บทที่ 15 มีนายหญิงช่างดีจริง ๆ
“พ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านโจวรีบยื่นสัญญาขายตัวของเฉ่าเอ๋อร์ให้กับจือซู และแอบรู้สึกโล่งใจ
คุณหนูตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็รู้สึกเจ็บเท้าเป็นอย่างยิ่ง จึงมีอารมณ์ฉุนเฉียว หากตนเองทำงานล้มเหลว คงต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่นอน ซวงหวนจึงรีบเอ่ยปากขึ้นว่า : “พระชายาเพคะ สาวใช้เจ้าเล่ห์เช่นนี้ ยากที่จะอบรมสั่งสอนนะเพคะ......”
“ตอนนี้นางเป็นสาวใช้ในลานของข้าแล้ว ดูเหมือนแม่นางซวงหวงจะก้าวก่ายมากเกินไปหรือเปล่า ?” หมิงโร่เชิดหน้า ดวงตาทั้งคู่จ้องมองลงมาที่ทุกคนอย่างเย่อหยิ่ง
“หม่อมฉันมิกล้า” ซวงหวนก้มหน้า เมื่อวานยังรู้สึกว่าพระชายาผู้นี้จิตใจดี แต่วันนี้ทำไมถึงพูดยากเช่นนี้
“ต่อไปอย่าให้เกิดเรื่องขายคนรับใช้ เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยจำพวกถั่วแดงถั่วเขียวเช่นนี้อีก หากคนอื่นรู้เข้า จะคิดว่าจวนหยุนชินอ๋องเราไร้ความปรานี จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องได้” ไม่ว่าจะเป็นเจ้าผู้พี่หรือจะเป็นเจ้าผู้น้อง ความผิดที่ทำลายชื่อเสียงของจวน เจ้าจงแบกรับเอาไว้ก่อนเถอะ
“หม่อมฉันทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านโจวจ้องซวงหวนตาเขม็ง
ซวงหวนโกรธจนตัวสั่น ก็แค่ขายสาวใช้คนเดียว ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปได้นะ
พ่อบ้านโจวยืนมองพระชายาเดินจากไป แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าการที่ในจวนมีนายหญิงช่างเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ อย่างไรเสียท่านอ๋องและใต้เท้าไป๋เองก็ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เจ้าผู้พี่ผู้นั้นถือว่าได้รับความเอ็นดูองค์ไท่เฟย จึงไม่เคยเห็นว่าบรรดาคนรับใช้ก็เป็นคนเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย
ยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งบ่าย ทำให้หมิงโร่รู้สึกเหนื่อยล้า จึงเอนตัวลงบนต่างไม้ แล้วใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งหนุนนอน
เมื่อลืมตาขึ้นเล็กน้อย ก็พบกับเฉ่าเอ๋อร์ที่กำลังแสดงท่าทีลังเล เหมือนมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดแต่ไม่กล้า :
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
เฉ่าเอ๋อร์คุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ : “พระชายาเพคะ หม่อมฉันไม่ได้จำผิดจริง ๆ นะเพคะ เมื่อคืนพี่ซวงหวนมาที่ห้องครัว แล้วบอกว่าให้เตรียมโจ๊กถั่วเขียวเป็นมื้อเช้าให้กับเจ้าผู้พี่ เช้าวันนี้หม่อมฉันนำมื้อเช้าไปส่งให้ นางกลับยืนยันเสียงแข็งว่าต้องการโจ๊กถั่วแดง หม่อมฉันทำเพียงแค่โต้เถียงไปหนึ่งประโยคเท่านั้น เจ้าผู้พี่ก็กล่าวหาหม่อมฉันล่วงเกินผู้เป็นนาย ต้องการจะขายหม่อมฉันออกไป......หากหม่อมฉันโกหกแม้เพียงครึ่งคำ ขอให้ฟ้าผ่าตายเพคะ”
“ไม่ว่าจะถั่วแดงหรือว่าถั่วเขียวก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น ที่นางต้องการขายเจ้าไม่ใช่เพราะเรื่องโจ๊กหรอกนะ” หมิงโร่ถอนหายใจ
