บทย่อ
"นานแค่ไหนคะ" น้ำเสียงของเธอแหบพร่า ปร่าแปร่ง "จนกว่าผมจะพอใจ" ริมฝีปากบางเม้มแน่น... หากไม่ติดคำสัญญาที่เคยให้ไว้แก่ใครอีกคน ไม่ว่าจะให้อยู่ไหนฐานะไหน ขอแค่ได้อยู่ข้างกายเขาเธอจะไม่ลังเลสักนิดที่จะกระโดดตะครุบข้อเสนอนี้ แต่เธอติดคำสัญญากับคนอื่นก่อนแล้ว ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้เธอจึงรับปากไม่ได้ นักธุรกิจหนุ่มมองเห็นความไม่มั่นใจของอีกฝ่าย คล้ายเธอกำลังลังเล ต่อสู้กับความคิดบางอย่างในหัว เขาจึงเอ่ยต่อ "ไม่แน่ว่าผมอาจจะพอใจกับเซ็กซ์ห่วย ๆ ของคุณแค่คืนเดียวก็ได้" --------------------- สายลมพัดเอาปอยผมช่อหนึ่งของเธอหลุดลุ่ย หญิงสาวเพียงยกมือขึ้นปัดเบา ๆ สีหน้ายังแต้มรอยยิ้ม "ชารู้ว่าเอื้อจะมาค่ะ" ประโยคสั้น ๆ ที่ทำเอาคนฟังเจ็บหน่วงในหัวใจ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เอื้อการย์จะรู้สึกขยะแขยงการกระทำอันน่าละอายของตัวเองเท่าครั้งนี้มาก่อน รู้ทั้งรู้ว่าโทรศัพท์ใช้การไม่ได้ แต่เขาก็ยังแสร้งทำเฉยเพื่อทดสอบเธอ และสุดท้าย... กลับกลายเป็นเขาที่เจ็บปวดเอง น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น ภายในใจมีหลายล้านถ้อยคำที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย คนอื่นอาจมองว่าเธอเป็นผู้หญิงบ้าที่นั่งคอยผู้ชายผิดนัดโดยไม่อาละวาดหรือกำลังสร้างภาพ แต่สำหรับเธอ ระยะเวลาแค่สองชั่วโมงนั้นแสนสั้นหากเทียบกับความอ้างว้างตลอดหกปีที่ผ่านมา ...และอีกเกินครึ่งของชีวิตที่เหลือที่เธอจะสามารถทำได้เพียงรอเขาในความว่างเปล่า
บทนำ
“ไอ้ป่านมันมัวไปมุดหัวอยู่ไหนเนี่ย นับวันมันจะสายเข้าขั้นไอ้แป้งไปทุกทีแล้ว” สาวสวยมาดเฉี่ยวแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดนามริณลดาเบ้ปากเมื่อนึกถึงเพื่อนรักที่เป็นคนนัดหมาย แต่กลายเป็นว่าเลยเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่โผล่หน้า
“ใจเย็น ๆ สิจ๊ะริณ” ชลธิชาพยายามยิ้มเอาใจ เอ่ยด้วยเสียงหวานในจังหวะเนิบช้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หวังจะทำให้อีกคนอารมณ์เย็นลง “เย็นวันศุกร์รถก็ติดเป็นธรรมดาแหละจ้ะ ปกติป่านเป็นคนตรงเวลา... อ๊ะ โน่น มาแล้วจ้ะ” คนพูดแทบจะถอนหายใจโล่งอก เพราะหากคนต้นเรื่องยังมาไม่ถึง ดูท่าจะเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นในร้านแน่ ๆ
ร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับรองเท้าส้นเข็มสีแดงสดเยื้องย่างผ่านฝูงหมาป่าที่พากันจ้องมองลูกแกะตาเป็นมัน ก่อนหย่อนตัวลงนั่งตรงโต๊ะที่มีแต่สาวสวย เสียงผิวปากดังแว่วมาแต่ไกล
“ไหงแกมาช้าฮะ เป็นคนนัดแท้ ๆ”
“ช่วยไม่ได้ รถติดจะตาย นี่สั่งอะไรกันรึยัง” คนมาช้าเพียงยักไหล่ว่าอย่างไม่ใส่ใจขณะเอาแต่เอื้อมมือไปดึงเมนูอาหารมาอ่าน
“สั่งแล้วสิยะ ขืนรอแกชาติหน้ายังไม่รู้จะได้กินไหม”
“สั่งทอดมันกุ้งของโปรดให้ป่านด้วยนะ” อาการหันมองซ้ายทีขวาทีด้วยท่าทางจนใจแทบจะไม่เข้ากับลุคหยิ่ง ๆ และใบหน้าเชิด ๆ ของคนกลางอย่างชลธิชา
“ชาที่น่ารัก” สายป่านหันไปหยิกแก้มเนียนของคนข้าง ๆ ก่อนจะนึกได้ว่าเพื่อนรักยังขาดหายไปอีกคน และแน่นอนว่าต้องเป็นคนที่สายเสมอ “อ้าว แล้วไอ้เหม็นล่ะ”
