4
คุณสนใจจะรับสิทธิ์นั้นทันทีเลยไหมครับ
ปัทมาเหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนังสลับกับใบหน้าคมตรงหน้า เธอขยับตัวไปมาเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่น ท่าทางเหมือนกำลังตัดสินใจครั้งใหญ่ อาการกระสับกระส่ายเล็ก ๆ นี้ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาของใครบางคนที่แม้จะทำเหมือนกำลังอ่านเอกสารอยู่ก็ตามที
“มีอะไร” น้ำเสียงทุ้มเรียบเฉยทว่ากลับข่มขวัญลูกกวางน้อยตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
“เอ่อ... ปัท คือ... ตอนนี้ก็บ่ายสองแล้ว คุณเอื้อยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะคะ”
มือหนาที่กำลังเขียนอะไรบางอย่างบนเอกสารหยุดชะงัก เจ้าตัวพลิกนาฬิกาข้อมือดู น้ำเสียงทอดอ่อนลง “อ้อ... โทษที”
กับปัทมา แม้อีกฝ่ายจะขึ้นชื่อว่าเป็นลูกน้อง แต่เพราะเห็นมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยจากการแนะนำของอัศรา ซึ่งเด็กสาวมักเรียกเขาติดปากว่าพี่เอื้อ จนเมื่อได้มาทำงานร่วมกัน คำว่าพี่เอื้อจึงถูกเปลี่ยนเป็นคุณเอื้อตามความเหมาะสมโดยปริยาย แต่เขาก็ยังรู้สึกเอ็นดูเธอไม่ต่าง ยิ่งเธอวางตัวได้อย่างเหมาะสม ไม่นำเรื่องส่วนตัวมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องงาน เขาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม
“ปัทลงไปทานอะไรก่อนก็ได้ครับ ไม่ต้องอยู่รอ เดี๋ยวผมจะแยกเอกสารไว้ให้”
เด็กสาวก้มหน้างุดซ่อนโหนกแก้มแดงระเรื่อ เพียงเสียงทุ้มต่ำของเขาเรียกขานว่าปัทยามอยู่ด้วยกันตามลำพังแทนคำว่าคุณ ก็ทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว หัวใจเต้นตึกตัก คำง่าย ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกหวานล้ำยามได้ฟัง
“ไม่ใช่ค่ะ ปัทยัง... เอ่อ ทานผิดเวลาโรคกระเพาะจะถามหานะคะ” น้ำเสียงเล็ก ๆ แต่กังวานใสของเธออาจสะกดใจคนฟังได้อยู่หมัด น่าเสียดายที่ประโยคนี้เคยมีคนพูดกับเขาแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ทันได้จับกระแสเสียงแห่งความห่วงใยเพราะในใจกำลังกระหวัดคิดถึงใครบางคน คนที่ไม่ควรจะกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีก
‘เอื้อกินข้าวไม่ตรงเวลา ระวังโรคกระเพาะจะถามหานะคะ’
‘ผมไม่มีเวลาเลยจริง ๆ ครับชา ไม่ใช่ไม่หิวนะ’
‘ก็นี่ไงคะ ชาทำแซนด์วิชมาไว้ให้เอื้อ หิวเมื่อไหร่ก็หยิบกินได้ทันที’
‘ไม่ใช่หิวเมื่อไหร่ก็แวะมาเหรอ ทำแบบนี้จะให้เอื้อคอยคิดถึงชาตลอดวัน ทุกสามมื้ออาหารใช่ไหมครับ’
‘บ้า’
...
“คุณเอื้อจะรับอะไรไหมคะ...”
