บทที่ 2
“ลู่ฮูหยินให้อะไรมาบ้าง” ลู่ฮูหยินคือภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านตาเฒ่าลู่เจิงนั่นเอง
อาเซิงยกปลาหนึ่งตัวและหมอข้าวให้คุณหนูของนางดู
“พอให้พวกเรากินได้สองสามวันอยู่หรอก ข้าจะกินโจ๊ก เจ้าไปเคี่ยวโจ๊กใส่เนื้อปลามาแล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยบอกสาวใช้
“เจ้าค่ะคุณหนู” สาวเดินเข้าในครัวทันที
สองนายบ่าวนั่งรับประทานโจ๊กอย่างอร่อยที่ห้องครัว
โครม! เสียงเหมือนอะไรตก
“เสียงมาจากห้องนั้น หรือว่าบุรุษผู้นั้นจะตกเตียง” เสิ่นเยว่เล่อเอ่ยขึ้นแล้วเดินออกจากห้องครัว อาเซิงรีบเดินตาหลังผู้เป็นนายทันที
บุรุษร่างหนานอนโอดโอยข้างเตียง เขาเป็นอะไรไปทำไมจำอะไรไม่ได้สักอย่างหัวสมองว่างเปล่า มึนไปหมด
เสิ่นเยว่เล่อมองบุรุษผู้นั้นดิ้นอย่างเจ็บปวด นางรีบประคองเขาขึ้นโดยไม่สนใจเรื่องชายหญิง อาเซิงตกใจที่เห็นคุณหนูไม่หวงเนื้อตัว
“พี่สาว” บุรุษผู้นั้นเรียกเสิ่นเยว่เล่อว่าพี่สาว
นางให้เขานั่งที่เตียง นางจะเป็นพี่สาวเขาได้อย่างไร เขาน่าจะอายุมากกว่านางด้วยซ้ำ หรือเขาตกจากหน้าผาแล้วจะปัญญาอ่อน
บุรุษผู้นั้นมองใบหน้างามเขากอดนางเอาไว้
“เจ้าปล่อยข้าก่อน” หญิงสาวตกใจเป็นอย่างมากที่เขากอดเธอ อาเซิงอ้าปากค้าง
“พี่สาวข้ากลัว” น้ำเสียงเขาราวกับเด็กน้อยที่หวาดกลัวอะไรสักอย่าง
“เจ้ามีแซ่ว่าอะไร” นางพยายามแกะมือหนาใหญ่ออก
ชายหนุ่มจำไม่ได้เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
“ข้าไม่รู้ ข้าปวดหัว พี่สาว” นางเกิดมาเพิ่งสิบห้าปีก็โดนบุรุษแปลกหน้ากินเต้าหู้(การแต๊ะอั๋ง)ก็วันนี้ล่ะ ชายหนุ่มปล่อยนางเป็นอิสระเขารีบกุมศีรษะตนเองทันที
“อาเฟิงรีบไปต้มน้ำแกงขิงมา” หญิงสาวรีบสั่งสาวใช้คนสนิท
เสิ่นเยว่เล่อมองบุรุษแปลกหน้าอย่างสงสารนางไม่เขาใจทำไมนางต้องสงสารคนผู้นี้และช่วยเหลือเขา
“พี่สาวกอดข้า” แววตาเขาอ้อนวอนนาง
หญิงสาวลังเลว่าจะกอดเขาดีหรือไม่ แต่ทว่าเขากอดนางแทนเสียแล้ว
“พี่สาวข้ากลัว” ไม่น่าเชื่อว่าคนรูปงามจะกลายเป็นเด็กน้อยไปได้
ไม่เกินหนึ่งเค่ออาเซิงเดินเข้ามาในห้องพร้อมชามน้ำแกงขิงสาวใช้มองบุรุษแปลกหน้ากอดผู้เป็นนาย
“เจ้าปล่อยข้าก่อน น้องชายคนดี ข้าจะให้เจ้าดื่มน้ำแกงขิงบรรเทาการปวดศีรษะ” ชายหนุ่มรีบปล่อยนางทันที
“อาเซิงรีบเอามา”
สาวใช้ส่งชามน้ำแกงให้ผู้เป็นนาย
“น้องชายคนดีเจ้าอ้าปากดื่มน้ำแกงนะ” เสิ่นเยว่เล่อเล่นบทพี่สาว
ชายหนุ่มรีบดื่มน้ำแกงจนหมดชาม
“พี่สาวข้าหิวข้าว”
หญิงสาวสั่งสาวใช้นำโจ๊กปลาที่เหลือในหม้อให้เขาทันที สาวใช้นำโจ๊กปลามาให้แต่ชายหนุ่มไม่ยอมกินเอง นางจึงต้องป้อนเขาเมื่อกินอิ่มแล้ว
นางจึงกล่อมเขานอนตอนนี้ชายหนุ่มความจำเสื่อมกลายเป็นเด็กน้อยวัยห้าขวบไปแล้ว…
ภายในห้องนอนเสิ่นเยว่เล่อยังนอนไม่หลับดวงตากลมโตมองออกไปที่นอกหน้าต่าง นางคิดถึงน้องชายที่เป็นปัญญาอ่อน ป่านนี้คงจะอายุได้สิบปีแล้วกระมัง ตอนที่นางจากจวนมาเสิ่นอี้หวายอายุเจ็ดปี เสิ่นอี้หวายเป็นปัญญายาอ่อนตั้งแต่เด็กยิ่งไม่มีมารดาคอยดูแลไม่รู้ชีวิตความเป็นอยู่จะเป็นอย่างไร
ถ้านางไล่ชายที่ปัญญาอ่อนออกจากเรือนไปไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร?
