ตอนที่ 3 เสียงเรียกจากดวงใจ ep3.
“อัตรคุปต์ศุกล ครอบครองดินแดนบุริมทิศทิศตะวันออกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกเฉียงเหนือ หรือเฉียงใต้ แม้กระทั่งดินแดนตอนกลางทั้งหมด เราได้ถือครองไว้แล้ว..”
จอมราชันเมธัสอัปราชัยมองหน้าบุรุษอารักขาทั้งสิบหกคน ที่เปรียบเสมือนแขนขา มือและเท้าของอัตรคุปต์ศุกล
“เว้นเพียงแค่ ดินแดนทางอัสดงคตทิศตะวันตก พื้นที่เต็มไปด้วยทองคำ ทองแดง และเงิน อีกทั้งยังมีบ่อพลอย มีเพชรที่น้ำงามเป็นหนึ่ง อวาจีทิศใต้ ซึ่งมีบ่อน้ำมันจำนวนมหาศาล มีลิกไนต์ ทิศเหนือทุ่งหญ้า การเกษตร.. พื้นที่อุดมสมบูรณ์ ทิวทัศน์งดงาม..เป็นที่สูง เหมาะแก่การตั้งรับ หากมีศัตรูก็ย่อมแพ้ภัยด้วยสภาพภูมิศาสตร์ หากเรายึดครองได้..เบญจโลหะกะ..แร่ ห้าชนิดจะรวมเป็นหนึ่ง..ความมั่งคั่ง มั่นคงจะบังเกิดแก่ประชาชน...”
สายตาทุกคู่จ้องมองมาที่ร่างสูงใหญ่สง่างาม ที่กำลังชี้ให้ทุกคนได้มองดูอาณาเขตต่าง ๆ ในแผนที่
“ทางด้านทิศใต้ของอัตรคุปต์ศุกล สร้างประตูปิดเปิด กักน้ำที่ไหลลงมาจากทิศเหนือ ยังสามารถ ปิดกั้นทางเดินเรือของศัตรูได้ ทางทิศเหนือของอัตรคุปต์สุกลก็สร้างเช่นเดียวกัน หากเกิดศึกทางเหนือ เราจะมีประตูกั้นน้ำ เป็นกำแพงป้องกันแผ่นดินและชีวิตของชาวประชา..”
องค์เมธัสอัปราชัยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก
“ศึกเสี้ยนอัสดงคตทิศตะวันตก ปล่อยไว้นานไม่ได้..อาจจะมีผู้ยึดครอง..เราต้องทำให้เร็วและต้องสำเร็จภายในราตรีกาลห้ามข้ามคืน..จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อ..เราจะได้ทั้งแผ่นดินและนางอันเป็นที่รักยิ่งแห่งเรา..”
บุรุษอารักทั้งสิบหกมองหน้าของพระองค์นิ่ง
“องค์อินทัชผู้ชรา ประทับอยู่บนบัลลังก์เพียงแค่ร่าง แต่สติปัญญากลับไปอยู่ที่เบื้องหลังคือองค์อมลิน จอมสตรีที่แข็งแกร่ง แล้วยังมีอชิรญาณี จอมสตรีในดวงใจแห่งเราที่เชี่ยวชาญในการรบ ไม่เป็นรองบุรุษ เป็นแม่ทัพ การจะเข้ายึดครองอัสดงคตทิศตะวันตก มิใช่เรื่องง่ายหากต้องปะทะกับอชิรญาณี เว้นเสียแต่...”
จอมราชันนิ่งไปชั่วครู่พลางยกเหยือกทองคำที่มีน้ำสีอันพันอยู่ในนั้นขึ้นจิบอย่างใจเย็น
“ท่านจักทำประการใดฤาองค์ เมธัสอัปราชัย นักรบผู้เกรียงไกร..”
พระองค์ดำเนินกลับไปนั่งยังพระแท่นที่ประทับ
“ส่งศุภอักษร ไปเจรจากับองค์อินทัชผู้ชรา...เราจักยกทัพโจมตี..หากใคร่จักรักษาชีวิตของชาวประชาบนแผ่นดิน จงยอมสวามิภักดิ์ แล้วยกอชิรญาณีแก่เรา เราจักรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง มีผู้ปกครองแคว้นเพียงหนึ่งเดียว..”
“น้อมรับคำบัญชา เมธัสอัปราชัย..”