“ครับ ปัทว่าอะไรนะ”
ปัทมาทอดสายตามองคนตรงหน้าอย่างเป็นห่วง เอื้อการย์เข้าประชุมกับผู้ถือหุ้นตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงบ่ายโมง จากนั้นก็ต่อด้วยการประชุมของฝ่ายการตลาดอีกร่วมชั่วโมง และจบลงที่การตรวจเอกสารกองใหญ่ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากขนมที่เธอจัดเสิร์ฟให้
“ให้ปัทสั่งอะไรขึ้นมาให้ไหมคะ”
ชายหนุ่มปิดแฟ้มลงแล้วเลื่อนไปตรงหน้า “ปัทลงไปหาอะไรทานเถอะ ขอโทษด้วยที่ผมไม่ทันได้ดูเวลา เอาเป็นว่าสั่งเมนูง่าย ๆ ให้แม่บ้านยกขึ้นมาก็แล้วกัน อืม... ขอเป็นพะแนงหมูหรือไม่ก็กะเพราไก่ไข่ดาวก็ได้ครับ”
“ค่ะ คุณเอื้อรับกาแฟหรือชาเพิ่มไหมคะ”
“กาแฟดำสักแก้วก็ดีครับ อ้อ...” เขานิ่งไปครู่ “สองสามวันนี้มีใครติดต่อขอนัดผมเข้ามาไหม”
หญิงสาวหยุดคิดไปครู่ใหญ่พลางดึงสมุดจดขึ้นมาไล่ดู “ถ้าเป็นคนนอกก็ไม่มีนะคะ จะมีก็แต่หัวหน้าโครงการที่เชียงใหม่ขอนัดคุยกับคุณเอื้อเรื่องความคืบหน้างานน่ะค่ะ”
“การรีโนเวตน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นปัทช่วยเช็กตารางเวลาให้ด้วย ขอไวที่สุด ผมเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับพวกเขาเหมือนกัน” แม้จะเอ่ยปากถาม แต่เจ้านายหนุ่มก็เลื่อนปฏิทินตั้งโต๊ะมาเปิดเช็กตารางนัดของตัวเองตามไปด้วย
ผู้ช่วยเลขาฯ ที่เพิ่งจะได้ขยับตำแหน่งเข้ามาแทนคนลาคลอดรีบไล่สายตาตามตารางทันที “วันศุกร์นี้มีคิวว่างช่วงสิบโมงถึงเที่ยงค่ะ ถ้าคุณเอื้อไม่ติดอะไร ปัทจะรีบนัดทางนั้นให้ค่ะ”
“นัดเลยก็ได้ ผมสะดวกครับ” เขาว่าพลางเขียนกำหนดการตัวเล็ก ๆ ลงบนปฏิทินซึ่งเป็นภาพที่เธอเห็นตอนแรกก็จะอดแปลกใจไม่น้อย คนอย่างเขาน่าจะบันทึกทุกอย่างลงในแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือมากกว่า แต่ประภาพร เลขานุการคนสนิทของเขาเคยเปรยว่าเอื้อการย์ทำอย่างนี้มานานจนติดเป็นนิสัย บางคนคงชอบทำอะไรที่มันคลาสสิกมั้ง
เลขานุการสาวจากไปแล้ว ขณะที่ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับพนักเก้าอี้ สองมือกดลงบนขมับและนวดดวงตาเพื่อไล่ความเมื่อยล้า แม้อยากจะพัก แต่สมองของเขายังคงทำงานไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงการใหม่ที่ภูเก็ต การรีโนเวตที่เชียงใหม่ หรือการเช่าโรงแรมและศูนย์ราชการระยะยาว ถึงแม้งานทุกอย่างจะมีตัวแทน แต่เขาเองก็ต้องรู้รายละเอียดให้เทียบเท่ากับคนที่รับผิดชอบ เพราะหากมีสิ่งผิดพลาดหรือเรื่องราวคลาดเคลื่อนไปจากที่วางแผนไว้จะได้หาทางป้องกัน แม้ว่าตอนนี้คนภายนอกที่มองเข้ามาจะเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงจนไม่มีใครในจิรวานนท์สามารถสั่นคลอนได้ แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดคลื่นลูกยักษ์หากไม่ระวังให้ดี ชีวิตพนักงานหลายพันคนยังอยู่ในความรับผิดชอบของเขา และที่สำคัญเขาไม่อยากให้ใครใช้มันเป็นข้ออ้างในการต่อรอง
