1
แค่สถานะเดียวเท่านั้น
‘เอื้อคะ... ชาขอโทษ’ น้ำเสียงแหบพร่าของเธอแผ่วเบาแตะลงกลางใจของเขาที่กำลังสั่นสะเทือน เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงตรงหน้า
เอื้อการย์ไม่เคยคิดว่าการพบกันครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่เขาพยายามเร่งงานให้เสร็จแล้วบินกลับมาก่อนกำหนดเพราะทนคิดถึงเธอไม่ไหว และเหนือสิ่งอื่นใดคืออยากจะนำข่าวดีเรื่องงานที่ประสบความสำเร็จมาบอกแก่เธอเป็นคนแรก พร้อมกับเอ่ยปากหมั้นหมายขอให้เธอเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างเป็นทางการ
เขาแทบจะเห็นภาพดวงตาเป็นประกายสุกใสสะเทิ้นอายยามเขาคุกเข่าลงตรงหน้า แก้มเนียนใสคงแต้มสีระเรื่อเหมือนที่เขาคุ้นชิน ทุกอย่างเด่นชัดในจินตนาการ ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงที่เดินทางเขาเอาแต่เฝ้าคิดทบทวนคำพูดที่จะใช้ ของขวัญที่เตรียมไว้เซอร์ไพรส์... แต่สิ่งสุดท้ายที่เขาจะคิดถึงคือภาพของคนรักที่กำลังเอ่ยปากขอตัดความสัมพันธ์ด้วยใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตา
ทั้งสองปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่นาน กว่าชายหนุ่มจะตั้งสติเอ่ยถามเสียงแปร่ง
‘ทำไม... เอื้อไม่เข้าใจ’ มือสองข้างของเขากำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว
ใบหน้างามยังคงก้มต่ำ แต่นั่นก็ไม่อาจปิดบังดวงตาบวมช้ำราวกับคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มายาวนาน
‘ชา... ขอโทษ ชาไม่... ดีเอง’ ถ้อยคำของเธอแผ่วเบาจนแทบจับใจความไม่ได้ หยาดน้ำตารินไหลไม่ขาดสาย ไหล่บางสั่นสะท้านอย่างน่าสงสาร เอื้อการย์อยากจะรั้งเธอเข้ามากอด อยากปลอบประโลม หากว่าเรื่องที่เธอกำลังกล่าวมานั้นจะไม่ใช่คำขอเลิก
เขาปิดเปลือกตาขณะทิ้งตัวลงกับพนักเก้าอี้... ตอนนี้หัวใจที่รวดร้าวของเขากำลังแฝงไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น แม้อยากจะรู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงเอ่ยปากขอเลิกกัน แต่อีกเสี้ยวหนึ่งกลับกำลังหวาดกลัวคำตอบ
หน่วยตาของเขาร้อนผ่าว น่าแปลกที่เจ็บปวดถึงเพียงนี้แต่น้ำตากลับไม่รินไหล หรืออาจเพราะมันกำลังรินรดในหัวใจ ตกกระทบบาดแผลจนร้าวราน
‘เอื้อ...’ ชายหนุ่มพยายามกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ‘หรือเพราะเอื้อไม่มีเวลาให้’
ชลธิชาผงกศีรษะเบา ๆ มีเพียงเสียงสะอื้นที่ตอบกลับมา
‘ถ้าเอื้อปรับปรุงตัวล่ะชา ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ อีกไม่นาน...’
ผมนุ่มสลวยของเธอสะบัดตามแรง หญิงสาวเอาแต่ส่ายหน้าทว่ายังไม่ยอมสบตา ‘มันสายไปแล้วค่ะ เอื้อไม่ผิด คนที่ผิดคือชา เป็นชาที่ไม่ดี ไม่ใช่เอื้อ เอื้อไม่ควรต้องปรับปรุงตัว เอื้อดีกับชาเสมอ’
‘แล้วทำไม...’
