บทที่ 16 เจ้าผู้พี่แกล้งป่วย
เจ้าหนูน้อยรู้สึกว่าพี่ใหญ่ของตนเองนั้นคงแต่งงานกับพระชายาปลอม บอกว่าจะไปหาพี่ใหญ่ แล้วคิดจะใช้เพียงแค่ตาเพื่อดูจริง ๆ หรือ ? เขาจำได้ว่า เมื่อก่อนหากท่านแม่พูดว่าจะไปหาท่านพ่อที่ห้องหนังสือ ก็มักจะนำน้ำแกงโสมหรือขนมไปให้ด้วย
“ขนมในลานของเสด็จแม่อร่อยมาก” เจ้าหนูน้อยเหลือบมองเค้กสับปะรดที่อยู่ในจาน
หมิงโร่รู้สึกว่าตนเองนั้นเข้าอกเข้าใจผู้อื่นดี จึงหันหน้าไปพูดกับจือเฉ่าว่า : “นำเค้กสับปะรดใส่จาน ให้ซื่อจื่อนำกลับไปกิน”
“......” เจ้าหนูน้อยแหงนมองฟ้าอย่างจนปัญญา
“เพคะ พระชายา” จือเฉ่ารียใช้กล่องอาหารใส่เค้กสับปะรดจานหนึ่ง แล้วยื่นให้กับแม่นมจิน
ตลอดทางที่เดินไปยังเรือนเหมย เจ้าหนูน้อยเดินอยู่ข้าง ๆ หมิงโร่อย่างเป็นระเบียบ
“เจ้าหนูน้อย เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ?” หมิงโร่เห็นขนาดตัวที่เล็กของเจ้าหนูน้อย แต่กลับมีท่าทางการเดินที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ จึงไม่อาจตัดสินอายุออกมาได้
“ห้าขวบ ทำไมเสด็จแม่เอาแต่เรียกข้าว่าเจ้าหนูน้อยอยู่ตลอดเลยพ่ะย่ะค่ะ ?” ถึงแม้จะรู้สึกว่า “เจ้าหนูน้อย” จะเป็นคำเรยกที่ฟังดูแปลกประหลาด แต่ฟังดูแล้วก็รู้ว่าไม่มีเจตนาร้าย
“เพราะไม่รู้ชื่อของเจ้าไง อีกทั้งดู ๆ ไปแล้วเจ้าก็เหมือนกับก้อนแป้งหอม ๆ นิ่ม ๆ” เวลาที่หมิงโร่เห็นเจ้าหนูน้อย ก็มักจะคิดถึงเจ้าหลานชายบัวลอย พวกเขาต่างก็มีดวงตาดำขลับเป็นประกาย น่ารักเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าชื่อว่า......เซวียนเอ๋อร์” เจ้าหนูน้อยตอบอย่างจริงจัง
ทั้งหมดเดินเข้าไปในเรือนเหมย จือซูรออยู่นอกห้องบรรทมตามปกติ มีเพียงเจ้าหนูน้อยที่เดินตามหมิงโร่เข้าไป
ซือห้าวเฉินสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีฟ้าอ่อน เส้นผมที่ดำขลับใช้ปิ่นปักผมสีขาวรวบขึ้นไปกึ่งหนึ่ง เส้นผมที่เหลือพลิ้วไหวอยู่ด้านหลัง ใบหน้าอันหล่อเหลาซีดเผือดเล็กน้อยเพราะอาการป่วย
ว้าว ในสายตาของหมิงโร่ นี่คือคนไข้ที่งดงามอย่างเหมาะสมจริง ๆ
รวบรวมสมาธิเรียบร้อย หมิงโร่ก็ตรวจชีพจรให้ซือห้าวเฉินก่อน จากนั้นก็เริ่มฝังเข็ม โดยมีหมอสวีคอยเป็นผู้ช่วยอย่างเช่นทุกครั้ง
เซวียนเอ๋อร์เห็นหมิงโร่ฝังเข็ม ดวงตาลุกวาวเป็นประกาย----เจ้าพี่สะใภ้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ดูเหมือนกับปรมาจารย์กังฟูอย่างไรอย่างนั้น
เข็มเงินถูกฝังเข้าไปจนครบ หมิงโร่ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง ซือห้าวเฉินพิงตัวอยู่ตรงหัวเตียง แล้วเริ่มถามบทเรียนของเจ้าหนูน้อย
หมิงโร่แอบรู้สึกตกใจ เจ้าหนูน้อยบอกว่าตนเองอายุห้าขวบ แต่คนสมัยก่อนมักจะพูดอายุหลอก ที่จริงก็น่าจะมีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น ให้เด็กเล็กขนาดนี้เรียนคัมภีร์ประวัติศาสตร์ ไม่ดูเสียสติไปหน่อยหรือ
