ตอนที่ 2 เสียงเรียกจากดวงใจ ep2.
“นั่นเมธัสอัปราชัยมหาบุรุษแห่งอัตรคุปต์ศุกล จอมสตรีท่านจักทำประการใดกับพระองค์ หากการที่องค์เมธัสอัปราชัยปรากฏกายที่นี่ มิใช่เพียงปรารถนาการมาท่องเที่ยว..”
สายพระเนตรคมที่เจือแววหวานจับจ้องมองดูมหาบุรุษหนุ่มท่าทางสง่างามด้วยความสูงกว่าร้อยแปดสิบ พระองค์สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดีที่งดงามสมฐานะ อีกทั้งยังดูองอาจเกินบุรุษทั่วไป แม้พระนางจะได้มองเห็นองค์เมธัสอัปราชัยในระยะที่ห่างไกล แต่บุรุษผู้นี้เหมือนมีพลังอะไรบางอย่างสามารถสะกดทั้งสายพระเนตรแม้แต่ดวงพระหฤทัยของพระนางให้หยุดนิ่ง เฝ้าทอดมองดูการเคลื่อนไหวของพระองค์เป็นระยะ ๆ
“ข้างพระวรกายของมหาบุรุษผู้ นี้มีอารักษ์ขาหนุ่มที่มีฝีมือถึงสิบหกคน แต่ที่ติดตามมาด้วย เห็นจะเป็นเตชัสกับมาธวี ที่เขาร่ำลือกันว่า ฝีมือการจับศาสตราวุธเป็นรองเฉพาะองค์เมธัสอัปราชัยเท่านั้น..”
“พระองค์มาปรากฏกายในแผ่นดินของเรา ใยไม่เข้าไปแสดงตนกับองค์อินทัช น่าแปลก..หรือพระองค์ปรารถนาอะไร..น่าสงสัยยิ่งนักจอมสตรี พระนางทรงดำริเป็นประการใด จงแจ้งแก่พวกข้าบ้างเถิด..”
ทหารอารักขาเอ่ยขึ้น เมื่อพระนางทอดสายพระเนตรยังองค์อัครมหาบุรุษเมธัสอัปราชัยที่ควบม้าห่างออกไป
“มหาบุรุษผู้นี้เกรียงไกรนัก ทั้งสติปัญญาและฝีมือในการรบและที่ยิ่งไปกว่าสิ่งอื่นคือความงาม เป็นบุรุษที่มีความงดงามเหนือคำบรรยาย งามอย่างที่หาที่ติมิได้ อีกทั้งยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพอ่อนโยนยิ่งนัก..”
คำบอกเล่าของนายทหาร ทำให้ดวงหทัยของพระนางมีความปรารถนาบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ นั่นคือการได้ประสพพักตร์ของพระองค์ใกล้ ๆ และเพียงกิตติศักดิ์ของพระองค์ รวมทั้งภาพลักษณ์ที่พระนางมักจะได้ยินนางข้าทาสพูดคุยถึง ทำให้หฤทัยดวงน้อยของพระนางปั่นป่วน และรู้สึกเลื่อนลอยเหมือนขาดสมาธิเมื่อได้มองเห็นองค์เมธัสอัปราชัย ได้เห็นตัวจริงของพระองค์ที่อยู่เบื้องหน้าของพระนางขณะนี้ แม้จะไกลไปสักน้อยก็ตาม
“ปล่อยไว้ก่อนเถิด ขณะนี้เราต้องปราบชนกลุ่มน้อย เป็นงานที่เราปรารถนา..การมาของมหาบุรุษผู้นี้ หากไม่มีเงื่อนงำก็คงเป็นการท่องเที่ยวทั่วไป..ท่านให้คนของเราไปสืบมา..”
