บทที่ 5 เวียนหัวแต่ไม่ล้ม
ถึงแม้จะได้ยินมาก่อนแล้วว่ามีนักฆ่า แต่ตอนที่หมิงโร่ได้เห็นนักฆ่าเข้าจริง ๆ ก็ยังรู้สึกตกใจไม่น้อย
ยี่สิบกว่าคน สวมชุดคลุมยาวดำตั้งแต่หัวจรดเท้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง การเคลื่อนไหวแทบจะไร้เสียง ดู ๆ ไปแล้วเหมือนนินจาในหนังสือการ์ตูน
แต่การแสดงออกของซือห้าวเฉินทำให้หมิงโร่ต้องประหลาดใจยิ่งกว่า การลงมือที่สะอาดหมดจด และรวดเร็วจนกระทั่งมองไม่ทัน ทุกที่ที่เขาเคลื่อนตัวผ่านจะมีชายชุดดำล้มลงกับพื้น และมีเลือดสาดกระเซ็นลงบนพื้นหญ้า
เมื่อเห็นสถานการณ์ผิดปกติ ชายชุดดำคนหนึ่งจึงหันหลังเตรียมตัวจะหนี แต่ซือห้าวเฉินกลับใช้กระบี่ฟันนักฆ่าที่อยู่ตรงหน้า แล้วใช้เท้าเตะมีดที่อยู่ในมือของเขา พุ่งตรงเข้าไปปักที่ด้านหลังของคนที่กำลังวิ่งหนี
คนผู้นั้นล้มคว่ำหน้า แล้วหันกลับมามองซือห้าวเฉินด้วยแววตาหวาดกลัว
วรยุทธ์ของหยุนชินอ๋องฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าโรคหัวใจของเขารักษาหายแล้ว ?
เขาอยากนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่ผู้เป็นเจ้านาย แต่ว่า ไม่มีโอกาสอีกแล้ว......
สำหรับผู้ที่อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด เวลาสิบห้านาทีถือว่าไม่นานนัก ตอนที่คนชุดดำคนสุดท้ายล้มลง ซือห้าวเฉินก็ยืนอยู่ท่ามกลางป่าเขา ราวกับเทพเจ้าแห่งความตายที่คอยเก็บเกี่ยวชีวิตมนุษย์
โชคดีที่หมิงโร่เองก็เคยออกปฏิบัติภารกิจทางการแพทย์ในสนามรบ มิเช่นนั้นเมื่อต้องมาเห็นศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นเช่นนี้ คงต้องเป็นลมหมดสติไปแน่นอน
เธอรู้สึกหวาดกลัวในใจขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามีชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากป่า การแต่งกายแต่งต่างไปจากกลุ่มแรกเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ปิดบังใบหน้า หมิงโร่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดสติอยู่บนต้นไม้
ซือห้าวเฉินเองก็ดูเหมือนกำลังจะหมดสติแล้ว เช่นนี้จะทำอย่างไรดี !
เมื่อชายชุดดำเหล่านั้นตรงเข้ามาอยู่ตรงหน้าของซือห้าวเฉิน กลับค่อย ๆ คุกเข่าลง : “ข้าน้อยมาช้า ขอนายท่านโปรดลงโทษด้วย”
ที่จริงแล้วไม่ใช่นักฆ่า หมิงโร่ลูบอกของตนเอง วันนี้ช่างเป็นวันที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ ดูเหมือนว่าหากคิดจะใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ไม่รู้จักเช่นนี้ คงจะต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งไม่น้อย
ได้ยินไม่ชัดเจนนักว่าซือห้าวเฉินพูดอะไร จากนั้นก็มีคนชุดดำคนหนึ่งเหาะขึ้นมา แล้วอุ้มหมิงโร่ลงไปตรงหน้าเขา
หมิงโร่อดไม่ได้ที่จะพูดให้ร้าย วิชาตัวเบาอะไรกัน น่าตกใจขนาดนี้ เมื่อครู่ซือห้าวเฉินพาเธอเหาะขึ้นมาบนต้นไม้ใหญ่สูงกว่าสิบเมตร เธอก็รู้สึกเวียนหัว แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลาสนใจตนเองแล้ว รีบตรงเข้าไปตรวจดูชีพจรของซือห้าวเฉินทันที
เมื่อหมิงโร่ตรวจดูชีพจรของซือห้าวเฉิน ก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย----เขาหมดสติไปแล้ว แต่กลับยืนอยู่ตรงนี้ได้ด้วยการใช้กระบี่ช่วยค้ำยันเอาไว้ ตาทั้งสองข้างค่อย ๆ ปิดลง ราวกับกำลังตกสู่ห้วงแห่งความคิด