“ฮะ......” เฉ่าเอ๋อร์ผงะไปครู่หนึ่ง เมื่อครุ่นคิดดูสักพัก ก็ดูเหมือนจะคิดออกแล้ว
“เจ้าจงตั้งใจทำงานที่เรือนไผ่อย่างสบายใจเถอะ กลับไปที่ห้องครัวก่อน อีกสักสองสามวันข้าจะให้พ่อบ้านโจวช่วยจัดการให้” หมิงโร่เองก็มองออกว่า พ่อบ้านโจวไม่อยากขายเฉ่าเอ๋อร์
“หม่อมฉันยินดีจะอนู่ปรนนิบัติรับใช้พระชายาเพคะ หม่อมฉันอยู่กับแม่มาตั้งแต่เด็ก สามารถทำอาหาร ขนม และของว่างได้” เฉ่าเอ๋อร์พูดต่อว่า “พระชายาอยากเสวยอะไรทรงบอกหม่อมฉันได้เลยเพคะ หม่อมฉันทำออกมาได้แน่นอน”
หมิงโร่รู้สึกเบื่อหน่ายกับสตูที่ห้องครัวส่งมาเต็มทนแล้ว เมื่อได้ยินว่าอยากกินอะไรก็ทำออกมาได้ทั้งหมด ทำให้รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง : “เช่นนั้นก็ดี ต่อไปเจ้าอยู่ที่เรือนไผ่ ได้เบี้ยเลี้ยงเทียบเท่ากับจือซู ให้ชื่อว่าจือเฉ่าก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงพระราชทานชื่อให้เพคะ” จือเฉ่าและจือซูหันมองหน้ากัน ทั้งสองต่างรู้สึกดีใจ
จือเฉ่าไปเตรียมมื้อเที่ยงในครัว และถือโอกาสพูดคุยกับผู้เป็นแม่ เพื่อให้นางคลายความกังวล
เมื่อนางหลี่รู้ว่าบุตรสาวไม่ถูกขายออกไปนอนจวน ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้กลายเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายพระชายาอีกด้วย : “หากไม่ใช่เพราะพระชายา เจ้าคงถูกเจ้าผู้พี่ขายให้กับสถานที่สกปรกนั่นแล้ว พระชายาเป็นผู้มีพระคุณของเรา ต่อไปจะต้องปรนนิบัติรับใช้อย่างสุดความสามารถ”
“ลูกทราบแล้ว” จือเฉ่าพยักหน้า
นางหลี่นำกล่องข้าวมาใส่อาหารด้วยตนเอง จากนั้นจึงยื่นตะกร้าไม้ไผ่ที่คลุมด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ยื่นให้กับจือเฉ่า : “นี่คือผลไม้สดที่ที่ซื้อมาจากทางใต้ ว่ากันว่าเป็นสินค้าพิเศษของหนานหรง ท่านอ๋องไม่ชอบเสวยผลไม้ แม่ว่าพระชายาคงจะคิดถึงอาหารจากบ้านเกิด จึงเก็บเอาไว้ให้พระชายาจำนวนหนึ่ง”
จือเฉ่ากลับถึงเรือนไผ่ ก็ค่อย ๆ เปิดผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ที่คลุมตะกร้าออกราวกับนำเสนอสมบัติล้ำค่า : “พระชายาเพคะ ทรงดูสิเพคะว่านี่คืออะไร”
จือซูวางอาหารลง แล้วเหลือบมอง : “ลิ้นจี่นี่ข้ารู้จัก แต่ผลไม้อีกสองอย่างที่มีหนามคือผลอะไร......”
“ว้าว ที่นี่มีสับปะรดด้วยหรือนี่ ?” ต้องขอบคุณคำอ้างอิงจาก “เห็นม้าเร็วพระสนมพลันแย้มสรวล” ที่ทำให้หมิงโร่รู้ว่าในสมัยโบราณมีลิ้นจี่ แต่กลับไม่เคยรู้ว่ามีสับปะรดด้วย
“ตงเหิงไม่มีเพคะ มารดาของหม่อมฉันบอกว่าส่งมาจากหนานหรง” จือเองก็ไม่รู้จักผลไม้ที่เต็มไปด้วยหนามชนิดนี้ ดูไม่เหมือนลูกแพร์เลยสักนิด แต่ทำไมถึงมีชื่อใกล้เคียงกัน
“อ้อ” หมิงโร่พยักหน้า เธอไม่ใช่ร่างเดิม ความรู้สึกที่มีต่อหนานหรงจึงมีข้อจำกัด “สับปะรดนี่ยังไม่สุกดี หากนำมาทำขนมจะอร่อยกว่า”
หมิงโร่กินข้าวไปพลาง ก็อธิบายวิธีทำเค้กสับปะรด และหมูเปรี้ยวหวานสับปะรดให้จือเฉ่าฟังไปพลาง สิ่งที่เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับจือเฉ่าจริง ๆ : ที่จริงแล้วการทำขนมไม่ได้มีเพียงแค่การนึ่งและการทอดเพียงสองวิธีเท่านั้น แต่ยังสามารถอบได้ด้วย ยิ่งไม่กล้าคิดเลยว่า ผลไม้ก็สามารถนำมาทำอาหารได้ด้วย