สิ้นพระดำรัสพระนางก็ทรงควบม้านำกองทัพที่มีทหารเพียงยี่สิบนายมุ่งหน้าไปยังชนกลุ่มน้อยแล้วทำการปราบปรามจนสามารถกำชัยกลับมาได้ แต่ขณะที่พระนางเดินทางกลับเข้าเขตกำแพงเมืองก็มีโอกาสได้พบองค์เมธัสอัปราชัยเอกบุรุษอีกครั้ง ครานี้ใกล้กว่าครั้งที่แล้ว
ในขณะที่พระนางกำลังควบม้าเข้าเขตกำแพงเมือง ติดตามด้วยทหารอารักษ์จำนวนหนึ่งแล้วเชลยศึก พระนางได้ทอดพระเนตรเห็นองค์เมธัสอัปราชัยกับมาธวีและเตชัส ซึ่งเดินท่องเที่ยวอยู่และพระองค์ก็ก้าวหลบเมื่อมองเห็นจอมสตรีควบม้าฝ่าฝูงชนตรงไปยังร่างของพระองค์ที่กำลังเสด็จดำเนินมาตามเส้นทาง
ทันทีที่พระนางควบม้ามาถึงบริเวณที่องค์เมธัสอัปราชัยก้าวหลบ เพื่อหลีกทางให้ขบวนของพระนาง บัดดลม้าตัวที่อชิรญาณีทรงอยู่กลับค่อย ๆ เยื้องย่างแทนที่จะรีบวิ่งเหมือนที่เดินทางมา โดยที่พระนางไม่ได้บังคับทำให้พระนางได้มีโอกาสประสบพักตร์องค์เมธัสอัปราชัยใกล้ ๆ
เมื่อองค์เมธัสอัปราชัยทอดสายพระเนตรมองมาหาพระนาง ดวงหฤทัยน้อยไหวสะท้าน สั่นเทิ้มอย่างไม่เคยเป็น ความประหม่าผุดโผล่ขึ้นมากลางดวงหทัย
พระนางพยายามบังคับม้าให้รีบก้าวเดินผ่านไปโดยเร็ว แต่เหมือนม้าตัวนั้นจะเข้าใจคำสั่งผิด นอกจากมันจะทำท่าเหมือนไม่ยอมก้าวต่อ ยังหยุดยืนอยู่กับที่เสียอีกด้วย
จอมสตรีอชิรญาณีพยายามที่จะบังคับม้าให้ก้าวเดิน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะยอมก้าว จนกระทั่งทหารอารักษ์ของพระนางควบม้าตีขนาบมา
“จู่ ๆ ม้าก็ไม่ยอมเดิน..”
พระนางรีบหันไปตรัสกับทหารอารักษ์ทั้งสอง ทำให้องค์เมธัสอัปราชัยได้ยินพระสุรเสียงที่หวานหูของพระนางชัดเจนประกอบกับกลิ่นกายที่หอมจรุงทำให้พระองค์แอบสูดดมความหอมนั้นเข้าไปเก็บไว้ในอกลึก
องค์เมธัสอัปราชัยแย้มพระสรวลน้อย ๆ เมื่อพระองค์นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ได้เห็นแววพระเนตรที่ฉายแววตื่นตระหนกของจอมสตรีเมื่อชำเลืองผ่านมายังพระพักตร์ของพระองค์
“ไม่ว่าพระองค์ท่านผู้เจริญ จะทรงมีพระดำริเช่นใด กองทัพโภไคศวรรย์วิริยินทรีย์ ซึ่งมีทหารทแกล้วล้วนแล้วแต่ยอมตายเพื่อพระองค์ พร้อมที่จะน้อมรับคำบัญชาทุกเมื่อ..”
พระพักตร์คร้ามคมขรึมหันกลับมาทอดมองทหารราชอารักษ์ทุกนาย พลางพยักพระพักตร์ช้า ๆ เมื่อพระองค์ระลึกได้ว่า บัดนี้พระองค์ไม่ได้อยู่ที่ใดนอกจากในภิยโยภาพมหาปราสาท ห้อมล้อมไปด้วยบุรุษอารักษ์และเหล่าทหารมากมายที่กำลังปรึกษากับถึงการบริหารบ้านเมือง
“โรงถลุงดีบุกของเราทำไปถึงไหนแล้ว..”
พระสุรเสียงทุ้มดังกังวานขึ้นอย่างน่าฟัง
“เรียบร้อยดีทุกอย่างองค์เมธัสอัปราชัยผู้เจริญ ไม่ว่าสิ่งใดที่พระองค์ท่านมีพระราชโองการออกมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นย่อมต้องสำเร็จเรียบร้อยทั้งสิ้น..”
“ดีมากบุรุษอารักษ์แห่งเรา..ท่านทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเราได้อย่างดี จนไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดอีก..นอกจากพวกท่านจะคอยอารักขาเราแล้ว ท่านยังเป็นหูเป็นตาแทนเราได้..หากสิ่งใดที่พวกท่านประสงค์อยากได้หรืออยากจะชี้แจงขอเชิญท่านแจ้งมาได้เลย..”