“ว่าไงอัศ” ชายหนุ่มกรอกเสียงไปตามสาย
“ยุ่งอยู่เปล่า”
เอื้อการย์ปรายตามองเอกสารบนโต๊ะพลางถอนหายใจหนักจนคนปลายสายหลุดขำ
“อ้อ ๆ ลืมไปว่าไม่เคยมีวันไหนที่คุณเอื้อการย์ จิรวานนท์ ไม่ยุ่ง”
“เหมือนนายว่าง” เจ้าของห้องแอบเหน็บ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเสียงดัง
“ถ้าเทียบกับคุณมึง ใคร ๆ ในโลกนี้ก็ว่างกันทั้งนั้นแหละครับ”
“ขอโทษทีนะที่กูยุ่งอยู่คนเดียว ถ้าไม่มีอะไรก็จะวางแล้ว”
“โอ๋ ๆ ท่านรองประธาน หัวไม่ล้านสักหน่อย ทำไมขี้ใจน้อยจังวะ ที่โทรมานี่ก็จะชวนไปเที่ยว เสาร์นี้เป็นไง”
“ถ้าไม่ว่างจัดจริง ๆ คงคิดไม่ได้” เอื้อการย์ส่ายหน้า แต่คนปลายสายกลับมิได้นำพา น้ำเสียงตอบกลับจึงค่อนข้างจะสดใสร่าเริง
“ผมถือว่าท่านรองตอบตกลง เจอกันที่ร้านไอ้หนึ่งนะ สักสี่ทุ่มก็แล้วกัน อ้อ จะพาแทนี่มาด้วยไหมวะ”
“ทำไม”
“ก็ถ้าไม่... จะได้แนะนำสาวสวยให้รู้จัก”
“งั้นไม่ชวน แล้วเจอกัน” เอ่ยจบเขาก็กดตัดสายทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายทักท้วง จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับเอกสารกองใหญ่ตรงหน้าต่อ
ชายหนุ่มมองถนนที่ค่อนข้างโล่งในคืนวันเสาร์ ปกติในวันหยุดเขามักจะเลือกขับรถเองเพราะรู้สึกว่ามันเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ค่อนข้างผ่อนคลาย การได้เห็นวิถีชีวิตของคนเมืองกรุง กิจกรรมหลากหลายข้างทางมักสร้างแรงบันดาลใจให้หยิบเอาไอเดียเหล่านั้นมาต่อยอดในธุรกิจ แต่หากมีคนขับรถให้ นักธุรกิจแสนยุ่งเช่นเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตรวจเช็กอีเมล ตอบงาน และติดตามข่าวสารในแวดวงเศรษฐกิจมากกว่าสนใจสิ่งรอบกาย
ร้านของเต็งหนึ่งตั้งอยู่บนถนนเลียบทางด่วน ในคืนวันเสาร์ถนนหนทางค่อนข้างโล่ง ผู้คนสัญจรส่วนใหญ่จึงกลายเป็นนักท่องราตรี เขามีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน แต่หากถามถึงคนรู้จัก แน่นอนว่านับไม่ถ้วน เป็นเพราะถูกสั่งสอนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกว่าการจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือสายสัมพันธ์ ยิ่งรู้จักคนมาก โอกาสและหนทางก็ยิ่งเปิดกว้าง
เอื้อการย์นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับลูกค้าตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่นโดยมีคุณปู่คอยแนะนำ ท่านสอนเขาหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่การเจรจาธุรกิจ แต่ยังรวมไปถึงการรู้จักสังเกต ประเมินพฤติกรรมคนแล้วใช้มันเป็นตัวชี้นำให้บรรลุเป้าหมาย คนประเภทไหนควรใช้ไม้อ่อน ค่อย ๆ ตะล่อมหว่านล้อม คนแบบไหนที่ต้องใช้ไม้แข็งเข้าฟาด หรือแม้แต่การตลบหลังพวกชอบตลบตะแลง ฉะนั้นเขาจึงไม่เคยเกี่ยงงอนที่จะทำความรู้จักกับผู้คนทุกระดับ เพราะในวันข้างหน้าเขาอาจจะต้องพึ่งพาหรือหาประโยชน์จากคนเหล่านั้น