หมิงโร่ตื่นจากนอนกลางวัน ก็ได้กลิ่นของขนมอบอันหอมหวาน จือเฉ่าทำเค้กสับปะรดเสร้จเรียบร้อยแล้ว หมิงโร่ให้จือซูจัดวางโต๊ะและเก้าอี้ใต้นั่งร้านปลูกองุ่น เตรียมตัวที่จะดื่มชามื้อบ่ายก่อน แล้วค่อยไปฝังเข็มให้กับหยุนชินอ๋องซึ่งเป็นที่พึ่งผู้ยิ่งใหญ่
หมิงโร่หยิบเค้กสับปะรดขึ้นมา เพิ่งกัดเข้าไปเพียงหนึ่งคำ ก็เห็นเด็กน้อยผิวพรรณผุดผ่อง ดูราวกับหยกแกะสลัก กำลังยืนชะเง้อไปมาอยู่ตรงประตูลาน หมิงโร่ไม่อาจต้านทานต่อสิ่งสวยงามได้ จึงกวักมือเรียกเขา : “เจ้าหนูน้อย มากินขนมเร็วเข้า”
“เอ๊ะ ซื่อจื่อน้อยนี่นา” จือซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สวนกล้วยไม้ที่ซื่อจื่อน้อยพักอาศัยอยู่ หากจากที่นี่ไม่ใกล้เท่าไรนัก
“ถวายพระพรเสด็จแม่” เจ้าหนูน้อยทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ช่างน่ารักเกินไปแล้ว แววตาของหมิงโร่เป็นประกายด้วยความรัก : “เด็กดี”
หมิงโร่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือให้กับเจ้าหนูน้อย จากนั้นจึงยื่นเค้กสับปะรดให้เขาหนึ่งชิ้น : “กินสิ”
“ขอบพระทัย......เสด็จแม่” เจ้าหนูน้อยเดินมาถึงที่นี่เพราะได้กลิ่นหอมจริง ๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ” หมิงโร่หยิกแก้มชมพูระเรื่อของเขา
เจ้าหนูน้อยยืนตัวแข็งทื่อ หูของเขาแดงเล็กน้อย เขาไม่เคยพูดคุยกับผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่จำความได้ ท่านพ่อและพี่ชายคนโตต่างไม่ค่อยอยู่บ้าน ท่านแม่เองก็เจ็บป่วยหลังการคลอด จึงไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง คนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา จึงมีเพียงแม่นมเท่านั้น
“เจ้ามาคนเดียวหรือ ?” หมิงโร่หันมองทางประตูลานอยู่นาน แต่กลับไม่เห็นมีใครตามมา
“อืม” เจ้าหนูน้อยพูดน้อย จุดนี้ถือว่าเหมือนกับซือห้าวเฉินเป็นอย่างยิ่ง
“จือเฉ่า เจ้าลองไปหาดูด้านนอกซิ ผู้ติดตามเมื่อหาซื่อจื่อไม่พบ เกรงว่าคงจะร้อนใจน่าดูแล้ว”
“เพคะ พระชายา”
สุดท้าย จือเฉ่าก็พาแม่นมคนหนึ่งเดินกลับมาอย่างรวดเร็ว
แม่นมสวมเสื้อคลุมสีม่วงเปลือกมังคุด เกล้ามวยผมสูง ปักปิ่นปักผมฝังพลอยเขียวสองชิ้น ถึงแม้แม่นมผู้นี้จะแต่งกายดูภูมิฐาน แต่เมื่อเห็นหมิงโร่ก็ยังคงทำความเคารพ : “พระชายา ขอทรงพระเจริญหมื่นปีเพคะ”
“ไม่ต้องมากพิธี” หมิงโร่พยักหน้า
“โชคดีที่พระชายาทรงให้ซื่อจื่อเที่ยวเล่นอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นหากซื่อจื่อหายตัวไป ต่อให้หม่อมฉันต้องตายสักหมื่นครั้ง ก็คงไม่อาจชดเชยความผิดนี้ได้” ใบหน้าของแม่นมจินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“แม่นมพาซื่อจื่อกลับไปเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมท่านอ๋องแล้ว” หมิงโร่ให้จือซูไปหยิบกระเป๋ายาของตนเองมา
“ข้าจะไปด้วย” เจ้าหนูน้อยมีสีหน้าจริงจัง
“ก็ได้” ตนเองก็เป็นเพียงแค่หมอคนหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับผู้เป็นลูกของที่พึ่งหลักหรอก
เจ้าหนูน้อยเห็นหมิงโร่ใส่ถุงผ้าเล็ก ๆ เข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเดินออกนอกลานไป : “เสด็จแม่ไปหา......เสด็จพ่อไม่ใช่หรือ ?”
“ก็ใช่นะสิ” หมิงโร่พยักหน้าอย่างงุนงง