พระสุรเสียงทุ้มดังกังวานขึ้นอย่างน่าฟังก่อนที่เจ้าของร่างสูงใหญ่องอาจจะก้าวกลับขึ้นไปยังรัตนสิงหาสน์ ราชบัลลังก์ภายใต้เศวตฉัตรแห่งอัตรคุปต์ศุกลที่ยิ่งใหญ่
“พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำริจะทำสิ่งใดกับศึกเสี้ยนอัสดงคต..ข้าศึกเสี้ยนหนามทิศตะวันตก..”
“อัสดงคต..ทิศตะวันตกงั้นหรือ..”
พระองค์ย้อนถามเบา ๆ แต่ในพระหทัยหาได้หยุดอยู่แค่คำว่า อัสดงคตทิศไม่
“ใช่..พระองค์ท่านผู้เจริญแห่งพวกเรา..เหมืองแร่ทองคำจำนวนมหาศาลถูกฝังอยู่ที่นั่น หากเราสามารถยึดครองได้สำเร็จ จะไม่มีแคว้นใดเทียบเทียมเราได้ เราจะมีทั้งแร่ดีบุก และทองคำ..”
“ท่านลืมไปสิ้นหรือเตชัส..เราต้องมีบ่อน้ำมันอีกด้วย..”
องค์เมธัสอัปราชัยมองหน้าบุรุษอารักทั้งสิบหก
“จริงสิ พระองค์ท่านผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญา ผู้เลื่อมใสศรัทธาในสากิยมุนีเจ้า..พระองค์ย่อมมีปัญญาที่สุดเหนือทุกดินแดน..ข้าลืมไปว่าเราต้องมีบ่อน้ำมันด้วย..ทว่าแต่ละที่อยู่ห่างกันคนละแถบ..”
“ ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหน เราจะต้องรวมเป็นหนึ่งให้จงได้..”
พระองค์เอ่ยออกมาด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และอำนาจ
“ ทั้งการรบ การบริหาร ไม่มีใครเทียบพระองค์ท่านได้เลยองค์เมธัสอัปราชัยมหาราช ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้..”
“แต่ดินแดนทางทิศตะวันตกเป็นอุปสรรคอย่างมากหากเราต้องการบ่อน้ำมัน..”
ดวงพระเนตรคมกล้าเจิดจรัสจ้องมองดวงหน้าของบุรุษอารักษ์ผู้จงรักทั้งสิบหกคน
“ใช่..อัสดงคต เป็นหนทางที่จะนำเราไปถึงดินแดนแถบนี้ทุกที่ นอกจากเราสามารถเดินทางทั้งทางบก เรายังสามารถเดินเรือได้อีก..หากเราครองดินแดนตะวันตกขององค์กษัตริย์อินทัชผู้ชราได้..เราก็จะสามารถครอบครองดินแดนอีกทั้งเหนือและใต้ได้อย่างง่ายดาย..”
พระองค์ตรัสออกมาอย่างน่าฟัง
“ แล้วพระองค์ท่านคิดจะทำการใดขอเชิญท่านเปิดเผยเร็วเถิดท่านผู้ยิ่งใหญ่..”
เตชัส ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นทั้งคู่หูและบุรุษอารัก กล่าวออกมาพร้อมกับจ้องมองดวงพักตร์ที่คมขรึมของพระองค์นิ่ง เหมือนกำลังตั้งใจที่จะรอฟังคำบัญชา
มหาบุรุษหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ มีร่างกายสง่างามและดวงพระหฤทัยที่แข็งแกร่งประดุจหินผาที่ตั้งตรง ไม่สะทกสะท้านแม้แรงพายุที่พัดกระหน่ำ แย้มพระสรวลน้อย ๆ เมื่อนึกถึงใครบางคนที่ครั้งหนึ่งพระองค์เคยพบ แล้วเห็นโฉมหน้าโดยบังเอิญ พระนางผู้นั้นอยู่ในดวงหทัยของพระองค์ตลอดมา
“พระนางผู้มีดวงพระเนตรประดุจน้ำทิพย์ มีกลิ่นกายที่หอมจรุงราวกับรวมเอากลิ่นหอมของมวลพฤกษาชาติบนสรวงสวรรค์มาปั้นแต่ง มีริมพระโอษฐ์ที่เย้ายวน..พวกเราทุกคนเคยเห็นพร้อม ๆ กับพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อครั้งที่พวกเราออกลาดตระเวนแถวเรียบแม่น้ำ เห็นจอมสตรีนางหนึ่งกับกลุ่มนางในนับสิบ ท่ามกลางมวลพฤกษาชาตินานาพรรณ ยามนั้นสายลมพัดโชยมาวูบหนึ่ง ผ้าคลุมหน้าของพระนางปลิวข้ามแม่น้ำมายังฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ท่านผู้เจริญอย่างน่าอัศจรรย์..นางงดงามเหนือคำบรรยาย..”