เพียงแค่สิ้นพระกระแสรับสั่ง ฝ่ายอักษรก็เขียนอักษรเทวนาครี ลงบนสาสน์อย่างเรียบร้อยตามคำประกาศิตของพระองค์ จากนั้นก็นำถวายให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร
“มาธวี ท่านจงนำสาสน์นี้ไปส่งให้ถึงมือองค์กษัตริย์อินทัชผู้ชรา..แล้วจงรักษาชีวิตเพื่ออยู่เคียงคู่อัตรคุปต์ศุกล ด้วยคำพูดเหล่านี้..”
มาธวีย่อกายลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น เมื่อเมธัสอัปราชัยมหาราชทรงดน้มพระพักตร์ลงมากระซิบอะไรบางอย่างที่หูของบุรุษอารักคู่ใจ
“ขอสัตถุศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จงเป็นมนต์คาถาป้องกันจตุรภัยแก่ท่าน..สิ่งใดที่ท่านกระทำแล้วจงสำเร็จ จงสำเร็จ..”
มาธวีน้อมกายทำความเคารพ ก่อนจะยื่นมือทั้งสองรับสาสน์จากฝ่าพระหัตถ์ใหญ่ที่สะอาดซึ่งรับไปตรวจทานแล้วนั้น และก้าวออกจากภิยโยภาพมหาปราสาท ในขณะที่ฝนหยุด
“เตรียมกองทัพไว้ให้เรียบร้อย..อัฒรัตติกาล..พระจันทร์ตรงศีรษะยามเที่ยงคืน เราจักโจมตี..ดินแดนอัสดงคตทิศ จักถูกเรายึดครอง..ภายในราตรีกาล”
เตชัสเงยหน้าขึ้นจ้องดวงพระพักตร์ที่คมขรึมนิ่ง
“แต่ว่า มาธวี เพิ่งนำสาสน์ไปเมื่อครู่ อาจจะไปยังไม่ผ่านเสาอินทขีลหลักเมืองด้วยซ้ำ..”
รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นมาจากดวงพระพักตร์ที่คมเรียบ แววพระเนตรที่ดำขวับและคมกริบดูแกร่งกล้าอาจหาญ
“คิดหรือว่า..จอมกษัตริย์อินทัชผู้ชรา จักยอมง่าย ๆ เสียทั้งแผ่นดิน เสียทั้งจอมสตรีนางนั้น ผู้เปรียบประหนึ่งมธุรสในเรือนใจ เราส่งสาสน์ไปกับมาธวี เพื่อเปิดทางต่างหากเล่า มาธวี รู้ดีว่าควรทำเช่นใด..เมื่อไปถึง..”
เตชัสรวมทั้งบุรุษอารักทั้งสิบห้าหันไปมองหน้ากันแล้วแย้มยิ้มออกมา นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความลิงโลด
“พระองค์ท่านช่างแยบยลนัก เมธัสอัปราชัยจอมราชัน..สมแล้วที่พระองค์ท่านยิ่งใหญ่มีอำนาจ..การที่ส่งสาสน์ไปให้องค์อินทัชเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจขององค์อมลินและจอมสตรีอย่างอชิรญาณีให้ไปฝึกซ้อมรบแล้วจัดเตรียมกองกำลังเพื่อรักษาแผ่นดิน ในขณะที่พระองค์ท่านก็ยกทัพเข้าประชิดในค่ำคืน..พวกเราทุกคนน้อมรับคำบัญชาด้วยความจริงใจยิ่ง...องค์เมธัสอัปราชัย มหาราชผู้เป็นนักรบที่เกรียงไกร..”
อนุราธาเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้า
“อาจจะรวดเร็วถึงขนาด ไม่ทันที่จอมศุภางค์ภคภัคของเรา จะได้ฉวยดาบด้วยซ้ำ”
พระองค์ตรัสจบก็ทรงพระสรวลเบา ๆ
“แยกย้ายกันทำหน้าที่..เมื่อพร้อมแล้ว เราจะออกเดินทาง..”
“น้อมรับบัญชา”
ราชอารักษ์ แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ เหลืออยู่เพียงสามคนที่คอยดูแลรับใช้ใกล้ชิด
“พระองค์ผู้เจริญ จะทรงเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ใดหรือ ผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งข้า..องค์เมธัสอัปราชัย..”
