ตอนที่ 1 เสียงเรียกจากดวงใจ ep1.
ร่างสูงใหญ่ที่ดูสง่างามองอาจแกล้วกล้าของชายหนุ่มวัยสามสิบปี นั่งอยู่บนรัตนสิงหาสน์ พระหัตถ์เรียวใหญ่ทว่าแข็งแรงสะอาด หยิบแก้วน้ำชนิดหนึ่งที่มีสีเหลืองอำพันขึ้นจรดริมพระโอษฐ์ได้รูปเป็นสีชมพูเข้ม ดวงพระเนตรคมกล้าประดุจเปลวเพลิง ทอดมองผ่านประตูภิยโยภาพมหาปราสาท ทอดทัศนาการหยาดพระพิรุณที่พร่างโพย ประกอบกับสัมผัสสายลมพัทธยาที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูฝน
“พระองค์ทรงพระดำริสิ่งใดอยู่หรือ องค์เมธัสอัปราชัยมหาบุรุษ ผู้เป็นใหญ่แห่งอัตรคุปต์ศุกล..”
ร่างสูงใหญ่องอาจดูสง่างามทุกท่วงท่า ภายใต้กาศิกพัสตร์ที่ละเอียดและงดงาม ก้าวลงจากรัตนสิงหาสน์ ก้าวเดินผ่านบรรดาราชอารักษ์ ไปยังประตูมหาปราสาทที่สูงใหญ่ ประดับประดาด้วยทองคำและเพชรนิลจินดาที่มีค่าอนันต์จำนวนมหาศาล
สายพระเนตรที่คมกริบของพระองค์ทอดมองไปที่หยาดฝนที่กำลังพร่างโพย แม้ร่างของพระองค์ยืนอยู่ในภิยโยภาพมหาปราสาทที่งดงาม แต่ดวงหฤทัยของพระองค์กลับหยุดนิ่งอยู่ที่ใครคนหนึ่ง
พระนางเป็นสตรีสาวที่สวยงามที่สุดด้วยวัยยี่สิบสามปี พระนางมีกิริยามารยาทที่แช่มช้อย ยามเยื้องย่างดูแผ่วเบาประดุจสายลมที่พัดโบก การวางตัวดูระมัดระวังทุกฝีก้าว แต่ทว่า ภายใต้รูปลักษณ์ที่งดงามแช่มช้อย พระนางกลับทำสิ่งหนึ่งที่พระองค์แทบไม่อยากเชื่อสายพระเนตรขององค์เอง
เพราะพระนางเชี่ยวชาญทั้งธนู ดาบ และศาสตราวุธเกือบทุกชนิด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระนางผู้นั้นซ้อมรบกับทหารกล้าในสนามฝึกซ้อม โดยที่พระองค์ทรงขี่ม้าเข้าไปในดินแดนอัสดงคตทิศตะวันตก และก็เลยเถิดไปไกลจนบุกรุกเข้าไปในเขตหวงห้าม พระองค์ได้มองเห็นพระนางต่อสู้กับทหารกล้าจำนวนมากมายอย่างคล่องแคล่ว จนไม่คิดว่าจะเป็นอิสตรี....
จนกระทั่งพระนางหยุดการซ้อมรบ เสียงปรบมือที่ดังมาจากพลับพลาที่พักซึ่งมีองค์อมลินและองค์อินทัชประทับนั่งทอดมองดูด้วยสายตาพระเนตรที่แสดงออกถึงความชื่นชม ทำให้พระองค์เข้าใจว่าแท้จริง บุคคลที่พระองค์ได้เห็นฝีมือในการใช้อาวุธและต่อสู้นั้นคือสตรีก็ด้วยการเยื้องย่างเข้าไปหาทั้งสององค์กษัตริย์
“เก่งมากอชิรญาณี เก่งมาก..ลูกรักของพ่อ..เจ้าเก่งเกินหญิงจริง ๆ ..สมแล้วที่เจ้าได้รับการฟูมฟักจากมารดาเจ้า..”
องค์อินทัชเปล่งพระสุรเสียงออกมาอย่างชื่นชม หลังจากที่พระนางแสดงการใช้อาวุธทุกชนิดอย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ
“ต่อไปเป็นการประลองดาบคู่ ข้าจะแสดงให้พระบิดาท่านได้ชมเพื่อจะให้พระบิดาข้าตัดสินพระหทัยว่า ข้าควรจะใช้อาวุธชนิดใดเป็นอาวุธคู่กาย ในการนำทหารออกรบกับกลุ่มทรชนที่คิดตั้งตนเป็นใหญ่กระด้างกระเดื่องต่อบัลลังก์ของพระบิดาข้า ข้าจะออกรบเพื่อกำจัดให้สิ้นซาก เพื่อเป็นของขวัญให้พระบิดาข้าที่มีอายุครบเจ็ดสิบปีในคราวนี้ให้จงได้..”