ใช้เวลาขับรถจากคอนโดไม่นานก็มาถึง เพียงจอดรถด้านหน้า พนักงานก็รีบวิ่งเข้ามารับรถอย่างคุ้นเคย ร่างสูงในชุดลำลองก้าวเข้าไปด้านในพร้อมกับสายตาหลากคู่ที่จับจ้องทันที ขายาว ๆ ของเขาก้าวขึ้นไปยังชั้นลอย ใบหน้าแต้มรอยยิ้มสุภาพ หากใครเดินมาทักทายก็จะหยุดพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง
“อ้าว... มาแล้วโว้ย มาคนเดียวซะด้วย” เสียงทักดังขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เอื้อการย์กวาดตามองกลุ่มเพื่อน ๆ ก่อนจะก้าวไปนั่งลงข้างอัศรา
“ก็มัน...” เขาชี้นิ้วไปข้าง ๆ “บอกมีสาวสวยจะแนะนำ”
คนโดนพาดพิงเพียงยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ พร้อมกับเตรียมขยับถอยห่าง แต่ไม่วายช้ากว่าคนมาใหม่ คอเสื้อจึงถูกรั้งไว้ก่อนเผ่นหนีได้ทัน “นี่อย่าบอกนะว่ามึงอำ”
“ไม่ใช่ข้า ไอ้หนึ่งเลย”
“อ้าว ไหงโบ้ยกันงี้วะ” คนโดนโยนขี้รีบละล่ำละลักปฏิเสธ
“สรุปว่าไงล่ะ”
“ไอ้คุณทศเลย มันอยากสัมภาษณ์เอ็ง เลยให้ข้าบอกว่าจะพาสาวมาแนะนำ”
“นั่นไง ได้ทีทรยศเพื่อนเลยนะครับคุณมึง” ทศพลแบมือสองข้างอย่างยอมแพ้
“สรุป?” คนโดนหลอกยิ้มเย็น ขณะที่อีกสามคนต่างพากันร้อนตัว สุดท้ายเจ้าของร้านหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ก็มีเรื่องจะถาม ถ้าพาแทนี่มาจะถามได้ไงวะ”
เอื้อการย์ยอมปล่อยคอเสื้อจำเลย หันไปเรียกบริกรเพื่อสั่งเครื่องดื่ม แล้วค่อยหันมามองเจ้าพวกตัวกวนที่เหลืออย่างคาดคั้น
อัศรากระแอมกระไอ “คือ... เห็นแกชอบขับรถเอง”
“แล้ว?”
“ก็เลยคิดว่าแกจะชอบยูเทิร์น”
เอื้อการย์งงหนัก ขณะคนที่เหลือพากันส่ายหน้า “มึงลากยาวไปว่ะ เป็นกูก็งง ลากยาวไปสามบ้านแปดบ้าน ตอนมึงสอบปากคำผู้ต้องหาไม่ชิงหลับไปซะก่อนเหรอวะ”
“ไอ้เหี้ย ว่าแต่กู มึงก็ลากยาวตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปจนสุดถนนเพชรเกษมเหมือนกันเปล่าวะ เอ้า... สรุปสั้น ๆ ก็ได้” อัศราด่าเพื่อนอีกคนเสร็จก็หันกลับไปหาจำเลย “แกคิดจะรีเทิร์นเหรอวะ พวกข้าเห็นภาพข่าวงานการกุศลวันนั้นแล้วเกิดข้องใจ”
คนถูกตั้งคำถามนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ใช่ถูกจี้ใจดำ แต่สมองกำลังประมวลผลสิ่งที่เจ้าสามคนนี้พูดกันอยู่ต่างหาก
“เอางี้” เจ้าของร้านเป็นฝ่ายออกตัว “ตรง ๆ เลยนะ กับชา ถ่านไฟเก่ามันคุเหรอวะ”
“เฮ้ย กับอีแค่ภาพข่าว พวกมึงเอาสมองที่ไหนมาคิดเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นวะ”
