บทที่ 14 คารวะท่านเป็นอาจารย์
“ขอบใจ” หมิงโร่พยักหน้า จือซูรีบนำเงินหนึ่งร้อยอีแปะให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นทันที
ตอนนี้เอง มีเด็กปรุงยาวิ่งออกมาจากหลังร้าน มองดูชายที่นอนอยู่บนเตียงไม้ ก็รีบวิ่งกลับไปด้านหลังและตะโกนขึ้นเสียงดัง : “อาจารย์ขอรับ......อาจารย์ มีคนไข้มาขอรับ......”
เนื่องจากไม่มีใครออกมาต้อนรับ หมิงโร่จึงสังเกตดูโรงหมอแห่งนี้อย่างละเอียด มีสภาพค่อนข้างเก่าแต่สะอาดเป็นอย่างยิ่ง สมุนไพรที่วางอยู่บนชั้นก็มีคุณภาพใช้ได้
ไม่นานนัก เด็กปรุงยาก็นำทางชายชราคนหนึ่งมา ชายชราคนนั้นมีอายุราว ๆ หกสิบปี ผมขาวโพลนใบหน้าแดงก่ำ สวมเสื้อผ้าหยาบสีเทา ดูไปแล้วเหมือนชาวนาที่ชรามากกว่าหมอ
ชายชราเดินเข้าไปตรวจชีพจร แล้วถอดเสื้อผ้าของชายหนุ่มออกดู : “ช่วยไม่ได้แล้ว กลับไปเตรียมงานศพเถอะ”
“ฮะ ?” ทำเช่นนี้ไม่ไร้ความรับผิดชอบไปหน่อยเหรอ หมิงโร่เองไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรักษาชายคนนี้ให้หายเป็นปกติได้ แต่ก็ควรจะทำความสะอาดบาดแผลและทายาให้พอเป็นพิธีบ้างไม่ใช่หรือ ?
“จะฮะทำไม ลำพังแต่บาดแผลขนาดใหญ่เช่นนี้ก็ยากที่จะรักษาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถูกพิษงูอีก หากเจ้ามีความสามารถที่จะปรุงยาชิงหลิงออกมาได้ ไม่แน่ว่าอาจยังพอมีโอกาสมีชีวิตรอด” ชายชราส่ายหัว “อย่างไรเสียข้าก็ไม่มียาชิงหลิงนั่น”
จือซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าช่วยคนจะต้องใช้ยาชิงหลิงด้วย
ยาชิงหลิงเป็นยาถอนพิษศักดิ์สิทธิ์ของกรุงเป่ยฉือ มีเพียงไม่กี่เม็ดอยู่ในมือของฮ่องเต้และไทเฮา ท่านอ๋องเองก็น่าจะมี แต่ท่านอ๋องคนไม่ยอมนำออกมาเพื่อช่วยชีวิตคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้แน่นอน
“ในฐานะที่เป็นหมอ ทำไมถึงได้ยอมแพ้ก่อนที่คนไข้จะหมดลมหายใจล่ะ ต่อให้รักษาไม่หาย แต่ในขณะที่คนไข้ยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องพยายามบรรเทาความเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ” หมิงโร่รู้สึกว่านี่คือจรรยาบรรณพื้นฐานของคนเป็นหมอ
“หากคิดจะบรรเทาความเจ็บปวดให้คนที่ใกล้ตาย แค่ใช้มีดแทงก็สิ้นเรื่องแล้ว” ชายชราเหลือบมองหมิงโร่ เขาเชื่อมั่นในทักษะการแพทย์ของตนเองอย่างยิ่ง “หากใครสามารถรักษาชายผู้นี้ให้หายได้ ข้าจะขอคารวะเขาเป็นอาจารย์ทันที”
หมิงโร่กลอกตา ต่อให้เจ้าคิดจะคารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้ายังไม่อยากจะรับเลย !