“ป่านน่ะ ชอบล้อแป้งอยู่เรื่อย” ชลธิชาหันไปปรามเพื่อนเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียก เพื่อนคนที่เหลือของเธอชื่อแป้งหอม แต่ทุกคนกลับพร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นแป้งเหม็นเพราะเจ้าตัวขี้เกียจอาบน้ำ ก่อนจะเรียกให้สั้นลงเหลือเพียง ‘เหม็น’ เท่านั้น
“เออว่ะ เห็นบอกว่าอีกสิบนาทีจะถึง นี่ผ่านมาจะครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่โผล่หัว” ริณลดานิ่วหน้าเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายัยจอมหลงขาดการติดต่อไปร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว
“สงสัยหลงทางอีกแน่เลยจ้ะ” ชลธิชาก้มมองนาฬิกาข้อมือ
สายป่านถอนหายใจยาว “นี่แกไม่ได้บอกให้มันใช้รถกับคนขับที่บ้านเหรอ” หันไปคาดคั้นเอากับคนที่กำลังจิ้มเครื่องมือสื่อสารหน้ายุ่ง
“บอกแล้วเถอะ ก็บอกอยู่ว่าวันนี้จะดริงก์ แดรงก์ ดรังก์ ฉลองการเลิกกับแฟนคนที่สามร้อยหกสิบเก้าของแก โอ๊ย!”
“ไม่ตลกค่ะ คุณริณลดา” คนที่เพิ่งโดนแขวะปาเมนูใส่หัวเพื่อนพลางแยกเขี้ยว
ริณลดารอสายอยู่นาน สุดท้ายได้แต่โยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “ไม่รับว่ะ สงสัยขับรถอยู่แหง ๆ”
“แกส่งพิกัดร้านเข้าไปในไลน์กลุ่มดิ๊ เผื่อมันจะเปิดอ่าน” แม้จะเคยมาร้านนี้เป็นร้อย ๆ รอบ แต่ยัยเอ๋อก็ยังหลงทางได้ตลอดจนเพื่อน ๆ พากันกุมขมับส่ายหน้า ขนาดห้องน้ำในหอพักของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือของห้องพัก ยัยเอ๋อยังเดินเลี้ยวขวาไปโผล่อีกปีกของตึกเป็นประจำ
“ส่งแล้ว แต่ฉันไม่ไว้ใจ แม่ง... เพื่อนแกยิ่งป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อยู่”
สายป่านเลิกคิ้ว ชี้ตัวเอง “อ้อ... เพื่อนฉันคนเดียวงั้นสิ”
ชลธิชาที่เห็นเพื่อนทั้งสองกำลังจะวางมวยรีบยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะหันไปเห็นร่างเล็ก ๆ ผ่านประตูร้านเข้ามา “อ๊ะ แป้งหอมมาแล้ว”
“โห หน้าตูมมาเลย เพิ่งตื่นแหง” ริณลดาไล่สายตาขึ้น ๆ ลง ๆ สำรวจร่างคนมาใหม่ด้วยใบหน้าละเหี่ยใจ “ฉันเคยบอกมันไปแล้วไม่ใช่เหรอวะว่าอย่าใส่เสื้อลายทางคู่กับกระโปรงลายดอก มันดูรก เลอะ เกร่อ เกลื่อน แล้วก็เรื้อนมากกก” เจ้าแม่กูรูด้านความสวยความงามกอดอกมองเพื่อนรักอย่างรำคาญใจ หากไม่ติดว่าหิวก็คงจะขอหิ้วแม่นี่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมใหม่แล้ว
“เอาน่า ๆ ก็เห็นอยู่ว่ามันเพิ่งตื่น ที่สายนี่ไม่น่าจะเพราะหลงนะ เพราะมันหลับเพลินมากกว่า”
“กว่าจะเสด็จมานะยะแม่ตัวดี” ริณลดาเอ่ยปากเหน็บทันทีที่อีกฝ่ายหย่อนก้นน้อย ๆ ลงบนเก้าอี้
หญิงสาวไซส์มินิ ตัวเล็กผิวขาว หน้าตาน่ารักทำเพียงหัวเราะเก้อ ๆ ไม่นำพาคำต่อว่าต่อขานของเพื่อน เธอเสยกเมนูขึ้นอ่านแล้วแอบหันไปถามคนข้าง ๆ “ริณมันไปกินรังแตนที่ไหนมา หรือว่าความจริงวันนี้ที่เลี้ยงเพราะมันอกหักแต่กลัวเสียหน้าเลยทำเป็นมาบอกแป้งว่าเลี้ยงให้ป่านใช่ไหม”
“ตลก!” คนถูกนินทาชะโงกมาเขกหัวเพื่อนจอมมึน “เลี้ยงไอ้ป่านย่ะ ไม่ใช่ฉัน เพราะฉันยังไม่เคยอกหัก...”