“คุณหนูยังไม่นอนหรือเจ้าคะ” อาเซิงอยู่อีกเตียงหนึ่งเห็นคุณหนูยืนอยู่ริมหน้าต่าง
“ข้ายังไม่ง่วง ข้าคิดว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าคนแปลกหน้านั่นดี” เสิ่นเยว่เล่อเอ่ยถามสาวใช้เผื่อจะได้คำตอบที่ดี
“คุณหนูถ้าเราไล่เขาไปตอนนี้ก็คงไม่ดีแน่เจ้าค่ะ บ่าวมองดูแล้วเขาคล้ายคนปัญญาอ่อน บ่าวว่าสมองเขาต้องกระทบกระเทือนอย่างหนักเป็นแน่”
“ข้าก็คิดว่าสมองเขาคงได้รับการกระแทกจนเป็นแบบนี้ ”
“บ่าวว่าให้เขารักษาตัวกับเราสักระยะหนึ่งก่อนพอเขาหายดี ค่อยให้เขาไปเจ้าค่ะ”
“ปัญหาคือจะซ่อนเขาอย่างไรมิให้คนในเรือนลู่ฮูหยินเห็น”
“ในเมื่อเขาปัญญาอ่อนเราก็ขังเขาเอาไว้แต่ในห้องเจ้าค่ะ” อาเซิงเวทนาบุรุษรูปงามยิ่งนัก
เสิ่นเยว่เล่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ความคิดอาเซิงดีไม่น้อย…
ยามเช้าเสี่ยวอิงฮวาบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้านและสาวใช้อีกคนนำผ้ามาให้ผ้าเต็มตะกร้า มาเยือนที่เรือนเล็กของเสิ่นเยว่เล่อ พูดจาถากถางนางแล้วเดินออกไปอย่างมีความสุข
“คุณหนูบ่าวชักจะทนพวกนางไม่ไหวแล้ว” อาเซิงหมั่นไส้เสี่ยวอิงฮวา ในฐานะที่นางเป็นนายนางก็ทนไม่ไหวเหมือนกันแต่ก็ต้องอกกลั้นเอาไว้สักวันหนึ่งนางจะเอาคืนพวกมัน
“อดทนไปก่อน”
คุณหนูของนางก็มีแต่บอกให้อดทน อดทนมาจนจะสามปีแล้ว
“พี่สาว ข้าหิวข้าว” เสียงบุรุษผู้นั้นดังขึ้น
“เจ้าเอาผ้าไปเก็บก่อน เดี๋ยวข้าตามไป” เสิ่นเยว่เล่อบอกสาวใช้ส่วนนางเดินไปที่ห้องครัว หญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมชามข้าวที่โรยด้วยเนื้อปลานึ่ง
บุรุษผู้นั้นนั่งอยู่ที่เตียงได้กลิ่นอาหาร
“หิว หิว”
“ข้ากำลังจะให้เจ้ากิน” นางนั่งข้างเตียงแล้วยื่นชามอาหารให้เขา
“ไม่เอาพี่สาวป้อนข้า”
หญิงสาวมองบุรุษปัญญาอ่อนช่างเหมือนเด็กน้อยห้าขวบอ้อนมารดา มุมปากนางยกยิ้มอย่างเอ็นดู ลำพังตัวนางยังจะเอาไม่รอดนางยังต้องช่วยคนปัญญาอ่อน