บทที่ 7 ชาเขียว หรือว่ายังมีดอกบัวขาวด้วย
“ไม่ต้องมากพิธี” เมื่อหมิงโร่ได้ยินการทักทายที่ฟังดูน่าอึดอัดเป็นพิเศษ ก็เกือบจะหันไปแล้วตอบกลับว่า----ลุกขึ้นเถอะ......
หญิงรับใช้สุ่ยลู่ลุกยืนขึ้น สายตาและมือของนางลดต่ำลง
หมิงโร่สูดหายใจเข้าลึก เธอไม่ต้องการสาวใช้โบราณเช่นนี้อยู่เคียงข้างเธอ : “เจ้าชื่ออะไร ?”
เมื่อหญิงรับใช้สุ่ยลู่ได้ยิน ก็รีบโค้งคำนับ : “พระชายาโปรดพระราชทานชื่อให้ด้วยเพคะ”
หมิงโร่ลูบหน้าผาก เธอรู้ว่าหลายแห่งมีธรรมเนียมปฏิบัติเรื่อง “การเปลี่ยนชื่อเพื่อแสดงความจงรักภักดี” ศิษย์พี่ที่เรียนวิชาแพทย์กับคุณปู่ โดยจะมีการใช้คือว่า “จื่อ” แทนเข้าไปในชื่อ เช่น ศิษย์พี่ใหญ่เฉียวจื่อเยี่ยน หรือศิษย์พี่เจ็ดที่เอ็นดูเธอที่สุดชื่อเฉิงจื่อยี่
แต่ว่า เธอเป็นนักตั้งชื่อที่ไม่ได้เรื่องอย่าสมบูรณ์แบบจริง ๆ
“เจ้ามีชื่อเดิมว่าอะไร ?” หาตัวอย่างเพื่อประกอบการพิจารณาดูสักหน่อย
“หม่อมฉันมีชื่อเดิมว่าชาเขียวเพคะ”
“เอ่อ......” หมิงโร่หมดคำจะวิจารณ์ได้อีก “ชาเขียว......หรือว่ายังมีดอกบัวขาวด้วย......”
ชาเขียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และรีบเอ่ยตอบว่า : “พี่บัวขาวเป็นนางกำนัลขององค์ไท่เฟยเพคะ......”
หมิงโร่รู้สึกเหมือนมีสัตว์ในตำนานเป็นหมื่นตัววิ่งพล่านอยู่ในใจ มีบัวขาวด้วยจริง ๆ หรือนี่......หมิงโร่ถอนหายใจ ถึงเวลาแสดงฝีมือของตนเองแล้ว สมุนไพรจีนมีเป็นพันเป็นหมื่นชนิด หาสักชนิดที่ฟังดูคล้ายชื่อคน ก็นับว่าไม่ยากเท่าไรนัก : “เช่นนั้นให้เจ้าชื่อว่าจือซูก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยพระชายาที่พระราชทานนามให้” จื่อเฉ่าคารวะอีกครั้ง
“ต่อไปไม่ต้องคารวะบ่อยครั้งนักหรอก” หมิงโร่สงสัยว่าเด็กสาวคนนี้คงจะติดสปริงอยู่ที่หัวเข่า จึงได้คุกเข่าได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ “เจ้าจงรีบไปทำอาหาร......เช้ามาหน่อย จากนั้นก็เตรียมน้ำร้อน ข้าจะอาบ......อาบน้ำ” เพื่อไม่ให้องค์หญิงหงสาผู้นี้ต้องเสื่อมเสีย หมิงโร่รู้สึกว่าตนเองพูดอะไรก็ผิดไปเสียหมด
“เพคะ” จือซูไปทำตามคำสั่ง
ในที่สุด หมิงโร่ก็สามารถพักผ่อนสมองที่กำลังปิดเครื่องได้เสียที
จือซูทำงานอย่างคล่องแคล่วว่องไว ผ่านไปแค่ประมาณสิบห้านาที โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าหมิงโร่ก็เต็มไปด้วยอาหาร----มีติ่มซำสี่อย่าง อาหารจานเล็ก ๆ อีกสี่อย่าง โจ๊กหนึ่งถ้วย และก๋วยเตี๋ยวอีกหนึ่งถ้วย
ถึงแม้หมิงโร่จะหิว แต่ก็กินได้ไม่มากขนาดนั้น เธอกินโจ๊กเข้าไปก่อนหนึ่งคำ : “ต่อไปไม่ต้องเตรียมอาหารเช้ามากมายขนาดนี้ แค่ครึ่งเดียวก็พอแล้ว”
“หม่อมฉันจดจำไว้แล้วเพคะ” จือซูรีบขานรับ
หลังจากหมิงโร่กินมื้อเช้าเสร็จ ก็เข้าไปในห้องนอน ถึงแม้ห้องนอนจะมีการตกแต่งที่ไม่วิจิตรนัก แต่ก็ดูสง่างาม ให้ความรู้สึกสละสลวย เพียงแต่ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะถูกใช้เป็นห้องรอ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนอน หรือแม้กระทั่งเบาะบนเก้าอี้ล้วนเป็นสีแดงสด ดูแล้วยากจะอธิบาย
ตรงมุมห้องใช้ฉากกั้นพื้นที่เอาไว้ พอจะมองเห็นราง ๆ ว่ามีถังอาบน้ำวางอยู่ด้านใน