คำพูดที่ฉาดฉาน น้ำเสียงที่นุ่มหูและแสนหวานที่องค์มหาราชได้สดับชัด ทำให้พระองค์มั่นพระหทัยว่าพระนางเป็นสตรีแล้วก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากจอมสตรีที่กลุ่มของนางข้าทาสแอบเอาไปบรรยายถึงความงดงามของพระนางรวมถึงคุณสมบัติที่ติดตัวมา และเพียงแค่มหาบุรุษผู้ไม่เคยพ่าย ได้ยินพระสุรสียงที่เสนาะโสตของพระนาง ดวงหฤทัยที่แข็งแกร่งของพระองค์กลับมีความทะยานอยากใคร่ได้ชมโฉมพระพักตร์ของจอมสตรี ทำให้เมธัสอัปราชัยมหาราชบังคับม้าสีหมอกของพระองค์ให้ก้าวเข้าใกล้ลานฝึกซ้อมอีกนิด
อชิรญาณีในชุดแต่งกายที่รัดกุม พระนางหยิบดาบคู่ออกมาก่อนจะทอดมองไปยังทหารซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ล้วนกว่าสิบคนที่ตีวงล้อมโอบเข้ามาหา ด้วยมือที่เต็มไปด้วยอาวุธหลากชนิด
“เข้ามา..”
เสียงหวานหูดังขึ้นอย่างชัดเจนก่อนจะเริ่มลงมือต่อสู้กับเหล่าทหารฝีมือดีที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วซึ่งเป็นคู่ฝึกซ้อมของพระนางนับตั้งแต่เริ่มเรียนการต่อสู้ จากนายทหารเอกแห่งอัตรคุปต์ศุกลนั่นก็คือผู้มีศักดิ์เป็นพระอัยกาของพระนางนั่นเอง
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือด นายทหารกว่าสิบทยอยเข้ามาทีละคน สองคน สามคน เพิ่มเรื่อย ๆ จนกระทั่งถั่งโถมเข้าใส่พระนางอย่างบ้าคลั่ง
แต่เจ้าของร่างบางที่ดูอรชรกลับรวดเร็วคล่องแคล่วอย่างไม่น่าเชื่อ พระนางสามารถใช้ลีลาที่อ่อนช้อยนุ่มนวลหลบหลีกแล้วเลือกจังหวะในการตอบโต้ได้อย่างเฉียบขาดและว่องไวจนพระองค์เองซึ่งเป็นชายแท้ ๆ ที่ผ่านสมรการภูมิการรบมาอย่างช่ำชอง ต้องจ้องมองด้วยความตะลึงงัน
จากดาบคู่ที่ถือด้วยมือทั้งสองเปลี่ยนเป็นศาสตราวุธชนิดอื่นแล้วก็สามารถหยิบจับสับเปลี่ยนได้อย่างแม่นยำ คล่องแคล่วด้วยลีลาที่อ่อนพลิ้ว ดูเหมือนจินตลีลาที่สะกดให้คนที่มองเห็นเกิดความหลงใหลและคล้อยตามไปกับท่วงท่าที่เหมือนการแสดงแต่กลับหนักแน่น รวดเร็วจนนายทหารกว่าสิบที่เป็นคู่ฝึกซ้อมจำต้องล่าถอยออกไป
“ให้ได้อย่างนี้สิเจ้า ลูกรักของพ่อ...”
องค์อินทัช ทรงปรบมือให้เมื่อการซ้อมรบจบสิ้นลง
“เจ้าเก่งมากอชิรญาณี บิดาแห่งเจ้าภูมิใจมาก ถึงแม้เจ้าจะเป็นสตรี แต่อาจหาญยิ่งกว่าบุรุษชาติอาชาไนยบางคนเสียอีก สมแล้วที่แผ่นดินแห่งอัสดงคตทิศตะวันตกภายภาคหน้าจักได้มหารานีที่มีนามว่าอชิรญาณีเป็นผู้ครอบครอง...บัดนี้บิดาเจ้ามีวัยถึงเจ็ดปี หากจะสิ้นชีพก็สามารถปิดตาลงได้อย่างสบายใจ..”
อชิรญาณีเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรมองบิดาก่อนคุกเข่าลงแล้วกอดเอาไว้แน่น
“ทำไมบิดาข้าพูดเช่นนี้..ขอจตุรพิธพรชัยมงคลทั้งหลายจงดลบันดาลให้บิดาข้ามีอายุยืนยาวนาน..”
