ตอนที่ 6 รอยอดีตยังฝังตรึง ep.2
เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องกัมปนาท ใกล้เข้ามา ทำให้ทุกคนที่ประชุมหารือลุกพรวด นายทหารทแกล้วยืนขึ้นห้อมล้อมองค์อินทัชผู้ชรา
สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่มหาบุรุษหนุ่ม ผู้ที่สวมกาศิกพัสตร์ ดูกรุยกราย พระเกศายาวสยายเต็มพระปฤษฎางค์ ดวงพระพักตร์คร้ามคม หล่อเหลางดงามหมดจด ถูกตกแต่งด้วยเคราเข้ม ดวงพระเนตรคมกล้าฉายแววประหนึ่งผู้ทรงอำนาจและฤทธี ปลายพระนาสิกโด่งเป็นสันสวยงามรับกับริมพระโอษฐ์ได้รูปสีชมพูเข้ม วรรณะขาวผ่องภายใต้เนื้อผ้าอย่างดีละเอียดอ่อนสีขรึม ช่วยส่งให้ร่างกายที่สูงเด่นดูสง่างามอย่างน่าจับตามอง
พระองค์ประทับนั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอก อย่างงามสง่า พระองค์งามนักหนากว่าบุรุษใดในแผ่นดินที่ได้ถือกำเนิดมา รัศมีเรืองรองสาดส่องไปทั่งห้องกว้างที่ได้รับการประดับประดาด้วยทองคำอย่างล้ำค่า
“ท่านเองหรือ เมธัสอัปราชัยมหาบุรุษผู้ไม่เคยพ่าย.”
มหาบุรุษหนุ่มหันมาสบพระเนตรองค์อินทัชผู้ชรา พร้อมกับค้อมพระเศียรลงเล็กน้อย
“ใช่แล้ว..องค์อินทัชผู้เจริญ..ชื่อเสียงของพระองค์ท่านเลื่องลือนักในเรื่องของความเมตตาที่เป็นหนึ่ง..ค่ำคืนนี้ นับว่าเป็นเกียรตินักหนาที่เราได้พบ..”
เพียงแค่ได้ประสบพบพักตร์ได้ยินพระสุรเสียงสำเนียงได้ทอดพระเนตรเห็นลักษณะที่สมกับคำร่ำลือและการยกย่องให้เป็นเอกบุรุษที่งามสง่าและองอาจอย่าหาบุรุษใดทัดเทียมได้ยาก
อีกทั้งยังมีรัศมีของบารมีที่แผ่กว้าง สยบแม้ทุกลมหายใจของคนที่ได้มองเห็น ให้เผลอไผลหลงลืมแม้ความรู้สึกนึกคิดของตนไปชั่วครู่องค์
จอมกษัตริย์อินทัช พยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับพิศมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยความชื่นชม ความเคียดแค้นชิงชังดูจางลงไปในชั่วพริบตาเพียงแค่ได้ยลได้ยิน ได้ฟังกระแสเสียงทุ้มที่ทรงพลังอำนาจ
“ท่านงามสมคำร่ำลือ งามเสียยิ่งกว่าบุรุษใดในโลกหล้า..แต่ด้วยเหตุใด ท่านจึงไม่ละอาย ไม่ลดละความทะยานอยาก สิ่งที่ท่านมีอยู่ก็มากมายมหาศาล..ท่านรู้สึกอย่างใดเล่ากับแผ่นดินอันเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเรา..”
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ องค์อินทัชผู้เจริญ..เราไม่หาญกล้าทำร้ายพระองค์ท่านได้ดอก เพราะเราเองก็เปรียบประดุจดั่งทาสผู้สวามิภักดิ์ของสากิยมุนีเจ้าเฉกเช่นพระองค์ท่าน..หากแต่เราเพียงปรารถนาความร่มเย็นเป็นหนึ่งก็เท่านั้น..แม้เราไม่ยึดครองดินแดนแห่งนี้ในค่ำคืน..หากแต่วันพรุ่งอาจมีหริราชศัตรูมาแผ้วพาลถากถางท่านมิย่ำแย่กว่าเราหรือ..”
องค์อินทัช มองสบพระเนตรบุรุษหนุ่มนิ่ง..พระกระแสที่พร่างพรูออกมาอย่างฉาดฉาน งดงาม แม้ลักษณะขององค์ราชันจะดูน่าเคารพและเกรงขาม แต่ความถ่อมตนและอ่อนโยนก็ปรากฏให้เห็นในทุกอิริยาบถ
“พระองค์ท่านหมายความเช่นใดเล่า องค์มหาราชผู้เกรียงไกร..เร่งเปิดเผยโดยเร็วเถิด..”