เพื่อนทั้งสามต่างลอบมองหน้ากัน นึกอยากจะลากมันมาเค้นคอถามตั้งแต่เห็นข่าว พวกเขายังจำอาการอกหักของเพื่อนรักเมื่อหกปีก่อนได้ดี แทบไม่เป็นผู้เป็นคน ต้องเรียกว่าเปลี่ยนคนไปเป็นซอมบี้ ข้าวไม่กิน ไม่เที่ยว เอาแต่ดื่มแล้วก็ทำแต่งาน งาน งาน จากที่เคยหักโหมทำงานวันละสิบชั่วโมง เปลี่ยนเป็นหุ่นยนต์บ้าพลังที่ทำงานวันละยี่สิบชั่วโมงแทน ผลที่ตามมาคือหุ้นของจิรวานนท์กรุ๊ปพุ่งสูงขึ้นติดกันสามปีเป็นประวัติการณ์ ชีวิตประจำวันของเอื้อการย์หมดไปกับงานและการเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า เปลี่ยนบ่อยยิ่งกว่าหน้าปกนิตยสารรายสัปดาห์... ไม่มีแล้วผู้ชายคนหนึ่งที่เคยมั่นคงในรักขนาดที่ว่าหากมีผู้หญิงสวย ๆ มาแก้ผ้าตรงหน้ายังไม่แล
เพื่อนของเขาไม่เคยเปิดใจและรับใครเข้ามาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
“โห ไอ้คุณเอื้อ จะไม่ให้คิดเป็นตุเป็นตะยังไงล่ะคร้าบ เล่นถ่ายรูปซะไหล่เกยกันขนาดนั้น ใครไม่คิดก็แปลกแล้ว”
คนถูกกระแซะเพียงยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ กวาดดวงตาคมดุผ่านเพื่อน ๆ ทั้งสามที่เริ่มพากันร้อน ๆ หนาว ๆ “ไม่ได้คิด มันเป็นเหตุบังเอิญ ข้าไม่รู้ว่าเขาจะไปงานนั้น พวกเอ็งก็รู้ หลังจากตอนนั้นข้าก็ตัดเขาออกไปจากชีวิตไปแล้ว... ตลอดกาล”
“อ้อ...” เต็งหนึ่งพยักหน้าพลางบุ้ยใบ้ไปให้อัศรา
“อะแฮ่ม... เออ เชื่อว่ะ เพราะขนาดเขาเช่าพื้นที่ในห้างแกเปิดร้านแกยังไม่รู้เลย”
เอื้อการย์หรี่ตา “แสดงว่าพวกแกรู้เรื่องเขา”
ครานี้อากาศที่คล้ายเย็นฉ่ำกลับร้อนขึ้นมาทันทีทันใด กับชลธิชา พวกเขาก็รู้จักดี สมัยเรียนมักได้เจอกันบ่อย ๆ พร้อมเอื้อการย์ ตอนได้ฟังเรื่องราวครั้งแรกยังไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงเรียบร้อยแสนดีแบบนั้นจะเสแสร้งมาได้ถึงสี่ห้าปี คนเราบางทีก็ต้องมีหลุดกันบ้าง แต่ที่ผ่านมาพวกเขาแทบจะไม่ระแคะระคายเลยด้วยซ้ำว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพที่เธอสร้างขึ้นมา
แต่ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง
“ก็ไม่เชิง เอ่อ... ก็พวกแม่ ๆ ของเรานั่นแหละ เขาชอบใช้กระเป๋าจากร้านชา”
“แบรนด์อะไร”
“ชวายไง” ทศพลสวนออกไปทันทีโดยไม่ทันคิด แล้วก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก ขณะที่อีกสองคนส่ายหน้าไว้อาลัย
“เออ ก็จะอะไรวะ เขาก็เช่าที่ญาติห่าง ๆ ของข้าในสนามบินเปิดร้านเหมือนกัน แบรนด์นี้กำลังเป็นที่นิยมในโซนเอเชีย พวกเกาหลีญี่ปุ่นชอบกัน มาปีหลัง ๆ นี่ก็มีพวกโซนตะวันตกมาสนใจ ไม่เคยได้ยินก็แปลกแล้ว”
“อ้อ” เจ้าทุกข์พยักหน้า “กลายเป็นว่าข้าแปลก”
