บทที่ 6 เจ้าหนูน้อย
รถม้าแล่นผ่านถนนที่ดูแปลกตา อาจเพราะยังเป็นเวลาเช้า ผู้คนบนถนนจึงมีอยู่บางตา มีเพียงโดยรอร้านขายอาหารเช้าที่พอมีคนอยู่บ้าง ชายหนุ่มเปิดฝาหม้อขึ้น ไอร้อนสีขาวฟุ้งกระจายออกมา ซาลาเปาถูกจัดวางอยู่ในซึ้งนึ่งอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นหอมของซาลาเปาโชยเข้ามาในรถม้า
หมิงโร่อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่น ท้องที่ไม่ได้กินอาหารมานานเริ่มทำการประท้วงแล้ว
“อะอี” น้ำเสียงเคร่งขรึมดังขึ้น หมิงโร่ตกใจและมองตามเสียงนั้นไป ซือห้าวเฉินตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาของเขาดูสดใสและเฉียบแหลม ไม่มีท่าทีมึนงงจากการหลับไปเป็นเวลานานเลยสักนิด
หัวหน้าองครักษ์ลับที่อยู่ด้านนอกขานรับแล้วเดินเข้ามา จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง : “นายท่าน”
“ถึงไหนแล้ว ?”
“อยู่นอกเมืองขอรับ อีกชั่วก้านธูปหมดก็กลับถึงจวนแล้วขอรับ” อะอีตอบกลับ
“อืม” ซือห้าวเฉินขานรับ อะอีถอยออกจากรถม้าไป
หมิงโร่เดินเข้ามาหาซือห้าวเฉิน : “ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่านอ๋อง”
“อืม”
หมิงโร่จับข้อมือของซือห้าวเฉิน ปิดตาลงเล็กน้อย ใช้ระบบการแพทย์ตรวจร่างกายทั้งหมดให้กับเขา และถือโอกาสตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจและออกซิเจนในเลือดไปด้วย
ซือห้าวเฉินเห็นหมิงโร่หดมือกลับ ก็ถามขึ้นว่า : “เป็นอย่างไรบ้าง ?”
“อาการไม่สู้ดีนัก จะต้องทำการรักษาต่อ และนอนลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน” หมิงโร่พยายามพูดอ้อมค้อม หากเป็นยุคปัจจุบัน ซือห้าวเฉินคงต้องเข้าห้อง ICU เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยทันที
“รักษาอย่างไร ?” ในสมองของซือห้าวเฉิน ปรากฏภาพของขวดรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดเมื่อคืนนี้ รวมไปถึงยาที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในร่างกายโดยตรงเหล่านั้นด้วย ดวงตาที่สดใสก็หม่นหมองลงทันทีโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจะฝังเข็มให้ท่านอ๋องทุกวัน และยังต้อง......ปรุงยาเม็ดบางชนิดอีกด้วย”
อาการของซือห้าวเฉินในตอนนี้ต้องรักษาด้วยการให้ยาทางเส้นเลือด แต่วิธีการเช่นนี้คงดูแปลกประหลาดสำหรับคนในยุคโบราณ อีกทั้งเธอเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าอุปกรณ์ให้ยาทางเส้นเลือดมาจากไหน ส่วนการมีอยู่ของระบบการแพทย์ อย่างไรเสียก็จะเปิดเผยไม่ได้เด็ดขาด เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ผู้มีความสามารถย่อมนำพามาซึ่งความเดือดร้อน” เธอรู้ถึงเหตุผลข้อนี้ดี
ถึงแม้จะใช้การให้ยาทางเส้นเลือดไม่ได้ แต่ยาแผนปัจจุบันบางอย่างก็ยังต้องใช้ ดังนั้น หมิงโร่จึงต้องนำเรื่องปรุงยาเม็ดมาใช้ในการกล่าวอ้าง
“ได้” ซือห้าวเฉินพยักหน้า แล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
หมิงโร่หิว รู้สึกว่าหนทางที่มุ่งหน้าไปสู่จวนหยุนชินอ๋องยังอีกยาวไกล หากไม่ใช่เพราะไม่มีเงินติดตัว เธอคงคิดที่จะหยุดรถเพื่อลงไปซื้อซาลาเปาสักสองสามลูก
ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง พ่อบ้านโจวตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะกลับจวนมา ซ้ำยังพาพระชายากลับมาด้วย เขาได้ยินจางกงกงพูดว่า ตอนที่พระชายาอยู่ในเรือนไผ่ สิ้นลมหายใจไปแล้ว……
อะอีประคองซือห้าวเฉินขึ้นนั่งบนเสลี่ยง โดยมีองครักษ์สองคนหามเข้าจวนไป
หมิงโร่เดินตามหลังเสลี่ยงอย่างเงียบ ๆ หลังจากเดินผ่านกำแพงโบราณ ก็มีเจ้าหนูน้อย สวมใส่ชุดผ้าซาตินสีขาววิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม่นมและคนรับใช้ด้านหลังต่างไล่ตามเขาไม่ทัน จึงทำได้เพียงวิ่งไปพลางเตือนไปพลางว่า : “ซื่อจื่อ วิ่งให้ช้าลงหน่อยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะหกล้ม......”