‘ชา... มีคนอื่น ความใกล้ชิด... ทำให้ชา... หวั่นไหว’
เอื้อการย์ชะงักค้าง หัวใจที่กำลังบอบช้ำแทบหยุดเต้น ทุกอย่างหมุนคว้างไปหมดราวกับจู่ ๆ ก็มีมือที่มองไม่เห็นเอื้อมมาปิดสวิตช์ มันมืดสนิทจนหาทางออกไม่เจอ
คำว่า มีคนอื่น กำลังคว้านหัวใจของเขาออกไปฉีกกระชากอย่างเลือดเย็น เขายินดียอมรับเหตุผลเลวทรามบัดซบที่ตัวเองเป็นฝ่ายกระทำไว้ได้ แต่ต้องไม่ใช่... เธอมีคนอื่น คนที่กำลังเข้ามาแทนที่เขา เข้ามาแทรกทั้ง ๆ ที่เขายังยืนอยู่
‘มันเป็นใคร’ น้ำเสียงแหบพร่าติดกระด้าง แต่อีกคนกลับเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมปริปาก
‘ในเมื่อชาเป็นฝ่ายเลือกที่จะไป และชาบอกว่าเอื้อไม่ใช่คนผิด เอื้อก็มีสิทธิ์ที่จะรู้’
แค่สองเดือน เขาไม่อยากเชื่อว่าระยะเวลาเพียงเท่านี้จะทำให้เธอมีใจเป็นอื่น หรือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา... ไม่ แม้ว่าช่วงหลายเดือนมานี้เขาจะยุ่งแค่ไหน แต่เธอก็ยังคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่มีทางที่เธอจะทรยศหักหลังเขาอย่างเลือดเย็น ชลธิชาที่เขารู้จักไม่ใช่คนอย่างนั้น
‘ชารู้ว่าชาผิด ชาไม่หวังให้เอื้อให้อภัย ชารู้ว่าแม้แต่คำว่าเพื่อน เอื้อก็คงไม่มีให้ แต่...’ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา ขาดหาย ‘แต่ชาก็ยังอยากจะเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเอื้อ’
‘เอื้อไม่อยากเป็นเพื่อน...’
ปลายเสียงของเขาเว้าวอนจนคนฟังสั่นสะท้าน พยายามไม่เงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาสีรัตติกาลที่มีอำนาจเหนือเธอเสมอมา
‘ไม่มีทางเลยเหรอคะ’
‘เอื้อให้ชาได้แค่สถานะเดียวเท่านั้น’ ในเมื่อเธอไม่เปิดทางเลือกให้เขา เขาก็จะเป็นฝ่ายให้เธอเลือกเอง ระหว่างคนในอดีตกับปัจจุบัน เธอเลือกให้เขาได้แค่สถานะเดียว
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนเธอเผลอเงยหน้า ดวงตาทั้งสองสบกัน ภายในนั้นมีแต่ความร้าวรานไม่แตกต่าง ทว่านอกจากความเจ็บปวด ดวงตากลมโตยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด... ชัดเจน จนกลายเป็นเขาเองที่ต้องเบือนหน้าหนี อยากจะหลอกตัวเองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องโกหกที่ชลธิชาอยากจะล้อเล่นกับเขา อยากให้มันเป็นแค่เรื่องบัดซบที่ใครสักคนนึกแกล้งกัน
แต่ส่วนลึกในจิตใจกลับย้ำชัดว่าเธอไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นบนความทุกข์ของคนอื่น
‘ถ้าชายังยืนยันว่าเรื่องของเรามันจบแล้ว ก็ขอให้มันจบลงตั้งแต่วันนี้’
‘เอื้อ...’ ริมฝีปากของเธอเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ใบหน้านวลซีดเผือดไร้สีสัน ดวงตาหม่นแสงราวไม่เหลือสิ้นแม้ความหวัง
เขายังคงจ้องหน้าไม่ยอมหลบตา แม้ว่ามือหนาจะกำแน่นจนสั่น แต่ก็ยังสามารถระงับอารมณ์ไว้ไม่ให้อาละวาด
‘ขอบคุณ ชาขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้อเคยทำให้ชา ขอบคุณ... ความรักที่เคยมอบให้กัน หากมีวันหนึ่ง วันหนึ่งที่เอื้อ... หากเอื้อเอ่ยปากขอ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ชาก็จะทำให้’
‘ชาก็รู้ว่าเอื้ออยากได้อะไร’
เธอยังคงเอาแต่ส่ายหน้า ทว่าสายตาที่จ้องตอบกลับแน่วแน่ มั่นคงจนหัวใจคนมองเจ็บแปลบ
‘ชาขอให้เอื้อโชคดีนะคะ’ เธอคลี่ยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย ยิ้มที่จะตราตรึงในหัวใจของเขาไม่เสื่อมคลาย ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นก้าวออกไป
เอื้อการย์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับว่าทั้งโลกนี้เหลือเพียงตัวเขา คล้ายกับไม่อยากรับรู้สิ่งใด โดยเฉพาะหัวใจที่เจ็บปวด ชลธิชาที่เขารู้จักมั่นคงเสมอ เธออ่อนหวานแต่เด็ดเดี่ยว หากตัดสินใจแล้วเธอจะไม่หวนกลับ แววตาที่แน่วแน่ของเธอย้ำชัดว่านี่คือสิ่งที่เธอตัดสินใจเลือกแล้ว แต่แค่สองเดือน... ระยะเวลาเพียงเท่านี้มันน้อยเกินไปที่จะทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว เขาไม่รู้ว่าความรักครั้งนี้เดินมาสุดทางได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่...