บุรุษอารักษ์ผู้หนึ่งนามว่ามูลาเอ่ยออกมาพร้อมกับหลับตานิ่งเหมือนต้องการจะนึกถึงใบหน้าของจอมสตรีผู้อ่อนเยาว์นั่น
“อชิรญาณี...จอมสตรีแห่งองค์อมลิน และองค์อินทัช ผู้ที่มีสายเลือดประดุจดั่งพสุธาและกระแสสินธุ์ผสานกันอย่างแยกไม่ออก ดูกลมกลืนหนักแน่นและอ่อนโยน หวานละไมและเยือกเย็น ดูสุขุม ทว่ากลับเย้ายวนน่าหลงใหลยิ่งนัก..เจ้างดงามดุจมณีที่เปล่งแสง ท่ามกลางหยาดน้ำค้างและแสงอาทิตย์ ดูมีค่า น่าครอบครอง แต่กลับอยู่ไกลจนสุดเอื้อม..”
พระสุรเสียงทุ้มเปล่งออกมาราวกับกำลังละเมอ ก่อนที่ลมหายใจ จะถูกผ่อนออกมาอย่างช้า ๆ
“ เอาล่ะ..เราตัดสินใจแล้ว..”
ทุกคนนิ่งเงียบรอฟังคำบัญชาจากองค์เมธัสอัปราชัยด้วยหัวใจที่ลุกโชน
“เราจะยึดครองอาณาจักรแห่งองค์อินทัชผู้ชรา..ดินแดนอัสดงคตทิศตะวันตกจักต้องเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว..”
“แล้วจอมสตรีอชิรญาณีล่ะพระองค์ท่าน..”
อนุราธาร้องถามเบา ๆ ทำให้พระองค์ทรงแย้มพระสรวลออกมาอย่างน่ามอง
“เราต้องการได้นางมาเป็นจอมศุภางค์ภคภัคแห่งเรา..เคียงคู่เรา..นางผู้เป็นหนึ่งในดวงใจ..จอมสตรีแห่งอมลินอินทัช..เราต้องการได้นางมาเป็นของเรา..พวกท่านจะทำเพื่อเราได้หรือไม่..”
น้ำพระสุรเสียงทุ้มดังกังวานขึ้นอีกครั้งก่อนที่เสียงโห่ร้องจะสนั่นหวั่นไหว แข่งกับสายฝนที่โปรยปรายกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เสมือนกับเป็นลางบอกเหตุว่าอีกไม่ช้า สถานที่แห่งนี้จะได้ต้อนรับนางผู้ที่นั่งอยู่ในดวงใจของเขามาช้านาน
“ขอเพียงพระองค์ท่านบัญชาพวกข้าทุกคนพร้อมจะพลีแม้ชีวิตเพื่อท่าน..เพื่อสตรีที่เพียบพร้อมทุกด้าน..ทั้งอ่อนหวานแล้วแข็งแกร่ง..เป็นสตรีคนเดียวที่ช่ำชองทั้งศาสตราวุธและพิชัยยุทธ..คู่ควรกับตำแหน่งจอมศุภางค์ภคภัคอย่างที่สุด”
ระติเษสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแววตาฉายแววชื่นชม
“แต่เหตุใดพระองค์ท่านจึงเพิ่งมาเปิดเผยตอนนี้เล่าองค์เมธัสอัปราชัยผู้ยิ่งใหญ่..”
สากรรจ์ร้องถามพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยความสงสัยหนักหนา
“สตรีมักใช้ความงามแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก แต่ไม่มีสตรีใดที่จะมาอยู่เหนือเราได้แม้เราจะรักนางสักปานใด หน้าที่ ย่อมสำคัญกว่า..”
คำพูดของจอมกษัตริย์สร้างความตื้นตันให้ทุกคนเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เสียใจเลยที่ได้เกิดมาแล้วเคียงคู่ได้ดูแลรับใช้มหาบุรุษท่านนี้