องค์เมธัสอัปราชัยควบม้าเข้าไปใกล้บัลลังก์ขององค์อินทัชอีกนิด โดยมีบุรุษอารักทั้งสิบหกคุ้มกัน ฝ่ายองค์อินทัชก็มีนายทหารทแกล้วคุ้มครอง
“พระองค์ท่านประมาทเกินไปองค์อินทัชผู้ยิ่งใหญ่ ดินแดนเหนือใต้ ล้วนปรารถนาดินแดนแห่งอัสดงคตทั้งสิ้น หากพวกเขาเข้าครอบครอง แน่พระหทัยหรือว่า โลหิตจะไม่นองพสุธา กระแสสินธุ์จะไม่เต็มไปด้วยร่าง สายเลือดและหยาดน้ำตาจะไม่ท่วมแผ่นดิน อชิรญาณีจะเป็นเช่นไรเล่า..องค์อมลินผู้งามสง่าเคียงข้างท่านจะทานทนได้เช่นใดกัน..”
จอมราชันก้าวลงจากหลังม้า ดำเนินตรงขึ้นไปยังรัตนบัลลังก์
“หากพระองค์ท่านยอมสละแผ่นดิน ท่านคือบิดาของเรา องค์อมลิน คือมารดา อชิรญาณี จอมสตรีผู้งดงามคือจอมศุภางค์ภคภัค หนึ่งเดียวในอัตรคุปต์ศุกล..ดินแดนแห่งนี้จะปลอดภัยจากหยาดน้ำตา ผู้คนจะผาสุก..”
พระสุรเสียงทุ้มประกาศก้องราวกับเป็นคำประกาศิต ที่สามารถพิชิตชัยชนะได้ทุกสารทิศ
“หากเราไม่ยอมเล่า..”
ดวงตาคมกล้าจ้องมองดวงหน้าขององค์อินทัชผู้ชรานิ่ง
“หัวของพระองค์ท่านจักหลุดจากบ่า ผู้คนที่ขัดขืนจะถูกฝังในเตาถลุงดีบุก องค์อมลินและอชิรญาณี..จักกลายเป็นหญิงกลางเมือง..”
องค์อินทัชขบฟันแน่น
“อย่ากระนั้นเลย พระบิดาแห่งเรา..โปรดรับเราเป็นบุตรของท่านเถิดหนา เราพร้อมจักดูแลดวงหทัยของพระองค์ท่าน มิให้บอบช้ำแม้แต่น้อยนิด..ผู้คนจักผาสุก ขอพระบิดาโปรดอย่าเป็นต้นกำเนิดบ่อเกิดแห่งอาชญากรสงครามเลย...”
องค์อินทัชพยักหน้าช้า ๆ แม้ในพระหทัยหนึ่งจะแค้นเคืองอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพราะถูกช่วงชิงแผ่นดิน เหมือนคนที่ถูกโจรปล้นบ้าน ต้องแค้นเคืองแล้วเสียใจอย่างที่สุด องค์อินทัชก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่เคยได้ครอบครองกลับต้องมลายลงในชั่วพริบตา
หากแต่ด้วยบุญญาบารมีของมหาบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าประกอบกับกิตติศักดิ์ที่เลื่องระบือในทางที่ดี เป็นบุรุษอาชาไนยที่แกล้วกล้าสามารถและเปี่ยมด้วยน้ำใจ อีกทั้งยังคำสัตย์ ตรัสอะไรออกไปแล้ว คำสัตย์นั้นเหมือนกฎหมายที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยห้ามผู้ใดละเมิดโดยเด็ดขาด
ทำให้ความคลางแคลงใจและสลดหดหู่เศร้ารันทดดูผ่อนคลายลง เมื่อองค์อินทัชยกพระกรเป็นเชิงบอกให้นายทหารวางอาวุธ
“อย่าอาจหาญต่อกรกับกองทัพโภไคศวรรย์วิริยินทรีย์ ที่มีกฤษยาวิเศษยอดอัษฎายุธเลย ผู้นำทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสมเป็นยอดนักรบ..พวกเราทั้งหลายขอยอมจำนน ขอยอมเป็นบาทมูลิกากรนับแต่บัดเดี๋ยวนี้..ขอเพียงท่านให้สัตยาบัน ว่าจะรักษาสันติภาพด้วยความสงบตลอดไป..จะไม่มีศัตรูทั้งที่ไกลและที่ใกล้มาย่ำยี ชาวประชาในดินแดนแห่งนี้ ทุกผู้จะอยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวาราตรีกาล..”
จอมกษัตริย์เมธัสอัปราชัยยกมือข้างขวาขึ้นเสมอพรเศียรของพระองค์เอง
“เราขอให้คำปฏิญญา..”