ที่น่าแปลกก็คือ เจ้าหนูน้อยกลับเรียนอย่างตั้งใจ อย่างน้อยก็ท่องจำได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อคิดถึงตัวเองตอนที่อายุขนาดนี้ คุณปู่ให้ท่อง《กวีราชวงศ์ถัง》ก็แทบอยากจะหนีออกจากบ้าน ช่างน่าละอายยิ่งนัก
“นายท่าน” อะอีเดินเข้ามาจากด้านนอก
“มีเรื่องอะไร ?” ซือห้าวเฉินน้ำเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชา มาเห็นตนเองในสภาพที่ถูกฝังเข็มจนดูเหมือนกับเม่นเช่นนี้
“สาวใช้ของเจ้าผู้พี่มาเชิญหมอสวีพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าเท้าของเจ้าผู้พี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส” อะอีก้มหน้า เขารู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้เขาควรถนอมชีวิต และอยู่ห่างจากองค์ชายเอาไว้ เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ทำหน้าที่องครักษ์ลับ ทำไมใต้เท้าฉินยังไม่กลับมาสักทีนะ
"เจ้าไปดูซิ" น้ำเสียงของซือห้าวเฉินไม่แยแส ราวกับว่าตนเองไม่สนใจว่าน้องสาวจะเป็นเช่นไร
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” หมอสวีหยิบกล่องยา แล้วเดินตามอะอีออกไป
หมิงโร่กลับรู้สึกว่าซือห้าวเฉินเป็นห่วงน้องสาวปี้ฉือผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียหมอสวีผู้นั้นก็เป็นคนที่ซือห้าวเฉินหามา เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเล่นตุกติก ตอนนี้เขาส่งหมอสวีออกไป ไม่เท่ากับว่าซือห้าวเฉินเห็นน้องสาวปี้ฉือผู้นี้ สำคัญกว่าชีวิตของตนเองหรอกหรือ ?
ครั้งนี้หมิงโร่เข้าใจผิดแล้วจริง ๆ ที่เขาส่งหมอสวีไปเป็นเพราะ ข้อแรก เขาความจำดีจนน่าตกใจ จึงรู้ว่าจุดที่หมิงโร่ฝังเข็ม ถึงขั้นรู้ว่าแรงที่ใช้เหมือนกับเมื่อวาน ข้อสอง เพื่อเป็นการไว้หน้าเสิ่นไท่เฟย และอยากดูว่าเสิ่นปี้ฉือต้องการทำอะไรกันแน่
หมิงโร่แอบว่าร้ายอยู่ในใจ หากเท้าของน้องสาวปี้ฉือผู้นั้น ไม่บาดเจ็บไปสักอย่างน้อยสิบวันหรือครึ่งเดือน ตนเองคงถือว่าผิดต่อชื่อเสียงของตระกูลขุนนางแพทย์เสวียน ที่มีทักษะที่ไม่ได้เรื่อง หึ ๆ
หมิงโร่ฝังเข็มเสร็จก็เตรียมตัวกลับ เจ้าหนูน้อยรีบถือเค้กสับปะรดจานนั้นเข้ามาให้ “เสด็จพ่อ” ด้วยความเคารพ หวังว่าจะเห็นแก่ที่เขาอุตส่าห์นำเค้กสับปะรดมาให้พี่ใหญ่ด้วยความตั้งใจ จะไม่ซักถามเรื่องการบ้านกับเขาอีก
เจ้าหนูน้อยเดินตามออกจากห้องบรรทมไป หมิงโร่พูดขึ้นว่า : “เจ้าหนูน้อย หนังสือประวัติศาสตร์ที่เจ้าไม่อ่านแล้ว นำมาให้ข้าอ่านแก้เบื่อสักสองสามล่มสิ”
“หนังสือประวัติศาสตร์ใช้แก้เบื่อได้ด้วยหรือ ?” เจ้าหนูน้อยทำสีหน้างุนงง
“เช่นนั้นเจ้ามีบันทึกการเดินทางไหม ?” หมิงโร่เลิกคิ้ว
“ไม่มีแน่นอน อาจารย์ไม่อนุญาตให้อ่านหนังสือไร้สาระ” เจ้าหนูน้อยทำหน้าย่น “ข้าไม่ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์มากที่สุด ล้วนเป็นเรื่องในอดีตทั้งนั้น อ่านแล้วจะมีประโยชน์อะไร ?”