“แหงล่ะ เพราะแกยังไม่เคยคบใคร เป็นประเภทไม่มีใครเอา โอ๊ย...”
“จะกินน้ำตาต่างเหล้าใช่มะ”
“เปล่าจ้าเปล่า” คนดวงซวยรีบยกมือขึ้นโบกพลางยิ้มประจบ
ชลธิชามองเพื่อนตัวเองซ้ายทีขวาทีแล้วยิ้มขำ ก่อนจะหันไปถามคนป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อย่างเป็นห่วง “แป้งให้คนขับรถขับมาส่งใช่ไหมจ๊ะ”
ปิยวลีส่ายหน้า “เปล่า พี่ปุณมาส่งน่ะ”
“อ้าวเฮ้ย... ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา...”
“พอ ๆ” ริณลดารีบยกมือขึ้นปรามก่อนที่สายป่านจะร้องจนจบเพลง “แล้วพวกเราจะกลับกันยังไง”
“อ้าว... แป้งลืม” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มแหย ๆ เปิดทาง
“อีกแล้ว!” สามสาวที่เหลือตะโกนพร้อมกันไม่เว้นแม้แต่คนเรียบร้อยอย่างชลธิชา
“ฉันบอกแล้วว่าอย่าไปหวังพึ่งมัน”
คนต้นเรื่องได้แต่เกาหัว ยิ้มแห้ง ๆ “ก็แป้ง... เพิ่งตื่น แล้วพอหันไปมองนาฬิกาก็... มันก็เกือบจะเลยเวลานัดแล้ว... แล้ว...”
“แกช่วยสรุปมาเลยได้ไหม ไม่ต้องเท้าความไปถึงตอนกรุงศรีอยุธยาเพิ่งเริ่มสร้างราชธานีหรอก” ริณลดาหันไปประชด
“เอางี้ ฉันสรุปความให้ คือแกเอาแต่นอนจนลืมบอกคนขับรถ พอตื่นมาปรากฏว่าป้าแกใช้คนขับรถไปแล้ว แล้วเผอิญพี่ปุณก็แวะมาบ้านแกพอดี ใช่มะ” สายป่านกอดอกร่ายยาวเสร็จสรรพราวกับไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์
ปิยวลีผงกหัวขึ้นลงไม่หยุดราวกับตุ๊กตาไขลาน ดวงตากลมโตมองเพื่อนรักอย่างเทิดทูน “ป่านรู้ได้ไงอะ”
“คบกันมาจะชาติ มันก็เป็นงี้ทุกทีไม่ใช่เหรอ ชีวิตแกไม่ว่าจะซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนยังไงก็จะมีพี่ปุณโผล่มาเป็นฮีโร่ โชคดีฉิบ...” สายป่านเบ้ปากให้กับคนโชคดีที่มีชีวิตโคตรน่าอิจฉา
“อาหารมาแล้วจ้า อย่าเพิ่งเอาแต่คุยเลย ริณเองก็บ่นหิวตั้งแต่มาถึงแล้วนี่ เอาข้าวเพิ่มไหม” ชลธิชารับหน้าที่ห้ามศึกอีกครั้ง
“ไม่... อ้วน!”
“คือถ้าพวกแกกะจะกินจนอิ่ม จะนัดมาในร้านแบบนี้ทำไมวะ” สายป่านว่าพลางหันไปมองบริเวณรอบ ๆ ร้านอาหารกึ่งผับ
“หาเหยื่อ” ริณลดาต่อประโยคให้
“คือมาแดกข้าวในนี้มันแพง รู้ไหมวะ” เจ้ามือบ่นกระปอดกระแปด
ชลธิชารีบตักทอดมันกุ้งมาวางบนจานเพื่อนรักแล้วเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวพวกเราช่วยหาร”
“หยุดเลยไอ้ชา แกจะบ้าเหรอวะ นาน ๆ ครั้งยัยขี้เหนียวนี่จะเอ่ยปากสักที อย่างนี้มันต้องกินจนล่มจม”
“อ้าว ไหนริณบอกว่ากลัวอ้วนไง” ปิยวลีว่าเอ๋อ ๆ คนโดนทักเลยได้แต่เดือดปุด ๆ
“กินของไอ้ป่าน ไม่อ้วน!”