ปัณรสมาสตรีนางหนึ่งวัยเกือบสามสิบสวมชุดกรุยกราย เยื้องย่างตรงเข้ามาหาพระองค์
“เหตุใดกันเล่าองค์เมธัสอัปราชัย ในเมื่อพระองค์มีข้าและนางห้ามอีกมากมายใยจะต้องเสด็จดำเนินไปที่ใดอีก” “เราเคยบอกแล้วว่า จะไม่มีสตรีใด ก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับเรา นอกเสียจากนางผู้เป็นหนึ่งในดวงใจของเราเท่านั้น”
ปัณรสมาทอดสายตามองพระพักตร์ขององค์เอกบุรุษ
“สตรีผู้นั้นนางเป็นใครหรือพระองค์”
จอมกษัตริย์หนุ่มทอดพระเนตรมองดวงหน้าของสตรีตรงหน้านิ่ง
“หาใช่กิจที่เจ้าควรรู้ไม่ ปัณรสมา กิจของเจ้าคืออะไร เจ้ามิรู้หรือ”
“โปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่รักยิ่งแห่งข้า ข้าหลงลืมไปชั่วขณะ..โปรดอดโทษให้ข้าด้วย..”
“ครั้งนี้ถือเป็นความผิดครั้งแรก อย่าให้มีอีก ขณะนี้เราหาได้ประสงค์สตรีคนใดไม่ เว้นแต่..”
ปัณรสมาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ในขณะที่องค์เอกกษัตริย์แย้มกลีบพระโอษฐ์ออกเล็กน้อย จนกลายเป็นรอยหยักของรอยยิ้มที่น่ามองนัก แววพระเนตรเป็นประกายเจิดจ้า
“ให้คนจัดเตรียมตกแต่งทำความสะอาด ศศิระพิมานให้สวยงาม ประพรมเครื่องหอมให้ดี จัดเตรียมภูษาวัตถาภรณ์เสื้อผ้า เครื่องประดับ และวาลกัมพล ผ้าห่มขนสัตว์ เพื่อต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือน อย่าให้บกพร่อง..”
“ จัดเตรียมไว้ให้ผู้ใดกันเล่า พระองค์ผู้ประเสริฐที่รักแห่งข้า..”
จอมกษัตริย์หนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เมื่อนึกถึงดวงพักตร์พริ้มที่หวานละไมดูเย้ายวนกลมกลึง น่าไหลหลงของอชิรญาณีจอมสตรีแห่งอัศดงคตทิศตะวันตก
“เตรียมไว้ให้สตรีผู้เป็นหนึ่งในดวงใจของเรา เครื่องประดับตกแต่งในปราสาทล้วนแล้วแต่เป็นสีขาวทั้งสิ้น..”
ปัณรสมาเงยหน้ามองจอมราชันด้วยหัวใจที่เย็นสะท้าน ด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ เจ็บลึกเมื่อรู้ว่า บุรุษอันเป็นที่รักจะมีหญิงอีกคน ซึ่งคนนี้ ได้รับการยกย่องและจัดให้เป็นหนึ่งในดวงใจของพระองค์ แต่ไม่สามารถจะขัดขวางหรือทำสิ่งใดได้
“น้อมรับคำบัญชาท่านผู้เจริญ..”
ปัณรสมาจำต้องทำตามความประสงค์ของพระองค์แล้วรีบก้าวออกไปจากภิยโยภาพมหาปราสาท ด้วยหัวใจที่ร้าวราน ปล่อยให้บรรดาชายฉกรรจ์ได้หารือถึงการศึก
และไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า กำลังเกิดอะไรขึ้น มีเพียงจอมกษัตริย์เมธัสอัปราชัยเท่านั้นที่ล่วงรู้ ว่าอีกไม่ช้า พระองค์จะได้ครอบครองดินแดนที่สวยงาม เพื่อสร้างอาณาจักรที่ร่ำรวยมหาศาล พร้อมที่จะรวบรวมดินแดนทุกที่เข้าเป็นหนึ่ง ที่สำคัญ พระองค์จะได้ครอบครองสตรีผู้นั้น ผู้ที่ใฝ่ฝันหาแม้ทุกลมหายใจเข้าออก มีบ่อยครั้งยามที่พระองค์อยู่เพียงลำพัง มักจะเอาผ้าคลุมหน้าที่มีกลิ่นหอมจรุงของพระนางมาแนบอกไว้