มีผ้าเช็ดตัวหนึ่งพับวางไว้บนถาดที่จือซูถืออยู่ มีช้อนไม้ด้ามยาว สบู่หอม และกลีบดอกไม้ตพกร้าเล็ก ๆ
นางวางถาดลงบนโต๊ะตัวเตี้ย จากนั้นจึงหยิบกลีบดอกไม้โปรยลงไปในถังอาบน้ำ : “พระชายา หม่อมฉันจะถอดเสื้อให้นะเพคะ”
“ไม่ต้อง เจ้าออกไปเถอะ” หมิงโร่เห็นจือซูออกจากห้องนอนแล้ว ก็ถอดเสื้อผ้าออก แล้วหย่อนร่างกายลงไปในน้ำอุ่น พลางถอนหายใจออกมา เมื่อครู่คงเป็นวิธีการในการเปิดที่ถูกต้องของการย้อมเวลาสินะ”
ที่เท้าของหมิงโร่มีบาดแผล ไม่เหมาะที่จะแช่น้ำ จึงอาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว
มองดูเสื้อผ้าที่จือซูจัดเตรียมเอาไว้ให้เธอหนึ่งชุด รวมไปถึงซับในตัวเล็กอีกด้วย เด็กคนนี้ถึงแม้จะดูแข็งทื่อไปสักหน่อย แต่ก็ทำงานได้ละเอียดลอออย่างยิ่ง
หมิงโร่สวมเสื้อทับและเสื้อตัวในจนเรียบร้อย อย่างไรเสียอีกเดี๋ยวเธอก็จะงีบหลับสักพัก เชือกสองสามเส้นที่อยู่ด้านซ้าย กับกระดุมอีกสองสามเม็ดที่อยู่ด้านขวา ที่จริงแล้วไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่าชุดไหนต้องสวมเอาไว้ด้านใน และชุดไหนต้องสวมเอาไว้ด้านนอก เพราะฉะนั้นก็ปล่อยเอาไว้เช่นนี้ก่อน
หมิงโร่นั่งอยู่บนตั่งไม้ด้านนอก ตรงนี้แสงสว่างกำลังดี ซ้ำยังมีโต๊ะน้ำชาตัวเล็ก ๆ จัดวางอยู่ด้วย เหมาะที่จะใช้ทำแผลพอดี
หมิงโร่เพิ่งจะจัดการกับบาดแผลบนเท้าเสร็จ ก็ได้ยินเสียงของจือซูเอ่ยถามเบา ๆ ขึ้นว่า : “พระชายาเพคะ เสร็จหรือยังเพคะ ?”
หมิงโร่เก็บของที่อยู่บนโต๊ะจนเรียบร้อย : “เจ้าเข้ามาสิ”
จือซูพาสาวใช้สองคนเข้ามา ยกถังอาบน้ำออกไป จากนั้นจึงเริ่มเก็บข้าวของที่ใช้อาบน้ำ
“จือซู หยิบกระดาษกับพู่กันมาให้ข้าหน่อย” หมิงโร่คิดว่า หากอยากใช้ชีวิตอยู่ในจวนหยุนชินอ๋องอย่างสุขสบาย จะต้องใช้ความสามารถเพื่อแลกอาหาร ตำแหน่งหมอรับเชิญนี้จะต้องทำด้วยความตั้งใจ
หมิงโร่จับพู่กันอย่างทะมัดทะแมง ถึงแม้การตวัดพู่กันจะสะดุดเล็กน้อย แต่ตัวอักษรที่เขียนออกมากลับไม่น่าเกลียด
ล้อเล่นหรืออย่างไร คิดว่าตำแหน่งคุณหนูใหญ่ของตระกูลแพทย์ขุนนางเสวียน เป็นกันง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เล็กจนโต เธอถูกทารุณด้วยการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ นานา ทั้งเปียโน หมากรุก และการวาดเขียนจนแทบถอดใจเลยนะ
เนื่องจากไม่ได้จับพู่กันเขียนหนังสือมานาน เพื่อความสวยงาม หมิงโร่จึงบรรจงเขียนอย่างช้า ๆ จือซูเก็บกวาดห้องนอนและปูที่นอนจนเรียบร้อย หมิงโร่ก็ยังเขียนใบสั่งยาไม่เสร็จ
ด้านบนเป็นรายชื่อสมุนไพร และอุปกรณ์จำเป็นที่ต้องใช้ในการทำยา รวมไปถึงภาชนะบรรจุยาเม็ดและยาน้ำด้วย
“พวกนี้เป็นของที่ต้องใช้สำหรับปรุงยาให้กับท่านอ๋อง เจ้าจงให้พ่อบ้านโจวไปเตรียมเอาไว้” หมิงโร่เป่าใบสั่งยาในมือที่น้ำหมึกยังไม่แห้งสนิท แล้วยื่นให้จือซู “ข้าจะพักผ่อนแล้ว ไม่ต้องเตรียมมื้อเที่ยงนะ ตอนบ่ายข้าจะไปฝังเข็มให้ท่านอ๋อง หากไม่ตื่น เจ้าก็มาปลุกข้าด้วย”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” จือซูถือใบสั่งยาที่หมิงโร่ยื่นให้เดินออกไป จากนั้นจึงค่อย ๆ ปิดประตูอย่างเบามือ