คนถูกดุยกมือขึ้นเกาหัวคล้ายไม่แน่ใจ “อันนี้ทฤษฎีใหม่ที่ริณค้นพบเหรอ”
“แป้งหอมจ๋า... ชาว่าแป้งนอนมานานน่าจะหิว อะ... นี่จ้ะ กินยำทะเลหน่อยนะ” คนถูกย้อนกำลังนั่งหายใจฟืดฟาด กำส้อมในมือแน่น ชลธิชาที่รู้ว่าพายุใหญ่กำลังจะมาจึงรีบหันเหความสนใจยัยเอ๋อ กลัวว่าคนอารมณ์ร้อนจะเอาส้อมแทงคอเพื่อนตายก่อนจะกินเสร็จ
มื้ออาหารผ่านไปอย่างรวดเร็วและทุกอย่างในจานก็สะอาดเกลี้ยงจนแทบไม่ต้องเสียเวลาล้างท่ามกลางท่าทางคล้ายขยาดของหนุ่ม ๆ เมื่อเห็นกลุ่มสาวสวยเอวบางร่างน้อยจัดการอาหารไปกว่าสิบจานเสียสะอาดเกลี้ยงเกลา นี่หากกินกระดูกได้ แม่สาวสี่นางก็คงจะฟาดไม่เหลือ สายป่านยกมือเรียกพนักงานมาเก็บจานและสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฤทธิ์แรงพร้อมกับของกินเล่นเพิ่มอีกสามสี่อย่าง
“เดี๋ยวก่อนสิป่าน สั่งไปแบบนั้นแล้วเราจะกลับบ้านยังไง” ชลธิชาร้องท้วง เพราะวันนี้พวกเธอตั้งใจจะดื่มจนเมาจึงเลือกทิ้งรถไว้ที่บ้านแล้วใช้บริการขนส่งสาธารณะแทน กะว่าขากลับจะให้คนขับรถของปิยวลีไปส่ง
“เออ ลืม” สายป่านตบหน้าผากก่อนจะหันไปหายัยตัวการ “เอาไง เรียกพี่ปุณของแกมารับก็แล้วกัน”
ปิยวลีเบ้ปาก แต่ก็ยอมล้วงโทรศัพท์ออกมา
“แกออกไปโทรข้างนอกเลย เดี๋ยวมาอิ๊อ๊ะจ๊ะจ๋าพี่ปุณคะ พี่ปุณขาอีก รำคาญลูกตา” ริณลดาว่าพลางสะบัดมือไล่ ขณะคนโดนว่าเริ่มเบะ ร่ำร่ำว่าจะปล่อยโฮออกมา
“คืออิจไง เป็นพวกตัวร้ายที่ชอบอิจฉาตาร้อน” สายป่านเท้าคางกระแนะกระแหน
“ก็ฉันเบื่อพวกมัน เบื่อความสัมพันธ์ก้ำ ๆ กึ่ง ๆ จะพี่ชายก็ไม่ใช่ พี่ข้างบ้านก็ไม่เชิง สักวันเถอะจะกลายเป็นพี่น้องท้องติดกัน” ริณลดากระแทกกระทั้นทอดมันกุ้งลงในน้ำจิ้มจนเกล็ดขนมปังร่วงกราว
“งือ ริณใจร้าย”
“โอ๋ ๆ อย่าไปฟังคนขี้อิจฉาเลยนะ โทรไปจ้ะ โทรไปบอกให้พี่ปุณมารับพวกเราก่อน สักห้าทุ่มดีมะ พรุ่งนี้ฉันมีงานแต่เช้า” สายป่านรุนหลังเพื่อนให้รีบออกไปจัดการ
ริณลดาเบ้ปาก “พรุ่งนี้วันเสาร์ไหมคะเพื่อน”
คนงานยุ่งเพียงยักไหล่ “ทำไงได้ ก็คนมันฮอต”
“ฮอตบ้านแกเถอะ อย่างนี้เขาเรียกใช้งานเกินสัญญาจ้าง ต้องฟ้องกรมแรงงาน!”