ตอนที่เจ้าหนูน้อยวิ่งมาถึงด้านหน้าเสลี่ยงก็หายใจเหนื่อยหอบ ดวงตากลมโตเป็นประกายทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดง : “ท่านพี่......” ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรออก รีบคุกเข่าลงกับพื้นแล้วทำความเคารพ “ลูกคารวะเสด็จพ่อ” จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไป๋เชิน แล้วหันมองหมิงโร่ “คารวะเสด็จแม่......”
หมิงโร่ผงะไป เธอหันมองโดยรอบ จึงมั่นใจว่า “เสด็จแม่” ที่พูดถึงคือตนเอง
มองดูโดยละเอียด บนใบหน้าเล็ก ๆ อวบอ้วนของเจ้าหนูน้อย มีดวงตากลมโตที่ดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ จมูกโด่ง ปากเล็กเป็นกระจับ ช่างน่ารักเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้ง เจ้าหนูน้อยละม้ายคล้ายคลึงกับซือห้าวเฉินอย่างยิ่ง หากจะพูดว่าทั้งสองไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด คงไม่มีใครเชื่อ
“เซวียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ?” ซือห้าวเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไป๋เชินเดินขึ้นไปทำความเคารพ : “ก่อนหน้านี้ ตอนเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นที่จวน ไท่ซ่างหวงได้สั่งให้คนคุ้มกันซื่อจื่อกลับเมืองหลวง เพื่อที่จะ......”
ถึงแม้ไป๋เชินไม่ได้พูดต่อ แต่ซือห้าวเฉินก็รู้ดี ในแผ่นดินกว้างใหญ่นี้ “หยุนชินอ๋อง” ไม่ได้หมายความถึงตัวเขาเพียงคนเดียว แต่หมายถึงความรับผิดชอบและเกียรติยศ ขอเพียงสามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้ ก็สามารถเป็นหยุนชินอ๋องได้ ใช่ว่าไม่มีเขาแล้วจะไม่มีใครแทนที่ได้
“มาหา......พ่อ......ตรงนี้เร็ว” ซือห้าวเฉินยื่นมือที่แข็งแรงของเขาออกมา
ไป๋เชินรีบอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นมา แล้ววางลงในอ้อมแขนของซือห้าวเฉิน
ถึงแม้เจ้าหนูน้อยจะพยายามเงยหน้า แต่น้ำตาก็ยังคงหยดลงด้านล่างอยู่ดี รู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงซุกใบหน้าที่เปียกชื้นลงไปบนอกของซือห้าวเฉิน : “ข้าคิดว่า......บนโลกนี้......ต่อไปจะเหลือแค่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีท่านพ่อ ไม่มีท่านแม่ และไม่มี......”
ซือห้าวเฉินรีบพูดตัดบทเจ้าหนูน้อย : “ไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้คนเดียวแน่......” ลูบหัวของเขา “หากไม่เชื่อ ก็มาเกี่ยวก้อยสัญญากัน......”
เจ้าหนูน้อยยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น พูดเสียงอู้อี้ : “ท่านแม่ก็เคยเกี่ยวก้อยกับข้า......ถึงแม้นางไม่อาจทำตามสัญญา......แต่ข้าก็รู้ว่านางพยายามถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่โทษนาง......”