สิ้นพระกระแสของพระองค์ องค์อินทัชผู้ชราก้าวลงจากรัตนบัลลังก์น้อมกายลงค้อมพระเศียรให้องค์มหาราช ตามด้วยบรรดานายทหารทุกคนที่น้อมกายย่อเข่าลงอย่างยอมสยบ
เสียงโห่ร้องกึกก้อง เมื่อองค์อินทัชย่อกายลง เป็นเสมือนสัญญาณบอกเหตุว่า ดินแดนแห่งนี้ยอมอยู่ใต้อาณัติของเขา เมธัสอัปราชัย มหาบุรุษผู้ไม่เคยพ่ายแล้วนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สายพระเนตรที่หวานปนเศร้าดูสุกสกาวทอดมองตรงมาที่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือร่างสูงใหญ่ของมหาบุรุษผู้สวมกาศิกพัสตร์ มหาบุรุษผู้ที่สง่างามและองอาจ สามารถกำชัยได้ในเวลาไม่นานโดยไม่ต้องสูญเสียเลือดสักหยดในสนามรบ
มันทำให้จอมสตรีอย่างพระนางก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือล้นเมื่อนึกถึงตอนที่พระบิดา เสด็จดำเนินลงจากบัลลังก์แล้วหมอบกราบลงแทบเบื้องบาทของบุรุษหนุ่มที่มีวัยห่างกันเป็นสิบปี เจ้าของดวงตาที่ทรงพลังอำนาจ
“อชิรญาณี..”
พระสุรเสียงนุ่มและอบอุ่นดังขึ้นเบา ๆ จากเบื้องหลังของจอมสตรีผู้ที่งดงามอย่าหาที่ติมิได้ พระนางค่อย ๆ หันกลับไปหาพระมารดา ผู้ที่มีความงดงามอย่างมาก โดยเฉพาะดวงเนตรที่ฉ่ำหวานและคมกล้า ริมพระโอษฐ์บางหยักได้รูป แสดงถึงความจริงจัง
“มารดาแห่งข้าองค์อมลิน มหาราชินีผู้มีสายพระเนตรที่ยาวไกล..ขอท่านจง แจ้งแก่ข้าเถิดหนาว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควรนับต่อจากนี้..”
องค์อมลิน ยื่นพระหัตถ์เรียวบางมาลูบพระเศียรได้รูปภายใต้เส้นพระเกศาเหยียดตรงยาวสยายเต็มพระปฤษฎางค์ที่ดำขวับของธิดาสุดที่รักด้วยความรักอย่างถึงที่สุด
“เดิมทีความตั้งใจของแม่นี้ที่ปลูกฝังให้เจ้างดงามด้วยอากัปกิริยาแห่งความเป็นสตรีนั้น ใคร่ที่จะให้เจ้าใช้มารยาและเสน่ห์รวมถึงความงดงามที่หาสตรีใดเสมอหามีไม่ เอาชนะดวงหทัยของเอกบุรุษนามว่าเมธัสอัปราชัยแล้วยึดครอง อัตรคุปต์ศุกลให้จงได้ แต่แม่ไม่คิดว่า กว่าจะถึงเพลานั้น..ความอัปยศจะบังเกิดขึ้นเสียก่อน”
“พระมารดา!”
“เจ้าจงสดับคำมารดาแห่งเจ้าแล้วจำเอาไว้เตือนดวงหทัยของเจ้า..”
อชิรญาณีน้อมกายลงแทบบาทขององค์อมลิน วางพระหัตถ์ทั้งสองออกห่างพร้อมกับแนบพระนลาฏลงไป
“อย่ายอมเขา หากเจ้ายังไม่ได้แผ่นดินกลับคืน อย่ายอมพลีกายให้เอกบุรุษผู้นั้นเชยชม อย่าหลงรักเขา อย่ามีใจปฏิพัทธ์เพราะเมธัสอัปราชัยจอมราชัน ไร้ซึ่งหัวใจ..เขาเป็นนักรบและนักปกครองเท่านั้น..ไม่ใช่นักรักที่ยิ่งยง..”
อชิรญาณีเงยพักตร์ทอดมองพระมารดา ที่มีสีพระพักตร์เครียดขรึมอย่างไม่เคยเป็น
“สายเลือดย่อมถูกผสานจากบิดาและมารดา การฟูมฟักรักษาย่อมต้องได้รับการถ่ายทอดแม้อุปนิสัยของผู้ให้กำเนิด..”
องค์อมลินประคองดวงพักตร์ของพระธิดาขึ้นด้วยฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองที่อ่อนนุ่ม
“เจ้าจงสดับคำของมารดาแห่งเจ้าให้ดีเถิดอชิรญาณี...”
อชิรญาณีทอดมองพระพักตร์ของมารดานิ่ง
“เหตุที่มารดาให้เจ้าฝึกการรบและการเรือนไปพร้อม ๆ กัน เพราะมารดามีเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าคือลมหายใจของมารดาเจ้า เกิดเป็นหญิงหาใช่ควรอ่อนแอและเป็นเพียงผู้ตามเพียงอย่างเดียวไม่ มารดาอบรมเจ้ามาตลอด เจ้ายังจำได้หรือไม่..”
“ข้าจำได้ดีมารดาแห่งข้า ความสูญเสียและความความเจ็บปวดของมารดาข้าจดจำใส่ใจไว้โดยตลอด และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับขนบประเพณีของอัตรคุปต์ศุกล ที่ป่าเถื่อนและกดขี่สตรีเพศ เห็นสตรีเป็นเพียงเครื่องปลดปล่อย ไร้ค่า..”
อชิรญาณีเงยพระพักตร์มองสบสายพระเนตรมารดาพร้อมกับประคองพระหัตของมารดาวางลงที่พระเศียรขององค์เอง