ชายหนุ่มลุกพรวดพราดวิ่งตามออกไป สองเท้าของเขาขยับไปตามหัวใจเรียกร้อง ร่างบางของเธออยู่ตรงหน้า ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า ทว่าก่อนที่เขาจะทันสัมผัสเธอ ร่างเล็ก ๆ นั้นกลับโผเข้าสู่อ้อมกอดของใครบางคน สองขาของเขาหยุดชะงัก ถูกตอกตรึงไว้กับพื้น หัวใจเจ็บปวดคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นค่อย ๆ บีบรัด ทั้งรวดร้าวและอึดอัดราวกับคนกำลังจะตาย ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับกำลังจะชะล้างเรื่องราวของเธอและเขาออกไป... ตลอดกาล
ร่างสูงกึ่งเปลือยทะลึ่งตัวลุก มือแกร่งกดลงตรงหน้าอกด้านซ้าย พยายามสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะสลัดศีรษะไล่ความง่วงงุน ทันทีที่รับรู้ถึงบรรยากาศรอบตัว อาการปวดหัวจนแทบระเบิดก็แล่นเข้าจู่โจม ไม่นับรวมถึงเสียงกรีดร้องที่ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด เอื้อการย์กระชากผ้าห่มออกจากตัวขณะเอื้อมมือไปคว้าเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ข้างหัวเตียง หัวคิ้วกดลงทันทีที่เห็นสายเรียกเข้า เขาถอนหายใจยาวก่อนจะกดรับ
“ครับแม่”
“ตาเอื้อ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” น้ำเสียงปลายสายไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่เขาคร้านจะสนใจ ทำเพียงระบายลมหายใจยาว ๆ ก่อนจะก้าวลงจากเตียงกว้าง
“ไม่รู้สิครับ ผมยังไม่ได้ดูนาฬิกา”
“ไม่ต้องมาย้อนแม่” อีกฝ่ายว่าเสียงเรียบ “แล้วนี่เพิ่งตื่นใช่ไหม”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำง่าย ๆ แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวติดมือเดินเข้าห้องน้ำ
“นี่มันบ่ายสองแล้ว แล้วนี่คงไม่ลืมใช่ไหมว่าวันนี้ลูกต้องไปงานคุณหญิงวรรณากับแม่ ว่าแต่เมื่อคืนเราหิ้วใครกลับมานอน หวังว่าคงไม่ใช่แม่กันทราหรอกนะ”
“ใครก็ไม่รู้ครับ เอื้อจำไม่ได้ แต่ไม่ใช่แทนี่ เมื่อคืนเธอมีงานเดินแบบ” สมองของเขายังทำงานไม่เต็มร้อยด้วยซ้ำก็ต้องใช้มันเค้นหาคำตอบให้มารดา “อ้อ... เอื้อไม่เคยให้ใครมานอนด้วย แม่สบายใจได้ครับ เสร็จกิจแล้วต่างคนต่างแยกย้าย เขาไปทาง ส่วนเอื้อก็ลากสังขารกลับห้อง” ชายหนุ่มเอ่ยตามจริง เพราะถือครองโรงแรมและคอนโดอยู่หลายแห่ง เจ้าตัวจึงเลือกที่จะกันหนึ่งห้องไว้เฉพาะเวลาต้องการปลดปล่อย แยกออกจากความเป็นส่วนตัวที่ไม่ปรารถนาจะให้ใครก้าวเข้ามาวุ่นวาย
“ตาเอื้อ!” อีกฝ่ายแหวขึ้นทันทีที่บุตรชายเพียงคนเดียวพูดโต้ตอบ
“โธ่... แม่ครับ แม่จะโมโหกับเรื่องที่รู้คำตอบอยู่แล้วทำไมล่ะครับ”
“แล้วจะไม่ให้ฉันโมโหได้ยังไง แกไปหิ้วใครกลับมานอนก็ยังไม่รู้ ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าพวกนั้นทั้งสกปรกทั้งคิดจะจับแก...”