“ไม่ใช่ฟ้องสคบ.เหรอ” ยัยเอ๋อหันมาถาม ขณะที่ทุกคนพากันถอนหายใจ
สายป่านโบกมือไล่พลางกลอกตา “เอ๋อ เอ๊ย... มึน เอ๊ย... เหม็น รีบไปโทรบอกพี่ปุณก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่แกจะไปนัดคนอื่นซะก่อน”
“เออ ๆ ใช่ ๆ แป้งลืมไปว่าต้องโทรตามพี่ปุณ”
“ยายปลาทอง ฉันละอยากจะผ่าสมองแกออกมาดูจริง ๆ ว่าในนั้นมันมีอะไรบ้างนอกจากไขมัน!”
ชลธิชาหัวเราะขำกับคำเปรียบเปรยของเพื่อน ก่อนจะชักชวนให้คนอื่น ๆ หันมาสนใจเครื่องดื่มตรงหน้าแทนที่จะไปว่ายัยเอ๋อ เพราะเดี๋ยวเอาแต่คุยไปคุยมาจะกลายเป็นว่ายัยเอ๋อลืมอีก
หลังจากปิยวลีกลับมารายงานว่าพี่ปุณจะมารับทุกคนตรงเวลาไม่มีขาดมีเกิน สาว ๆ ในกลุ่มจึงเร่งทำเป้า กระดกแก้วแล้วแก้วเล่าพลางค่อนขอดคนอกหักจนสายป่านถูกจ้วงแทงเสียเลือดอาบ... ตัวซีด ริณลดาจึงกระดกนิ้วที่กำลังยกแก้วชี้เหยื่ออีกราย และเพื่อนทั้งสองคนก็หันไปมองเจ้าทุกข์รายต่อไปอย่างพร้อมเพรียง
“จบเรื่องไอ้ป่านแล้ว มาต่อเรื่องแกเลยไอ้ชา”
คนถูกจ้องขยับตัวน้อย ๆ สายตาคาดคั้นแบบนั้นทำเอาเธอหายใจไม่ทั่วท้อง “ก็... นิดหน่อยน่ะ ริณรู้ได้ไง”
“ชาจ๋า อย่างชาน่ะนะ ยิ้มหลอกลวงแบบป่านไม่ได้หรอกเวลามีเรื่องในใจ” สายป่านช่วยเฉลย
ปิยวลีพยักหน้าเห็นด้วย “ชาสู้ป่านไม่ได้หรอกจ้ะ รายนั้นเขามีรอยยิ้มการค้าแปะหราอยู่บนหน้า จะทุกข์จะโศกก็ปั้นหน้ายิ้มขายของได้ตลอดแหละ”
“นี่ไม่หลอกด่าเพื่อนจะนอนไม่หลับ... ว่างั้น” สายป่านหันไปจิ้มหน้าผากปิยวลีด้วยท่าทางแค้นเคือง ไม่รู้ว่าชื่อปิยวลีที่ควรจะหมายถึงถ้อยคำอันแสดงความรักนั้น ทำไมพอยัยนั่นพูดออกมาจึงกลายเป็นถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความแค้นทุกที
“สรุปว่าไง มีไรก็เล่ามา หรือจะให้มอมเหล้าแล้วง้างปาก” ริณลดาเร่งรัดตามนิสัยคนใจร้อน
คนถูกซักก้มมองมือ ถอนหายใจ แต่ใบหน้ากลับระบายยิ้ม เธอมีเพื่อนไม่มากนัก... ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอเป็นคนมีเพื่อนน้อยมาก แต่ปริมาณจะสำคัญอะไร แค่มีเพื่อนที่รักและเข้าใจเธอแบบสามคนนี้ก็มากพอแล้วสำหรับชีวิตคนคนหนึ่ง
“ชาจะกลับไปหาเอื้อ”
“อืม ก็แค่นี้” ริณลดาพยักหน้า ก่อนจะอ้าปากค้างอีกครั้ง “แกว่าไงนะ!”
“คือเดี๋ยวนะจ๊ะชา เอื้อนี่ใช่เอื้อการย์ไหม...” ปิยวลีละล่ำละลักเอ่ยต่อ
สายป่านไม่รอให้อีกฝ่ายถามจบก็รีบเอ่ยแทรก “เอื้อการย์ จิรวานนท์ คนที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับป่านน่ะนะ คนที่แม่งมีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านคนนั้นน่ะเหรอ?”
“อืม จ้ะ แล้วก็เป็นคนที่ชาทิ้งไปเมื่อหกปีก่อน”
“โอ้-มาย-ก็อด”