“ก็ไม่เชิง เอ็งมันพวกงานสุมหัว เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ไม่กระเด็นเข้าหูก็ไม่แปลก สรุปว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ใช่ไหมวะ เห็นหน้าเขาแล้วยังปกติดี ไม่มีอาการใจเต้นตึกตัก”
“อืม” คนถูกซักรับคำในลำคอแล้วเสยกแก้วขึ้นจิบ
“โหย รับคำเสียงเบาแถมหลบตา ข้าว่ามีชัวร์”
“ไอ้ที่มีเนี่ย ใช่หญิงที่จะแนะนำไหม เสียเวลาฉิบ...” เอื้อการย์กระดกรวดเดียวจนหมดแก้ว ขณะที่เจ้าของร้านรีบรินเติมให้อย่างเอาใจ ปากก็พร่ำอธิบาย
“สวย ๆ นี่หาไม่ยาก นั่งมองอยู่ตรงนี้ แกถูกใจคนไหนก็ชี้เอา ขี้คร้าน แม่ผู้หญิงพวกนั้นจะวิ่งแย่งกันจนหัวแตก”
“ใช่” ทศพลพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเอ่ยถามต่อ “เบื่อแทนี่แล้วเหรอวะ เห็นคนนี้ควงนาน ปกติไม่เคยเกินสองอาทิตย์ นึกว่าจะไปรอด”
“ก็ไม่เชิง แต่ยังไงก็แค่ควง ไม่ใช่คบ” ร่างสูงทิ้งตัวลงพิงพนักด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “อีกอย่างกูก็ไม่ได้อยากเปลี่ยนคู่ควงบ่อย ถ้าผู้หญิงพวกนั้นอยู่ในที่ของตัวเอง ทำตามข้อแลกเปลี่ยน แค่เรื่องบนเตียงกับเงิน ใครจะอยากเปลี่ยนบ่อยให้ยุ่งยากวะ”
อัศราส่ายหน้าเอ่ยต่อ “เดี๋ยว ๆ มึงใช้คำว่าควงไม่ได้ เพราะควงคือพาออกงานบ้าง แต่มึงนี่พาขึ้นเตียงอย่างเดียว ไม่เคยพาไปเปิดตัวที่ไหน แค่นักข่าวสืบมาได้นี่ข้าก็นับถือความสามารถในการคาบข่าวแล้วว่ะ หรือพวกนั้นแม่งไปสิงอยู่ใต้เตียงเอ็งวะไอ้เอื้อ ระวังเถอะ บางทีห้องแทนี่อาจติดกล้องวงจรปิด”
“มึงก็ช่วยส่องกระจกดูหน้าและเปิดดูเงินในบัญชีของตัวเองด้วยคร้าบ ครบพร้อมขนาดนี้ผู้หญิงคนไหนจะยอมให้เยแลกเงินอย่างเดียวครับ เขาก็ต้องพยายามทำให้แกรักแกหลง เผื่อจะมีเฮได้ขึ้นเป็นนายหญิงของจิรวนนท์สิครับ ไอ้เพื่อนโง่”
“มันก็ใช้แต่สมองส่วนล่างเท่านั้นแหละที่คบแต่ละคน แม้แต่ของขวัญที่ให้เอ็งยังไม่เคยเลือกเอง แค่ให้เลขาฯ ส่งไปเป็นรางวัล เอ๊ย... ส่ง ๆ ไปตามเทศกาลพิเศษต่าง ๆ ที่อยู่ในตารางของเลขาฯ ถามไปมันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลขาฯ ซื้ออะไรให้ใครบ้าง เลี้ยงคู่ควงยังกับเลี้ยงลูกน้องไว้ใช้งาน”
“นี่ได้ทีถึงกับรุม” เอื้อการย์เขย่าแก้วเบา ๆ เอ่ยด้วยท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ แต่กลับไม่มีใครคิดเห็นใจ
ก็ใครใช้ให้พ่อคุณเกิดมาหน้าตาดี มีโพรไฟล์เลิศหรูจนคนอื่นได้แต่อิจฉา ขนาดเรียนไปทำงานที่บริษัทไปด้วย มันยังจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แล้วแย่งอำนาจบริหารมาไว้ในมือได้ในเวลาเดียวกัน คุณสมบัติเกินคนปกติแบบนี้แค่กระดิกนิ้ว สาว ๆ ก็วิ่งเข้าใส่เป็นแถว ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา พวกเขายังไม่เคยเห็นเอื้อการย์ลงทุนจีบใคร