“รีบไล่พวกเขาออกไปได้แล้ว” ชายชราตะโกนด้วยความไม่พอใจ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าหลังร้านไป
“ท่านชาย ท่านลองไปที่โรงหมอโรงอื่นดูสิขอรับ” เด็กปรุงยามีสีหน้าลำบากใจ “ถึงแม้อาจารย์ของข้าจะพูดจาไม่น่าฟังนัก แต่ถ้าหากช่วยได้ เขาไม่มีทางพูดว่าช่วยไม่ได้อย่างแน่นอน”
“รบกวนพี่ชายช่วยต้มน้ำร้อนให้ข้าสักหน่อย ข้าจะจัดการบาดแผลและช่วยห้ามเลือดให้เขาก่อน มิเช่นนั้นยังไม่ทันจะไปถึงโรงหมอโรงอื่น ก็เกรงว่าเลือดจะไหลจนหมดตัวเลียก่อน” หมิงโร่พูดด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง
“คือว่า......” เด็กปรุงยาเกาหัว ไม่รู้ว่าควรไล่พวกเขาออกไปตามคำสั่งของอาจารย์ดี หรือปล่อยให้เขาจัดการบาดแผลก่อนดี สุดท้ายก็ไม่อาจทนดูคนที่ยังมีชีวิต ตายไปต่อหน้าต่อตาของตนเองได้ “ก็ได้”
“เจ้าไปเป็นผู้ช่วยให้พี่ชายท่านนี้ เร่งมือหน่อยนะ” หมิงโร่ส่งจือซูไป
หมิงโร่ตรวจสอบดูผลการทดสอบเซรุ่มบนผิวหนังว่าไม่มีปัญหา ก็หยิบเซรุ่มออกมาโดยใช้แขนเสื้อบังเอาไว้ จากนั้นก็รีบฉีดอย่างรวดเร็วทันที ตอนที่จือซูละเด็กปรุงยายกน้ำร้อนมา หมิงโร่ได้ฝังเข็มเพื่อห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเด็กปรุงยามีความชำนาญในการทำความสะอาดบาดแผลเป็นอย่างยิ่ง ไม่ช้าเขาก็จัดการกับบาดแผลเสร็จเรียบร้อย : “ข้าจะไปเอาผงยามาโรยให้ท่านชายผู้นี้”
“ไม่ต้องหรอก” หมิงโร่กำจัดพิษเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เด็กปรุงยากำลังจ้องมองด้วยความตกตะลึงอยู่นั้น ก็ใช้เข็มค่อย ๆ เย็บปากแผลทีละชั้น ๆ จนปิดสนิท หลังจากเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จ ก็ผูกปมที่สมบูรณ์แบบ ทาครีม และใช้สายรัดพันแผลจนแน่น
“ท่านชาย บาดแผลเช่นนี้สามารถเย็บได้เหมือนเย็บผ้าอย่างนั้นหรือ ?” ถึงแม้เด็กปรุงยาจะไม่รู้แน่ชัดว่าวิธีการนี้ได้ผลหรือไม่ แต่ความชำนาญของท่านชายผู้นี้ ดูแล้วน่าชื่นชมยิ่งนัก
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ?” หมิงโร่จัดเข็มเงินและผ้าพันแผลอย่างเป็นระเบียบ แล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ “ที่นี่สามารถให้คนไข้อาการสาหัสพักรักษาตัวได้หรือไม่ ?”
“คนไข้ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวสามารถพักอยู่ที่นี่ได้” เด็กปรุงยาเอ่ยตอบ
“ปรุงยาตามใบสั่งนี้ ให้กินหนึ่งเม็ดในตอนเช้าและตอนเย็น เจ็ดวันให้หลังข้าจะมาตัดไหม” หมิงโร่ยื่นใบสั่งยาที่เขียนเสร็จเรียบร้อยให้กับเด็กปรุงยา จากนั้นจึงหันมองจือซู “ทิ้งเงินเอาไว้ให้พี่ชายท่านนี้ห้าตำลึง”
จือซูยื่นห้าตำลึงใส่ในมือของเด็กปรุงยา แล้วเดินตามหมิงโร่ออกไป
เด็กปรุงยาผู้น่าสงสารจ้องมองเงินที่วางอยู่ในมือข้างซ้ายด้วยความงุนงง แล้วหันมองใบสั่งยาที่อยู่ในมือข้างขวา แล้วหันมองท่านชายที่กำลังนอนอยู่ตรงนั้น อาจารย์สั่งว่าให้พวกเขาออกไป แล้วจะทำเช่นไรดี : “อาจารย์......อาจารย์ขอรับ......”
กลับไปที่ร้านขายเสื้อผ้า เพื่อเปลี่ยนกลับมาสวมเสื้อผ้าของผู้หญิงเสียก่อน จือซูจึงสั่งให้คนขับรถม้าขับตามมา แล้วประคองพระชายาขึ้นรถม้าไป
รถม้าขับไปจอดที่ประตูด้านข้างของจวน และได้ยินเสียงหญิงสาวกำลังร้องไห้พอดี : “พ่อบ้านโจว ขอร้องอย่าขายข้าน้อยออกจากจวนเลยนะเจ้าคะ......ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว......ฮือ ๆ ๆ......”