หมดสติแต่ไม่ล้ม คนผู้นี้ต้องมีความหยิ่งทระนงแค่ไหนกัน เอาล่ะ นับถือว่าคุณเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง
หมิงโร่รีบดึงเข็มเงินที่ปักอยู่ตรงหน้าอกของซือห้าวเฉินออกมา แล้วป้อนยาเข้าไปในปากเขาอีกครั้ง
“ตอนนี้นายท่านสามารถเคลื่อนไหวได้หรือไม่ ?” หนึ่งในคนชุดดำเอ่ยถามขึ้น หมอเทวดาเซวเคยกำชับเอาไว้ว่า หากอาการของนายท่านกำเริบ ห้ามเคลื่อนย้ายโดยพลการเด็ดขาด
“รอเดี๋ยว ให้ยาออกฤทธิ์ก่อน” หมิงโร่แสร้งทำเป็นตรวจชีพจร แต่ที่จริงเธอเปิดระบบการแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทั้งหมดให้กับซือห้าวเฉิน อาการของเขาดีกว่าที่หมิงโร่คาดการณ์เอาไว้มาก “หลังจากผ่านไปสิบห้านาที ก็สามารถเคลื่อนย้ายเขาได้แล้ว”
หมิงโร่ให้องครักษ์ลับทำเปลสนามอย่าง่ายขึ้น เพื่อหามซือห้าวเฉินในท่าราบ คนกลุ่มนี้เดินทางกว่าครึ่งค่อนวัน จึงสามารถออกจากป่ามาได้
พระอาทิตย์ตกดิน มีรถม้าสีเทาดูซอมซ่อเล็กน้อย จอดอยู่ข้างทางสายเล็ก ๆ
หัวหน้าองครักษ์ลับเดินเข้าไปกระซิบกับคนขับรถม้าสองสามคำ ทั้งสองยกซือห้าวเฉินใส่เข้าไปในรถม้า จากนั้นคนขับรถม้าก็วางบันไดไม้เล็ก ๆ แล้วโค้งคำนับลงด้านข้าง : “เชิญพระชายาเสด็จขึ้นรถ”
หมิงโร่ผงะไป จากนั้นจึงตั้งสติขึ้นมาได้ว่า พระชายาที่พูดถึงก็คือตนเอง จึงยกชายกระโปรงสีแดงทับทิมขึ้นมา แล้วก้าวขึ้นรถม้าไป
เมื่อเข้าไปในรถม้า หมิงโร่ก็พบว่าภายในรถม้าที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายคันนี้ ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภายในรถม้าปกคลุมไปด้วยขนสัตว์สีขาวราวหิมะ มีไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นห้อยอยู่ทั้งสีมุม คงเป็นเพราะกลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของซือห้าวเฉิน จึงมีชั้นผ้าบาง ๆ ปกคลุมไข่มุกราตรีทุกเม็ดเอาไว้ ทำให้แสงสว่างดูนุ่มนวลลงมาก
ซือห้าวเฉินนอนอยู่ทางด้านหนึ่งของรถม้า หมอนที่ใช้หนุนนอนทำจากหยกสีขาวที่ให้ความรู้สึกเย็นสบาย มีผ้านวมสีเหลืองเหมือนผลบ๊วยห่มร่างกายอยู่ ตรงมุมมีกระถางธูปวางเอาไว้ และภายในมีธูปหอมจุดอยู่
มองดูขนสัตว์ที่ขาวโพลนจนทำให้ใจสั่น หมิงโร่ก็แอบถอดรองเท้า แล้วนั่งลงข้าง ๆ ซือห้าวเฉิน รถม้าเริ่มเคลื่อนตัว แล้วก็ไม่รู้สึกถึงการสั่นไหวมากนัก
หมิงโร่ตรวจชีพจรให้ซือห้าวเฉินอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าเขาไม่มีทางฟื้นขึ้นมาภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ก็หยิบยาออกมาจากระบบการแพทย์อีกครั้ง แล้วใส่สายน้ำเกลือให้กับซือห้าวเฉิน
ในฐานะที่เป็นศัลยแพทย์ที่โดดเด่นที่สุด การผ่าตัดที่กินเวลายาวนานกว่าสิบชั่วโมง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก อันที่จริงสภาพร่างกายของหมิงโร่ถือว่าดีมาก แต่ร่างกายของร่างเดิมทีเป็นองค์หญิงไม่เคยผ่านการตรากตรำ หมิงโร่จึงพิงตัวลงบนรถม้าแล้วงีบหลับไป
ซือห้าวเฉินลืมตาขึ้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาก็คือ----หมิงโร่ซึ่งนั่งห่างจากเขาไปเพียงแค่หนึ่งฟุต ปิดตาทั้งสองข้างลงเบา ๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
เหนือหัวมีขวดรูปร่างแปลก ๆ แขวนอยู่ ด้านล่างของขวดมีหลอดเรียวยาวเชื่อมต่ออยู่