หมิงโร่รู้สึกจุกอก ดวงตาเริ่มร้อนผ่าว
ถึงแม้เด็กที่รู้จักร้องไห้จะมีคนคอยเอาใจ แต่เด็กที่มีเหตุผลกลับทำให้คนรู้สึกสงสาร ยังพอจำได้ราง ๆ ว่า สมัยเด็ก พ่อกับแม่เข้าร่วมทีมแพทย์เพื่อช่วยเหลือประเทศโลกที่สาม ตอนที่ออกเดินทางก็เกี่ยวก้อยสัญญากับตนเองตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ บอกว่าเมื่อถึงวันเกิดอายุครบเจ็ดขวบของเธอ ก็จะกลับมาหา แต่ว่า พวกเขาเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน.....
พ่อบ้านโจวมองดูหมิงโร่ที่ยืนนิ่งอยู่ใต้กำแพงโบราณ แล้วหันมองเสลี่ยงที่เดินห่างไปไกลแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นเบา ๆ ว่า “ใต้เท้าไป๋ พระชายาพระองค์นี้ ควรจะให้อยู่ที่ไหนดี ?”
หลังจากติดตามท่านอ๋องมาหลายปี หากองค์หญิงหงสาผู้นี้ไร้ประโยชน์ ท่านอ๋องไปมีทางพานางกลับจวน เพียงเพราะนางเป็นพระชายาที่ฮ่องเต้ตานซู่พระราชทานมาให้เด็ดขาด : “ให้อยู่ที่เรือนไผ่ก่อนก็แล้วกัน”
“ขอรับ” พ่อบ้านโจวพยักหน้า วันนั้นที่พระชายาเข้าจวนมาก็ให้พักที่เรือนไผ่ ถึงแม้ที่ตั้งของเรือนไผ่จะอยู่ไกลออกมาสักหน่อย แต่ในจวนก็ถือได้ว่าเป็นตำหนักใหญ่ ไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท
“ตอนนี้ยังไม่อาจปฏิบัติต่อพระชายาอย่างนายหญิงได้” ไป๋เชินเงียบไปสักครู่ แล้วพูดต่อว่า “แต่ก็ไม่อาจไม่เห็นพระชายาเป็นนายหญิงได้เช่นกัน”
“ฮะ......” พ่อบ้านโจวรู้สึกว่าสิ่งที่ใต้เท้าไป๋พูดมานั้น เข้าใจยากยิ่งกว่าการไขปริศนาคำทำนายของลัทธิเต๋าเสียอีก “ใต้เท้าไป๋......”
“เจ้าคิดเอาเองก็แล้วกัน” ไป๋เชินไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จึงเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก
พ่อบ้านโจวคิดหาทางออกจนสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเดินบากหน้าเข้าไป : “พระชายา ข้าน้อยจะส่งท่านกลับไปพักผ่อนที่เรือนไผ่”
“อ้อ” เมื่อครู่หมิงโร่กำลังตกอยู่ในห้วงความทรงจำ เมื่อถูกพ่อบ้านโจวขัดจังหวะ จึงพบว่าที่นี่เหลือเพียงแค่ตัวเธอกับคนที่มีลักษณะเหมือนพ่อบ้านคนนี้เท่านั้น “ไม่ทราบจะเรียกท่านว่าอย่างไรดี ?”
“ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยชื่อโจวยี่ เป็นพ่อบ้านของจวน”
หมิงโร่เดินตามพ่อบ้านจวนไปประมาณยี่สิบนาที เห็นทุ่งดาบไผ่สีเขียว ลมโชยอ่อนพัดมา เสียงดังซู่ซ่าทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ เดินตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหินสีเขียวผ่านป่าผืนนี้ ก็พบกับห้องแถว อาจเป็นเพราะยังเป็นเวลาเช้ามาก ภายในเรือนไผ่จึงเงียบสงัด ตลอดทางที่เดินผ่านมา ไม่เห็นใครสักคน
โจวยี่นำทางหมิงโร่เข้าไปในห้องโถงหลัก แล้วกลับออกไป
ตลอดการเดินทาง หมิงโร่ทั้งเหนื่อยทั้งหิว เท้าที่จัดการไปเมื่อคืนก็รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว รู้สึกเหมือนแทบจะเป็นลมหมดสติไป
ตอนนี้เอง มีหญิงรับใช้สุ่ยลู่สวมชุดกระโปรงแขนต่างสีเดินเข้ามา เมื่อเห็นหมิงโร่ก็รีบทำความเคารพ : “พระชายา ขอทรงอายุยืนหมื่นปี”