ลูกสะใภ้
ลูกสะใภ้
" รินรดา...สวย...น่ารัก ถึงว่าล่ะ ลูกชายแม่ถึงได้ลืมหนูยิ้มได้ " คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นคำชมทำให้คนที่ได้ยินอย่างรินรดาสะดุ้งตื่นเล็กน้อย ทุกคนที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือญาดาภรรยาคนก่อนที่เสียชีวิตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
" พี่เฟิ่ง " เสียงหวานที่เอ่ยเรียกสามีทำให้คนเป็นภรรยาหันไปมองในทันที หญิงสาวใบหน้าหวานที่ยืนอยุู่ข้างๆ คุณแม่ของภาคินโค้งตัวและเอ่ยทักทาย
มากันสองคนแต่ทักทายคนคนเดียวเนี่ยนะ ...รินรดาล่ะอยากมองบนจริงๆ สายตาที่แม่นางมองสามีของเธอไม่บอกก็รู้ว่าคิดยังไง ผัวข้าใครอย่าแตะ บอกไว้ก่อนเลย
คิดถึงคำพูดของชายหนุ่มที่บอกกับเธอก่อนที่ทั้งคู่จะมาถึงที่นี่
" ทุกคนที่นี่ใจดี ยิ่งแม่พี่ยิ่งใจดี " เมื่อได้สัมผัสจากการต้อนรับแล้ว รินรดากลับไม่คิดเช่นนั้น ดูท่าว่าจากระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาพักผ่อนอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนคงต้องร่นให้เหลือเป็นสองอาทิตย์ซะล่ะมั้ง
" สบายดีมั้ยซุ่ยหลิง ทักทายพี่สะใภ้ด้วยสิ " ภาคินเอ่ยกับหญิงสาวที่ยืนอยู่กับมารดาของตัวเอง ซุ่ยหลิงเป็นเด็กที่คุณแม่ของเขาเก็บมาเลี้ยง เธอเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็กแม่ของเขาจึงรับเลี้ยงดู ส่งเสียให้เรียนจนจบและตอนนี้ก็ทำงานที่บริษัทของคุณตาของเขา
" พี่สะใภ้...สวัสดีค่ะ " แม้ใบหน้าจะดูยิ้มแย้ม แต่สายตาที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่ายทำให้รินรดานึกกังวล
~ นี่เธอต้องมาเจออะไรแบบนี้เหรอเนี้ย ~
" สวัสดีค่ะ " เมื่ออีกฝ่ายปั้นหน้ามา รินรดาเองก็คงต้องไหลไปตามน้ำ
" มาเหนื่อยๆ เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่านะ " เสียงประมุขของบ้านเอ่ย คุณตาเดินนำหน้าทุกคนเข้าไปในบ้านนั่นจึงทำให้คนที่ยืนอยู่ต้องเดินตามท่านไป
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่สักพักภาคินก็พาภรรยาสาวมาที่บ้านอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ชายหนุ่มบอกว่าบ้านหลังนี้คุณแม่สร้างไว้ให้เขาเพราะรู้ดีว่าลูกชายของท่านชอบความเป็นส่วนตัว หากมาเยี่ยมแม่ที่นี่เมื่อไหร่เขาก็จะมาพักที่นี่
" เป็นยังไง คุณตากับคุณแม่ของพี่ใจดีใช่มั้ยล่ะ " เสียงทุ้มเอ่ยขณะเอนกายนอนลงบนที่นอนขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้อง
" ค่ะ "
" ความจริงคุณแม่เองก็ไม่ได้อยากทิ้งพี่มาอยู่ที่นี่หรอก แต่เพราะคุณยายเสียและคุณตาก็ต้องการกำลังใจ แม่เองก็จำใจต้องปล่อยให้พี่และคุณพ่ออยู่ที่โน่นกันเอง "
" เหรอคะ "
" เป็นอะไรไป หึ้มมม " เมื่อเห็นว่าภรรยาสาวพูดน้อยกว่าปกติ คนที่เอนกายนอนอยู่ก็ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งและหันมาหาเธอ
" ไม่นี่คะ รินไม่ได้เป็นอะไร "
" เห็นพูดน้อย ปกติถ้าได้มาเที่ยวแบบนี้หนูยิ้มของพี่จะพูดไม่หยุดเลยนี่นา "
" อาจจะเพลียมั้งคะ นั่งเครื่องแถมยังนั่งรถต่อมาอีกเป็นชั่วโมงๆ "
" อึ้ม งั้นจะนอนพักสักหน่อยมั้ยล่ะ เดี๋ยวใกล้เวลาอาหารเย็นแล้วเดี๋ยวพี่ปลุก "
" เดี๋ยวจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ก่อนค่ะ ไม่อยากค้างๆ คาๆ อะไรไว้ ถึงเวลาหยิบใช้จะได้สะดวกเลย พี่ใหญ่จะอาบน้ำมั้ยคะ รินจะได้เตรียมชุดให้ " เมื่อเห็นว่าภรรยาสาวกลับมาพูดเก่งเหมือนเดิม นั่นจึงทำให้ประธานใหญ่คลายความกังวล