สายตาของซือห้าวเฉินมองตามหลอดนั้นมา คิดว่าของเหลวใสที่อยู่ภายในขวด น่าจะไหลลงมาตามหลอกเส้นนี้ แล้วเข้าสู่ร่างกายของตนเอง เดิมทีเขาคิดที่จะดึงหลอดนั้นออกจากด้านหลังมือของตนเอง แต่ร่างกายกลับไม่มีแรง หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุด......ก็ทำให้ตนเองกลับสู่ภวังค์ของการหลับใหลอีกครั้ง
รถม้าสั่นสะเทือน ทำให้หัวของหมิงโร่กระแทกเข้ากับผนังรถ
“โอ๊ย” หมิงโร่ลูบหัวที่ถูกกระแทกจนเจ็บ เมื่อเห็นว่ายาหยดจนเกือบหมดแล้ว ก็รีบดึงเข็มออกจากซือห้าวเฉิน แล้วลุกขึ้นเพื่อเก็บขวดบรรจุ ในขณะที่ลุกขึ้นกลับรู้สึกเจ็บปวดที่เท้าราวกับเหยียบลงบนปลายมีด
หมิงโร่กัดฟันเก็บอุปกรณ์ให้น้ำเกลือจนเรียบร้อย จากนั้นจึงนั่งลง แล้วตรวจสอบเท้าทั้งสองข้างของตนเอง
ดูเหมือนว่าเท้าขององค์หญิงคู่นี้ คงไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน ที่อุ้งเท้าและฝ่าเท้าล้วนมีตุ่มหนองพุพอง มีสองทุ่มที่แตกเรียบร้อยแล้ว และมีเลือดไหลซึมออกมา
ถึงแม้หมิงโร่จะเป็นศัลยแพทย์ แต่ความเจ็บปวดรุนแรงเช่นนี้ เมื่อเกิดขึ้นกับร่างกายของตนเอง ก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวไม่น้อย
ถึงแม้ชาติก่อนจะไม่ใช่เจ้าหญิง แต่ก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลขุนนางแพทย์เสวียน ต่อให้ออกปฏิบัติภารกิจ อย่างมากก็อยู่เบื้องหลังเพื่อคอยดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ จะเคยได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้ได้อย่างไร
เธอหยิบอุปกรณ์และยาที่จำเป็นออกมาจากระบบการแพทย์ หลังจากฆ่าเชื้อแล้ว ก็กำจัดหนองจนหมด จากนั้นจึงทำความสะอาดบาดแผล ทายา แล้วใช้ผ้าพันแผลเอาไว้
หลังจากจัดการกับเท้าทั้งสองข้างเรียบร้อย หน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าดูซีดเผือดเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า แล้วโอนตัวลงบนรถม้าเพื่อพักผ่อนอีกครั้ง
เธอเองก็อยากเป็นเหมือนซือห้าวเฉิน นอนลงให้ดี ๆ แล้วหลับให้เต็มที่สักตื่น แต่กลัวว่าหลังจากที่นอนหลับไปแล้ว หากอาการของซือห้าวเฉินเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น ตนเองจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ทันเวลา
แน่นอนว่า เธอสามารถวางมือเอาไว้บนข้อมือของซือห้าวเฉิน แล้วเปิดระบบการแพทย์เพื่อติดตามอาการของเขาได้ แต่เห็นได้ชัดว่าซือห้าวเฉินนั้นเป็นคนถือตัว หากคิดว่าเธอฉวยโอกาสเขาขึ้นมา ตนเองคงอธิบายให้กระจ่างได้ยาก
รถม้าวิ่งไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งคืน เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าจาง ๆ ส่งเข้ามาในรถ หมิงโร่ก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ดังมาจากด้านนอก
หมิงโร่ลุกขึ้นนั่ง แล้วแง้มผ้าม่านตรงขอบหน้าต่างเพื่อทองออกไปด้านนอก ด้านนอกมีคนยืนต่อแถวกันหลวม ๆ เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าพวกเขาล้วนสวมใส่ผ้ากระสอบ ถือหรือสะพายตะกร้าที่ภายในบรรจุผักสดและผลไม้เอาไว้
รถม้าไม่ได้จอด คนขับรถทำเพียงแค่ตะโกนขึ้นว่า : “คนของจวนหยุนชินอ๋อง”
“ไป ๆ ๆ หลบไปด้านข้าง อย่าขวางทางผู้สูงศักดิ์......” ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังเอี๊ยดอ๊าด รวมไปถึงเสียงพูดประจบประแจงของทหารยามที่เฝ้าประจูเมืองอยู่ “เชิญใต้เท้า”