นหรือ ตอบได้เลยว่าไม่ใช่ แต่มีเหตุให้จับพลัดจับผลูมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ก็แค่นั้น
ชีวิตประจำวันของฉันไม่ได้มีอะไรมาก เช้าตื่นมาทำอาหารให้ลูกๆ อาบน้ำแต่งตัวส่งลูกไปโรงเรียน แล้วก็เลยไปทำงาน ตกเย็นเลิกงานไปรับลูกที่โรงเรียนกลับมาทำงานต่อจนเลิกงานแล้วก็กลับบ้าน กิจวัตรประจำวันของทั้งสามคนเป็นแบบนี้วนไป วันแล้ววันเล่า และวันนี้ก็เหมือนกัน ฉันกำลังจะพาลูกๆ ไปส่งที่โรงเรียนหลังจากกินข้าวเสร็จก็พากันเดินออกมารอรถสองแถวที่หน้าบ้าน
"แม่จ๋ารถมาแล้ว" ข้าวหอมพูดขึ้นเมื่อเห็นรถสองแถววิ่งฝุ่นตลบมาจอดข้างหน้า
"มาเลยอีหนูขึ้นมานั่งหน้า"
"สวัสดีจ่ะลุงเม่น"
"สวัสดีจ้าตา//สวัสดีจ้าตา" ฉันและเด็กๆ ยกมือไหว้ลุงเม่นคนขับรถสองแถวเจ้าประจำที่ฉันนั่งทุกวันมาตลอดเป็นระยะเวลาก็เกือบจะเข้าปีที่หก เคารพแกเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาลุงเม่นกับป้าศรีเป็นผู้มีพระคุณที่คอยให้ความช่วยเหลือฉันมาตลอด แล้วบ้านแกอยู่ตรงข้ามกันนี่แหละ ทั้งสองคนก็อยู่กันสองตายาย ไม่มีลูกไม่มีหลาน
"เออ...เด็กๆ ขึ้นมา ๆ วันนี้ยายศรีฝากตาเอาขนมมาให้ด้วย เด็กๆ เอาไปแบ่งกันกินนะ" ลุงเม่นยื่นขนมใส่ไส้ส่งให้เด็กๆ ที่นั่งเบียดกันที่เบาะหน้าข้างๆ แก ซึ่งเป็นที่ประจำของฉันสามคนแม่ลูกไปแล้ว
"ขอบคุณจ่ะลุงเม่น เด็กๆ ขอบคุณตาด้วยนะจ๊ะ "
"ขอบคุณค่าา ตาจ๋าา// ขอบคุณค่าบคุณตา" เด็กแฝดยกมือไหว้อย่างสวยงามตามที่ฉันสอนขอบคุณคนแก่ที่ตอนนี้กำลังขับรถออกไปรับผู้โดยสารที่รอตามทาง
"เอ่อๆ ไอ้เด็กพวกนี้มันมือไม่อ่อน แม่สอนมาดีแท้" ลุงเม่นเอ่ยชมอย่างจริงใจทำให้ฉันอดภูมิใจไม่ได้
โรงเรียนอนุบาล
"สวัสดีค่ะ//สวัสดีครับ" เด็กๆ พากันยกมือไหว้คุณครูที่มายืนรอรับที่หน้าโรงเรียน ก่อนจะหันมายกมือไหว้ฉันพร้อมกันและหอมแก้มฉันคนละข้างอย่างเคยชิน
"เจอกันตอนเย็นนะคะ" ฉันบอกลูกน้อยก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย
"บ๊ายบายค่ะแม่จ๋า//บ๊ายบายฮะแม่" เด็กๆ โบกมือบ๊ายบายก่อนจะหันหลังเดินตามกลุ่มเด็กคนอื่นไป
ฉันยืนมองเด็กๆ ที่จับมือพากันวิ่งเข้าห้องเรียนจนลับสายตาแล้วยกนาฬิกาเรือนละร้อยกว่าบาทขึ้นมาดู
เวลา 8.45 นาฬิกา
‘ตายแล้วบัวหอม สายจนได้สินะ’ ฉันรีบเดินออกมาโบกวินมอเตอร์ไซค์แล้วให้พี่วินรีบขับไปที่รีสอร์ตที่เป็นที่ทำงานของฉันทันที ฉันใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการนั่งวินปกติฉันต้องเข้างาน 9 โมงตรงแต่เพราะเมื่อเช้าเด็กๆ งอแงจากการฝันร้ายเมื่อคืนนี้ฉันจึงใช้เวลาอยู่ปลอบเด็กๆ นานไปหน่อย
ฉันวิ่งเข้ามาในรีสอร์ตอย่างกระหืดกระหอบถึงแม้ขาข้างซ้ายที่เจ็บแปล๊บประท้วงเพราะฉันฝืนวิ่ง จนขากะเผลกเล็กน้อยจากการลงน้ำหนักมากไป ปกติเวลาเดินถ้าไม่มีใครสังเกตก็จะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วฉันเดินไม่ปกติ ฉันวิ่งด้วยความกระหืดกระหอบพาตัวเองลัดเลาะมาทางลัดที่ตัดเข้าหลังออฟฟิศเพื่อให้มาทันตอกบัตรเข้างาน ไม่อย่างนั้นถ้าฉันสายเดือนนี้ฉันคงอดเบี้ยขยันแน่ๆ ตั้งห้าร้อยเลยนะ ค่ากับข้าวได้ตั้งเป็นอาทิตย์เชียวนะ
"โอ๊ะ!! ขอโทษค่ะ " ฉันที่มัวแต่วิ่งจนไม่ได้ดูทางก็ชนเข้ากับผู้ชายตัวโตคนหนึ่งแต่ฉันก็ไม่ได้หันกลับไปมอง ได้แต่พูดขอโทษออกไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามด้วยสายตาตื่นตะลึงและยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
แฮ่ก แฮ่ก ~~
"นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว" ฉันวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตอกบัตรทันตรงเวลา 9.00 น. พอดีก็พลันหายใจโล่งขึ้นมา แต่ดีใจได้ไม่นานก็รู้สึกถึงขาที่กำลังสั่นระริกจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ทำให้เซเล็กน้อย ฉันรีบยกมือยันตู้ ล็อกเกอร์เพื่อช่วยพยุงตัวเพราะเกรงว่าจะล้ม
"บัวหอม นั่งพักก่อนไหม ดูสิหน้าซีดเซียวไปหมดแล้ว " ฉันได้ยินแก้วขวัญเพื่อนร่วมงานทักทันทีที่เห็นฉันยังยืนหอบอยู่ เธอดึงแขนฉันมานั่งตรงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
"หวัดดีแก้ว มานานแล้วเหรอ?" ฉันหันไปยิ้มให้เพื่อนพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้รู้ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ก็นั่งพักตามที่เพื่อนบอก ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงไปมากกว่านี้
"ไหวจริงเหรอ? แล้วนี่วิ่งมาไม่เจ็บขาหรือไง? หมอบอกว่าไม่ให้ลงเท้าข้างนั้นหนักมากไม่ไช่เหรอ เท่าที่แก้วจำได้ แล้วทำไมยังดื้อละฮึ!" แก้วขวัญยกมือขึ้นเท้าเอวดุฉันด้วยน้ำเสียงจริงจังหลังจากฉันนั่งลงเก้าอี้ก็แทบสะดุ้งเพราะน้ำเสียงของเธอ นี่เพื่อนหรือแม่ ดุจังแฮะ!!
แก้วขวัญเป็นอีกคนที่รู้ว่าฉันมีปัญหาเรื่องการเดินเพราะเธอชอบสังเกตและเห็นความผิดปกติของฉัน แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากถามจนมีวันหนึ่งฉันวิ่งมาแบบนี้แล้วเกิดสะดุดล้มลงเพราะอาการเจ็บแปล๊บที่ขาข้างซ้ายมันออกอาการว่าฉันใช้งานหนักไป ทำให้ขาฉันอ่อนแรง แก้วขวัญเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์แล้วเรียกคนมาช่วยพาฉันไปส่งโรงพยาบาลเลยทำให้รู้ว่าฉันเคยเกิดอุบัติเหตุทำให้ขาเกือบพิการเดินไม่ได้
"ไม่เป็นไรเลย สบายมาก" ฉันพูดอย่างหนักแน่นยิ้มกว้างส่งให้เพื่อนคนเดียวของฉันตลอดเกือบห้าปีที่ผ่านมาก็มีแก้วขวัญนี่แหละที่มาช่วยดูแลเด็กๆ โดยตลอดนอกจากลุงมั่นป้าศรีและยังมีพี่ป้าน้าอาที่นี่อีกด้วย ทุกคนเอ็นดูพวกเราสามแม่ลูกมากฉันคิดว่าพวกเราโชคดีแล้วที่มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่
"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว" เสียงพ่นลมหายใจของเพื่อนสาวอย่างโล่งอกทำเอาฉันต้องยิ้มออกมาอีกครั้ง ก็ใครให้แก้วขวัญทำตัวเหมือนแม่กันล่ะ ทั้งที่แก้วขวัญนั้นอายุน้อยกว่าฉันอีกแต่ฉันก็ชอบที่เธอเป็นแบบนี้นะ มันก็ดูรู้สึกอบอุ่นเหมือนครอบครัวที่ต้องมีการบ่นการว่าบ้างตามประสา
"เอ่อ.. แก้วขวัญทำไมวันนี้ฉันรู้สึกว่ารถจอดเยอะกว่าทุกวันเลย" ตอนที่ฉันลงรถมอเตอร์ไซค์ ฉันเห็นที่ลานจอดรถ รถจอดเยอะมากจนแทบไม่มีที่ว่างเลย
"เอ้า! ไม่มีใครบอกเหรอ ว่าวันนี้ที่รีสอร์ตมีจัดสัมมนา" แก้วขวัญถามฉันพลางมองด้วยสายตากลมโตดูตกใจ
"ตายแล้ว จริงๆ ด้วยฉันผิดเองฉันลืมบอกเธอเลย พอดีพี่มิ้นเค้าแจ้งมาเมื่อวานว่าจะมีจัดสัมมนาสองคืนสามวันจากบริษัทอะไรสักอย่างนี่แหละฉันเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน ขอโทษๆ ฉันเองแท้ๆ ที่บอกพี่มิ้นว่าจะมาบอกเธอเองจะได้เตรียมตัวรับศึกหนัก "
"ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง" ฉันผูกผ้าคาดเอวพร้อมที่จะทำหน้าที่ประจำ นั่นก็คือพนักงานเสิร์ฟที่รีสอร์ตแห่งนี้ พวกคุณคงไม่คิดว่าฉันจะมีตำแหน่งใหญ่โตที่นี่กันหรอกใช่ไหมคะ หึ!! พวกคุณคิดผิดแล้วค่ะ ก็ฉันมีวุฒิแค่ม.หก เรียนปริญญาตรีก็ไม่จบ แต่ก็ช่างเถอะเพราะมันก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องทำงานเพื่อเงินที่จะได้รับในแต่ละเดือนแล้วนำมาใช้จ่ายให้พอในแต่ละเดือนก็เท่านั้น
‘นี่แหละค่ะ ชีวิตจริงของบัวหอม’