ถ้าไม่นับ... ชลธิชา
“เออ กูก็ไม่เข้าใจมัน ในเมื่อชอบสาวเรียบร้อย ทำไมแต่ละคนที่คบมา...” อัศราที่กำลังเริ่มร่ายยาวพลันต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นสายตาระวังภัยของคนที่เหลือ “เออ ๆ ไหนว่าลีลาเด็ดวะ แล้วทำไมเบื่อง่าย ๆ”
“ก็เหมือน ๆ กันหมด พอเริ่มนานก็จะเริ่มเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ มันน่ารำคาญ ต้องการแค่คู่ควง ไม่ใช่คู่ชีวิต”
“เฮ้ย คบหญิงก็เพราะอยากให้เขาเอาใจไม่ใช่เหรอวะ”
ทศพลส่ายหน้า “ไอ้เอื้อมันคบหวังฟันอย่างเดียว สตรีมีไว้ปลดปล่อยและผ่อนคลาย มันหาคนไว้ระบายความใคร่แก้เครียด ไม่ต้องเสียเวลาจีบ ไม่ได้กำลังหาเมีย เรื่องอื่นอย่ายุ่ง เพราะสมองและเวลาของมันต้องทุ่มให้งานจนหมด อีกหน่อยมันก็คงต้องแต่งกับงาน โอ๊ย...” คนที่กำลังพร่ำพรรณนาต้องยกมือขึ้นลูบศีรษะเมื่อถูกใครบางคนแพ่นกบาล
“เซ้งต่อได้ไหม” เต็งหนึ่งถามต่อ
“เฮ้ย ผู้หญิง ไม่ใช่ร้านเหล้า อยากได้ก็ไปจีบเอาเอง” เอื้อการย์เอ่ยแก้ รู้สึกไม่ชอบใจคำพูดคำจาของเพื่อนทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ลงมือจีบ เพราะอีกฝ่ายแทบจะพาตัวมานอนรอเขาอยู่บนเตียงด้วยซ้ำ
“กูก็หมายความอย่างงั้น ถ้าข้ารับต่อมาแก้เซ็ง เอ็งโอเค?”
ชายหนุ่มยักไหล่ ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจนั้นแทนคำตอบ “เอาเลย ถ้าสนใจก็ไปจีบเอง”
“โอเค เลิกเมื่อไหร่แล้วบอกด้วย เอาเป็นว่าคืนนี้ถูกใจคนไหน เชิญคุณท่านรองชี้ได้เลยครับ”
“คุณเพื่อนจะไปจีบให้มัน” อัศราเอ่ยถาม
เต็งหนึ่งส่ายหน้า “เปล่า แต่ข้าจะให้เด็กลงไปบอกว่า คุณเอื้อการย์ จิรวานนท์ เจ้าของกิจการห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ในเมืองไทยกำลังสนใจคุณอยู่ จะรับสิทธิ์นั้นทันทีเลยไหมครับ”
“ไอ้เพี้ยน แล้วสาวที่ไหนจะตามมาวะ” คนโดนเหน็บยกเท้าใส่เพื่อนรัก อีกคนรีบขยับหลบพลางส่งค้อนแง่งอนราวกับสาวน้อย
“ข้าว่ามีเป็นพรวน ลองไหม พนันอะไรดี”
“นาฬิกาเรือนหนึ่ง Patek เป็นไง”
“ได้” ว่าแล้วทั้งสามคนก็หันมามองเจ้าทุกข์เป็นตาเดียว
เอื้อการย์ได้แต่ถอนหายใจกับนิสัยขี้เล่นของสามเกลอ ชายหนุ่มไม่สนใจจะเข้าร่วม แต่รำคาญสายตาคะยั้นคะยอจึงจำใจชี้ส่ง ๆ ไป พร้อมกับสายตาสามคู่ที่เขม้นตามนิ้วเพื่อนอย่างลุ้นระทึก แตกต่างจากคนที่ยังคงนั่งสบาย ๆ จิบเครื่องดื่มในมือ
“เยี่ยม... มึงชี้ได้แม่นมาก” อัศราถอนหายใจ “แต่แน่ใจนะว่าจะให้ไอ้หนึ่งส่งเด็กลงไปบอกว่าแกสนใจ กูว่าบางทีเขาอาจไม่อยากรับสิทธิ์นั้นก็ได้” ท่าทางแปลก ๆ ของเพื่อนทำให้เอื้อการย์ต้องหันไปมองตามมือที่ชี้ แล้วก็แทบจะสำลักเบียร์ในปากเมื่อเห็นสาวผู้โชคร้ายรายนั้น
สามหนุ่มที่เหลือเพียงยักคิ้วให้กัน... ได้เวลาสนุกแล้วสิ