หมิงโร่เปิดผ้าม่านขึ้น เห็นสาวใช้ใบหน้ากลมตาโตคนหนึ่ง กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น และที่ยืนอยู่ด้านหน้าคือพ่อบ้านโจวกับหญิงรับใช้ที่หน้าตางดงามคนหนึ่ง ห่างจากพวกเขาออกไปสักหน่อย มีหญิงรูปร่างอ้วนเตี้ยยืนอยู่ สวมใส่ชุดผ้าแพร และมีดอกไม้ผ้าประดับอยู่บนหัว
สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ดู ๆ ไปแล้วช่างคุ้นตายิ่งนัก หมิงโร่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พระชายาเพคะ คือเฉ่าเอ๋อร์เพคะ” จือซูและเฉ่าเอ๋อร์ต่างเกิดในจวน สมัยยังเด็กมักเล่นสนุกด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นว่าเฉ่าเอ๋อร์จะถูกขายออกจากจวน ก็รีบคุกเข่าลงทันที “พระชายาเพคะ ทรงช่วยเฉ่าเอ๋อร์ด้วยนะเพคะ แม่เล้าผู้นั้นจัดหาหญิงสาวให้หอนางโลมโดยเฉพาะนะเจ้าคะ”
ตอนนี้เอง หมิงโร่ก็นึกออกว่า เมื่อวานเธอให้สาวใช้คนนี้เป็นคนกล่าวโทษเสิ่นปี้ฉือ แล้วสาวใช้ใหญ่ที่แต่งกายงดงามคนนั้น ก็เป็นคนของเสิ่นปี้ฉือ ดูเหมือนจะชื่อว่าซวงหวน
ตอนนี้ดูเหมือนหมิงโร่จะเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เฮ้อ ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับตนเอง จะมองดูเฉย ๆ โดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยก็คงไม่ได้
“พวกเราลงไปดูสักหน่อย” หมิงโร่จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วลงจากรถม้าอย่างสง่างาม โดยมีจือซูคอยประคองอยู่
“ข้าน้อยถวายบังคมพระชายา” เมื่อพ่อบ้านโจวเห็นหมิงโร่ ก็รีบเข้าไปทำความเคารพทันที ซวนหวนเองก็ทำความเคารพตามด้วยเช่นกัน
“เอะอะโวยวายอยู่ที่หน้าประตูจวน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติแบบไหนกัน !” หมิงโร่วางมาดของพระชายา ถือได้ว่าข่มขวัญผู้อื่นได้ไม่น้อย
“เจ้าผู้พี่ต้องการโจ๊กถั่วแดง แต่เฉ่าเอ๋อร์ฟังผิดไป......” เฉ่าเอ๋อร์เองก็ถอืได้ว่าถุกพ่อบ้านโจวเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังแบเบาะ จึงไม่อยากเชื่อว่านางจะทำงานหละหลวมเช่นนี้ แต่เจ้าผู้พี่ยืนยันเสียงแข็งว่าต้องการให้ขายเฉ่าเอ๋อร์ออกไป ซ้ำยังหาแม่เล้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่อาจรบกวนท่านอ๋องเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยช่นนี้ได้ เขาเองก็รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
“ทูลพระชายา เฉ่าเอ๋อร์จำผิดเอง แต่กลับใส่ความว่าคุณหนูของหม่อมฉันต้องการโจ๊กถั่วเขียว” ซวงหวงยิ้มอย่างเสแสร้ง “คุณหนูของหม่อมฉันรู้ว่าพระชายาทรงจิตใจงดงาม จึงเกรงว่าทาสที่ต่ำช้าเช่นนี้จะสร้างปัญหาต่อพระชายา จึงต้องการจะขายนางออกไปเพคะ”
หึ ปี้ฉือคนนั้นทำเพื่อตัวเองต่างหาก หมิงโร่ใช้ชีวิตมาทั้งสองชาติ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พบกับคนไร้ยางอายเช่นนี้ : “ในเมื่อคุณหนูของเจ้าต้องการขายนางออกไป ข้าเองก็ไม่อาจหักหน้าเจ้าผู้พี่ได้”
ทันทีที่หมิงโร่พูดออกไปเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เฉ่าเอ๋อร์และจือซูเท่านั้นที่รู้สึกใจสบาย แม้แต่พ่อบ้านโจวเองก็รู้สึกผิดหวังเช่นกัน เขาคิดว่าพระชายาจะออกหน้า ทำให้เฉ่าเอ๋อร์รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้
“พ่อบ้านโจว สาวใช้คนนี้ขายในราคาเท่าไร ?” หมิงโร่ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
ตอนนี้เอง แม่เล่าที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ก้าวขึ้นมาทำความเคารพ : “ถวายพระพรพระชายา สาวใช้คนนี้หน้าตาธรรมดา แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนของจวนอ๋อง หม่อมฉันจึงยินดีจ่ายให้สามสิบตำลึงเพคะ”
“อ้อ สามสิบตำลึงหรือ” หมิงโร่หยิบตั๋วเงินใบละสิบตำลึงสามใบออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้พ่อบ้านโจว “สาวใช้คนนี้ข้าซื้อไว้แล้ว นำสัญญาขายตัวของนางมา”