“ใช้ทองแดงเป็นกระจกสะท้อน สามารถแก้ไขการแต่งกายของตนเองได้ หากใช้ประวัติศาสตร์เป็นกระจกสะท้อน ก็จะรู้ถึงสาเหตุของความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมของประเทศได้ หากใช้ผู้อื่นเป็นกระจกสะท้อน ก็จะรู้ถึงความผิดพลาดของตนเองได้” คำพูดคลาสสิกเช่นนี้ หมิงโร่จำได้ขึ้นใจ “ดังนั้นต่อให้ไม่ชอบ สิ่งที่ควรเรียนก็ยังต้องเรียน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋เชินรีบเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับจดหมายสองสามฉบับและคำเชิญในมือ
“ใต้เท้าไป๋” หมิงโร่พยักหน้าเล็กน้อย ถือเป็นการทักทาย
“มีแม่นางผู้หนึ่งนามว่าจี้เสว่ เดินทางมาที่จวน บอกว่าเป็นสาวใช้ของท่าน ข้าให้คนนำทางไปที่เรือนไผ่แล้ว” จากข่าวกรองที่สืบหามาได้ องค์หญิงหงสามีสาวใช้ที่ชื่อว่าจี้เสว่จริง ไป๋เชินไปตรวจสอบด้วยตนเอง ตอนนี้จึงยังไม่มีปัญหาอะไร
“ขอบคุณใต้เท้าไป๋มาก” เมื่อตรวจสอบความทรงจำ พบว่าร่างเดิมพาสาวใช้มาพร้อมกับขบวนอภิเษกไม่น้อย คนเหล่านั้นล้วนเป็นสินสอดที่ฮองเฮาหนานหรงจัดให้ตามธรรมเนียม มีเพียงสาวใช้สองคนที่ชื่อว่าจี้เยว่และจี้เสว่เท่านั้น ที่คอยอยู่รับใช้ข้างกาย
“อีกอย่าง......พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องจะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงตลอดเวลาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” ไป๋เชินรู้สึกหงุดหงิด ถึงแม้ท่านอ๋องจะจัดการธุระต่าง ๆ ได้แม้จะอยู่ในจวน แต่บางครั้ง ก็จำต้องปรากฏตัวบาง
“หากอยากออกไปเดินเล่น ที่จริงแล้วก็สามารถใช้รถเข็นได้” ที่จริงแล้วหมิงโร่ก็รู้สึกแปลกใจกับสภาพร่างกายของซือห้าวเฉินเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะเป็นจอมพลังที่ฆ่าไม่ตาย
“รถเข็น ?” ไป๋เชินแสดงสีหน้าเหมือนเด็กขี้สงสัย หลังจากหมิงโร่อธิบายถึงลักษณะของรถเข็นโดยละเอียดแล้ว ไป๋เชินก็เข้าใจในทันที “ที่พระชายาทรงกล่าวมาหมายถึง รถสี่ล้อที่ให้คนไข้พิการนั่ง”
“เอ่อ......ก็ประมาณนั้น” คนที่นี่เรียกรถเข็นว่ารถสี่ล้ออย่างนั้นหรือ ?
ไป๋เชินนึกถึงลักษณะของรถสี่ล้ออยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง : “เรียกว่ารถเข็นดูจะเหมาะสมกว่าจริง ๆ”
“ใต้เท้าไป๋ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ?” หมิงโร่เตรียมที่จะพาเจ้าหนูน้อยกลับไปกินข้าวให้อิ่ม จากนั้นก็แลกกับหนังสือสองสามเล่มเพื่อนำกลับมาอ่าน อย่างไรเสียร่างเดิมก็ถูกเลี้ยงดูมาในลัทธิเต๋า จึงร่ำเรียนเพียงแค่《กฎของสาวนาง》、《ข้อควรสาวนาง》ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับทำความเข้าใจกับโลกใบนี้
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญพระชายาเสด็จ” ไป๋เชินส่งหมิงโร่ออกจากเรือนไผ่อย่างนอบน้อม แล้วหันหลังเดินกลับไปยังห้องบรรทม
ตอนนี้ซือห้าวเฉินเอนตัวอยู่บนหมอนนุ่ม หมอสวีเพิ่งกลับมาจากเรือนเบญจมาศ กำลังตอบคำถามอยู่ : “เจ้าผู้พี่น่าจะแกล้งป่วยพ่ะย่ะค่ะ ข้อเท้าไม่แดงและไม่บวม ชีพจรเองก็ปกติดี”
ถ้าหากเสิ่นปี้ฉืออยู่ที่นี่ เกรงว่าคงจะโกรธจนหมดสติ วันนี้นางตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด ข้อเท้าทั้งเจ็บทั้งชาและบวมปูด เมื่อสัมผัสถูกก็จะรู้สึกเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่ม ตอนนี้อย่าว่าแต่จะให้นางลุกเดินเลย แค่นอนนิ่ง ๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บ
“เจ้าออกไปได้แล้ว” ซือห้าวเฉินโบกมือ หมอสวีโค้งคำนับแล้วออกจากห้องไป
“ท่านอ๋อง” ไป๋เชินยื่นจดหมายในมือให้ซือห้าวเฉิน “เมื่อครู่พระชายาสั่งสอนซื่อจื่ออยู่ที่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ ?” ซือห้าวเฉินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย องค์หญิงหงสาสอนอะไรเซวียนเอ๋อร์กันแน่ ถึงควรค่าให้ไป๋เชินใช้คำที่จริงจังอย่างคำว่า “สั่งสอน” สองพยางค์นี้ได้