ไม่ใช่เขาไม่รู้ ... แต่เพราะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าหนูยิ้มคงอึดอัดกับท่าทีของแม่ของเขา ก็ท่านแสดงออกซะขนาดนั้นว่าไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจภรรยาของเขาเท่าไหร่นัก
คงอาจเพราะท่านคิดว่าลูกสะใภ้คนนี้เป็นเด็กกำพร้า ไม่เหมือนหนูยิ้มที่เป็นหลานสาวของคุณหญิงศจีที่มีเชื้อสายของผู้ดีเก่า
หากเป็นเช่นนั้น...เขาคงต้องบอกความจริงกับทุกคนว่ารินรดาคนนี้ก็คือหนูยิ้มนั่นเอง
มื้ออาหารเย็นที่คฤหาสน์หลังใหญ่
" คุณตาทานเยอะๆนะครับ " ภาคินเอ่ยขณะใช้ตะเกียบคีบอาหารไปวางบนจานของผู้สูงวัยอย่างเอาใจ ไม่เพียงแค่ประมุขของบ้านเท่านั้นแต่ชายหนุ่มยังจัดการตักอาหารให้แม่และภรรยาสาวที่นั่งอยู่ข้างๆอีกด้วย
นานๆทีเขาจะได้มีโอกาสมาทำหน้าที่ลูกและหลานที่ดี เวลาอันมีค่าเขาจึงไม่อยากเสียไปแม้แต่นาทีเดียว
" เฟิ่งชุนตักอาหารให้ซุ่ยหลิงด้วยสิลูก "
" เอ่อ..ครับ " เมื่อมารดาเอ่ยแบบนั้น คนที่เป็นลูกชายจึงทำตามอย่างไม่อิดออด
ซุ่ยหลิงเปรียบเสมือนน้องสาวของเขา แม้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดโดยตรงแต่ชายหนุ่มก็ให้ความสำคัญกับเธอเหมือนเป็นคนในครอบครัวจริงๆ
" อ่ะ...กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ " ภาคินเอ่ยพร้อมกับตักผัดผักลงใส่จานให้เธอ
" เอ่อ...ขอบคุณค่ะ "
" เฟิ่งชุน..ซุ่ยหลิงไม่ชอบกินผัดผัก ลูกตักอย่างอื่นให้น้องใหม่หน่อยสิ "
" อ้าว ไม่ชอบหรอกเหรอ ขอโทษทีพี่ไม่รู้ ลืมตัวน่ะ พอดีนี่เป็นของโปรดของรินรดาเค้า อ่ะเดี๋ยวพี่ตักให้ใหม่ " พูดจบภาคินก็จัดการคีบไก่ทอดลงบนจานให้หญิงสาวอีกครั้ง
หลังจากผ่านมื้ออาหารที่แสนจะน่าอึดอัดสำหรับรินรดาแล้ว เธอก็ถูกเขาลากให้มานั่งปั้นหน้าดื่มชากับคุณตาและคุณแม่ของเขาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง
" มาคราวนี้กะว่าจะอยู่นานสักเท่าไหร่ล่ะ " ผู้อาวุโสของบ้านเอ่ยถาม
" ก็ถ้าอากาศที่นี่ดี ไม่มีพายุเข้าก็กะว่าจะอยู่สักหนึ่งเดือนเลยครับ ผมเคลียร์งานที่โน่นหมดแล้ว แต่ถ้าอยู่เที่ยวไม่ได้ผมอาจจะพารินไปเที่ยวพักผ่อนที่เมืองอื่นต่อน่ะครับ "
" นี่กะมาฮันนีมูนยาวเลยเหรอ ภรรยาของลูกคนนี้ช่างโชคดีซะจริงๆ เลยนะ ตอนที่แต่งงานกับหนูยิ้มไม่เห็นลูกจะใส่ใจพาเธอมาเที่ยวแบบนี้เลยนี่ "
" เอ่อ...คือช่วงนั้นหนูยิ้มเค้ากำลังเรียนอยู่นี่ครับ จะให้ตระเวนเที่ยวคงไม่ได้ "
" งั้นวันไหนไปเที่ยวก็ชวนซุ่ยหลิงไปด้วยนะ แม่สงสารน่ะ วันๆเอาแต่ทำงานและก็กลับมาดูแลแม่และคุณตา ไม่มีเวลาเที่ยวเตร็ดเตร่เหมือนหญิงสาวยุคใหม่ทั่วไป "
" ไป่ชิง...จะไปรบกวนเฟิ่งชุนได้ยังไง เค้ามาฮันนีมูนก็ต้องอยากเที่ยวกันสองคนเค้าสิ " คนที่เป็นบิดาเอ่ยทัดทานลูกสาว
" แต่ซุ่ยหลิงก็ไม่ใช่คนอื่นนะคะ ไปกันสามคนจะเป็นไรไป คนจีนเราสามีจะมีอนุสักกี่คนก็ได้ "
" เอ่อ...คุณแม่ครับ " ภาคินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่กำลังจะออกนอกเรื่องไปไกล
" เฟิ่งชุน...คุยกันเรื่องนี้ก็ดี "
" ไป่ชิง ! "
" ไม่ค่ะคุณพ่อ ... จะคุยวันไหนยังไงก็ต้องคุยอยู่ดี พูดกันซะตั้งแต่วันนี้นี่แหละค่ะ เรื่องจะได้จบ "
...............................