องค์อมลินสรวลเย็นพลางยกพระหัตถ์ลูบพระเศียรเล็กได้รูปภายใต้เส้นพระเกศานุ่มที่ยาวสยายกระจายเต็มแผ่นปฤษฎางค์ที่เนียนกริบ หลังจากดึงผ้าคลุมพระเกศาออก เมื่อดำเนินกลับมาที่พลับพลา
ครั้งนั้นองค์เมธัสอัปราชัยจำได้ดีว่าพระองค์ปรารถนาที่จะเห็นวงพระพักตร์ของจอมสตรีเสียนักหลังจากได้ยินพระสุรเสียงและเห็นลีลาการต่อสู้ท่ามกลางสนามรบ และหลังจากนั้นอีกไม่นานนักพระองค์ก็มีโอกาสได้พบพระนางอีกครั้ง เมื่อท่องเที่ยวตรวจตราดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านรวมถึงเยี่ยมชมความงดงามของแผ่นดินที่มีพระนางเป็นจอมสตรีที่อาจหาญ
ทำให้พระองค์ได้มีโอกาสได้ทอดพระเนตรเห็นจอมสตรีใกล้เข้าไปอีกนิด เมื่อครั้งที่พระนางทรงม้าออกจากกำแพงเมืองเพื่อปราบผู้ก่อกบฏ คิดกระด้างกระเดื่อง เพราะเป็นเพียงชนเผ่าเล็ก ๆ ที่อยู่ทางชายแดนติดกับทะเล แต่คิดจะตั้งตนเป็นใหญ่ ทำให้พระนางจำเป็นต้องปราบ
สายพระเนตรที่คมกล้าประดุจเปลวเพลิงยามทอดมองมาหาพระนาง เหมือนรังสีที่แผดกล้าสามารถจะทะลุทะลวงไปทุกรูขุมขน ทำให้พระนางเกิดความร้อนรุ่มไปทั่วสรรพางค์กายงาม
“จอมสตรีแห่งองค์อมลินและองค์อินทัช ท่านผู้เป็นใหญ่..ได้ข่าวว่า กำลังจะดำเนินไปปราบปรามชนกลุ่มน้อยแถบชายแดนติดทะเลที่คิดตั้งตนเป็นใหญ่ หมายจะออกจากการปกครองขององค์อินทัช แต่บัดนี้กลับกลายเป็นเชลยที่จะต้องถูกนำตัวกลับมารับโทษแล้วด้วยฝีมือของจอมสตรีผู้นี้..ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นจอมสตรีที่อาจหาญ เป็นดวงแก้วแห่งอัสดงคตทิศตะวันตก เพราะเก่งกล้าสามารถและปราดเปรื่องเสียยิ่งกว่าบุรุษบางคน”
เมื่อฟังคำพูดของมาธวี บุรุษหนึ่งในสิบหกที่เป็นทหารอารักขาคู่พระหทัย พระองค์จึงทอดพระเนตรเห็นเรือนร่างที่งดงามของจอมสตรีอชิรญาณี แต่ทว่าวงพระพักตร์ที่หวานละไมมีผ้าคลุมสีชมพูอ่อนคลุมไว้อย่างมิดชิด
“เปรียบประดุจดั่งมธุรสในรวงผึ้งที่ห้อมล้อมไปด้วยศาสตราวุธที่มีฤทธิ์ร้ายกาจ..”
องค์เมธัสอัปราชัยสรวลน้อย ๆ เมื่อได้ฟังคำพูดของเตชัส พระองค์ทอดทัศนาการดูพระนางทรงควบม้าหันหลังเข้ากำแพงเมือง
“น่าฝ่าฟันแล้วคว้ามธุรสนั้นมาครอบครองนัก..จริงหรือไม่..ข้าเห็นแววพระเนตรของพระองค์ยามได้ทอดพระเนตรเห็นการต่อสู้ของจอมสตรีผู้เพียบพร้อมผู้นี้..”
เตชัสเอ่ยออกมาพลางชำเลืองสายตามองดวงพักตร์ที่หล่อเหลาขรึมคมขององค์เมธัสอัปราชัย บุรุษที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมหาราชที่ไม่เคยพ่าย พระองค์หันพระพักตร์ทอดพระเนตรยังใบหน้าของอารักขาทั้งสองที่เป็นทั้งอารักขาและพระสหายเพียงน้อยนิด ก่อนจะทรงพระสรวลออกมาเบา ๆ แล้วควบม้าออกมาจากแผ่นดินอัศดงคตทิศตะวันตกของเอชิรญาณี
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เพระองค์ไม่อาจลืมพระนางได้ ก็ดวงพระเนตรที่คมหวานแต่เจือแววเศร้ายามที่พระนางตวัดมองผ่านมาทางพระองค์ที่ประทับอยู่บนม้าเศวตพาชีกับบุรุษอารักอย่างมาธวีและเตชัส อีกทั้งกลิ่นพระวรกายที่หอมจรุงจนติดอยู่ที่ปลายพระนาสิกของพระองค์ทุกลมหายใจเข้าออกนั้น พระองค์ยังจำได้มิรู้ลืม
และเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่ทำให้อชิรญาณีเองก็ได้มีโอกาสได้ทอดพระเนตรเห็นองค์เมธัสอัปราชัย ถึงแม้จะเป็นระยะไกล แต่ก็ทำให้หฤทัยดวงน้อยของพระนางไหวสะท้าน