หมิงโร่ปีนขึ้นไปบนเตียง สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม เพิ่งจะเอนตัวลง ก็รู้สึกว่าหัวถูกหมอนลายครามกดทับจนเจ็บ เธอจึงรีบลุกขึ้น แล้วหยิบเบาะที่วางอยู่บนตั่งไม้มา วางทับลงไปบนหมอนลายคราม แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ดี สุดท้าย เธอโยนหมอนลายครามไปไว้ด้านข้าง แล้วพับเบาะเป็บทบ ๆ ใช้หนุนนอนแทนหมอน
ตอนนี้เอง ซือห้าวเฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โค้งในห้องหนังสือ กำลังฟังไป๋เชินรายงานความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดสองวันที่ผ่านมา นิ้วมือของเขาเคาะลงกับที่พักแขนโดยไม่รู้ตัว จนเกิดเสียงก๊อกแก๊ก ๆ ไป๋เชินได้รับผลกระทบจากจังหวะนี้โดยไม่รู้ตัว ทำให้การพูดของเขาเพิ่มความเร็วขึ้น
พ่อบ้านโจวรับใบสั่งยาที่หมิงโร่เขียนมา ไม่รู้ว่าควรจะทำตามดีหรือไม่ ยาที่ท่านอ๋องใช้ก่อนหน้านี้ หมอเทวดาเซวล้วนเป็นคนเตรียมให้ทั้งสิ้น พ่อบ้านโจวตัดสินใจไปหาใต้เท้าไป๋เพื่อถามความเห็น เมื่อรู้ว่าใต้เท้าไป๋อยู่ในห้องหนังสือของท่านอ๋อง จึงเดินไปหา
“หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง” พ่อบ้านโจวเดินขึ้นไปทำความเคารพ
“มีเรื่องอะไร” ซือห้าวเฉินนั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่ ใบหน้าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
พ่อบ้านโจวยื่นใบสั่งยาให้กับซือห้าวเฉิน : “พระยาชาเขียนใบสั่งยามา บอกว่าจะปรุงยาให้กับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ซือห้าวเฉินมองเห็นใบสั่งยาที่ถืออยู่ในมือ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่หมิงโร่ต้องการ เพียงแต่ตัวอักษรนี้ ถึงแม้จะมีทักษะอยู่ในระดับปานกลาง แต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งและสง่างาม ไม่เหมือนกับลายมือของหญิงสาวชาววัง
หากหมิงโร่รู้ว่าซือห้าวเฉินคิดเช่นนี้ ตาขาวของเธอคงจะกลอกไปถึงท้ายทอยแน่นอน----ตัวอักษรที่เธอฝึกเป็นแบบของราชวงศ์ซ่ง ถึงแม้จักรพรรดิซ่งฮุ่ยจงจะไม่จักรพรรดิที่แข็งแกร่งนัก แต่ก็ถือเป็นจักรพรรดิองค์หนึ่ง ย่อมไม่ใช่วิถีของหญิงสาวในชาววังอย่างแน่นอน !
ซือห้าวเฉินยื่นใบสั่งยาที่หมิงโร่เขียนให้กับไป๋เชิน : “คัดลอกสำเนาให้พ่อบ้านโจวหนึ่งฉบับ”
เมื่อไป๋เชินเห็นลายมือของหมิงโร่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมอยู่ในใจ----ราชวงศ์หนานหรงเลี้ยงดูองค์ชายอย่างไร เขาไม่อาจรู้ได้ แต่คงใช้ความพยายามอย่างมากในการเลี้ยงดูฝึกฝนองค์หญิง ลายมือขององค์หญิงหงสา หญิงสาวตระกูลสูงศักดิ์ในตงเหิงไม่มีทางเทียบได้เลย
ไป๋เชินนำสำเนาที่คัดลอกใบสั่งยายื่นให้กับพ่อบ้านโจว : “รีบไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าทำให้การปรุงยาของพระชาต้องล่าช้า”
“ขอรับ” พ่อบ้านโจวรับใบสั่งยามา แล้วรีบไปจัดการทันที
ห้องหนังสือกลับสู่ความเงียบ ซือห้าวเฉินมองดูใบสั่งยาแผ่นนั้น ในสมองก็ปรากฏภาพของสิ่งที่หมิงโร่ทำตลอดสองวันที่ผ่านมา บนโลกใบนี้คนที่เขาไม่สามารถมองออกได้ มีอยู่ไม่มากนัก และหมิงโร่ก็คือหนึ่งในนั้น