“ผมรู้วิธีป้องกันครับแม่ รับรองว่าเอื้อเลือกแต่ที่ไว้ใจได้ สามเดือนก่อนก็เพิ่งไปตรวจสุขภาพมา ยังแข็งแรงดีไม่มีโรค เอาไว้ก่อนไปภูเก็ตรอบนี้เอื้อจะไปตรวจอีกรอบนะครับ”
“ตาเอื้อ!”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำเนือย ๆ เพียงวางโทรศัพท์แล้วเปิดเสียงออกลำโพงขณะบีบยาสีฟันใส่แปรง “ถ้าแม่ยังไม่หยุดบ่น ผมอาจจะไปสายนะครับ”
“งั้นเจอกันที่งาน แกไม่ต้องมารับแม่แล้ว เดี๋ยวแม่ให้เจ้าบุญขับไปส่ง”
“เอาตามนั้นนะครับ”
“ย่ะ ทีเป็นแม่ล่ะ ขี้เกียจมารับเชียวนะ”
ชายหนุ่มเพียงกลอกตา “เอื้อไปรับได้ แต่แม่แค่ใจเย็น ๆ รอหน่อย”
“โอ๊ย ขืนรอแกคงไปถึงตอนงานเลิกพอดี เอาเป็นว่าไปเจอกันที่งานเลยก็แล้วกัน”
“คร้าบ” เขากดวางสาย ดวงตาคมยังจ้องมองในกระจก ผู้ชายใบหน้าคมสันแต่ดวงตากลับไร้แววมองตอบกลับมา เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาคล้ายจะมองเห็นภาพใบหน้าหวานของใครบางคน ก่อนที่จะรีบสั่นศีรษะ สองมือกำแน่น ดวงตาแห้งผากแปรเปลี่ยนเป็นคมกล้า แฝงไว้ด้วยแววเยาะเย้ยถากถาง
หกปีแล้วสินะ หกปีแล้วที่เขาละทิ้งเอื้อการย์คนเก่าที่เคยซื่อสัตย์ ผู้ชายที่เคยมีหัวใจรักอบอุ่นได้ตายไปจากโลกนี้พร้อมกับหญิงสาวมากรักลวงโลกคนนั้นที่หายไปจากชีวิตของเขา
งานการกุศลส่งเสริมสินค้าไทยครั้งนี้จัดขึ้นที่โรงแรมหรูย่านใจกลางเมือง ตัวตั้งตัวตีคือคุณหญิงวรรณา โดยความร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตทั้งหลายที่ได้นำสินค้าหัตถกรรมของไทยมาร่วมประมูล และเหล่าผู้มีชื่อเสียงที่สวมหน้ากากความใจบุญ เงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะนำไปสมทบทุนมูลนิธิเพื่อชาวเขาและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ความรุนแรงและผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เด็กหลายคนต้องกำพร้าบุพการี ขาดแคลนทุนทรัพย์และไม่ได้รับการศึกษา
เอื้อการย์ก้าวเข้ามาในงานพร้อมกับสายตาจับจ้องของใครหลายคน รอยยิ้มบาง ๆ ของเขาแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากเสมอ ภาพลักษณ์ผู้บริหารหนุ่มที่ปรากฏต่อสาธารณชนของเขาชวนให้ผู้คนหลงใหลโดยเฉพาะสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลาย หากเพียงใครสักคนจะพยายามมองเขาด้วยใจจริง ใช้หัวใจมองผู้ชายตรงหน้า พวกเขาคงจะสัมผัสได้ถึงความเย็นชาและไร้ไมตรี ริมฝีปากสวยได้รูปนั้นเพียงแค่ยกยิ้ม แต่แววตากลับเย็นเยียบ
ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปทักทายเจ้าของงานท่ามกลางแสงแฟลชของกล้องถ่ายรูปจากสื่อหลายแขนง แม้ว่าตระกูล จิรวานนท์ จะมิใช่ผู้ผลิตสินค้าหัตถกรรมหรือส่งออกสินค้าไทย ทว่าเขาคือเจ้าของกิจการห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และยินดีจะอ้าแขนรับสินค้าเหล่านี้ให้เข้าไปจัดบูธและวางขายอยู่ในห้างร้านของตัวเอง นับว่าเป็นผู้สนับสนุนสินค้าไทยรายใหญ่เลยทีเดียว รวมถึงการให้พื้นที่ในการจัดงานครั้งนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
เอื้อการย์แย้มยิ้มพูดคุยกับผู้คนส่วนใหญ่ด้วยท่าทางสบาย ๆ อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ อ่อนโยนต่อผู้น้อย แต่ทุกท่วงท่ากลับแฝงไว้ด้วยอำนาจและความสง่าผ่าเผยที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเบนสายตาไปจากร่างสูงตรงหน้าได้ ไม่เพียงใบหน้าหล่อเหลา ทุกท่วงท่าของเขานั้นน่ามองราวกับเป็นศิลปะชั้นยอด ชายหนุ่มในวัยย่างสามสิบปีคนนี้ได้รับตำแหน่งหนุ่มเนื้อหอมจากนิตยสารที่สาว ๆ ต่างพากันหลงใหลคลั่งไคล้มานานหลายปี
“ไม่ทราบว่าโครงการ ดิอเวนิว ที่ภูเก็ตคืบหน้าไปถึงไหนแล้วครับ” นักข่าวคนหนึ่งเอ่ยถาม
เอื้อการย์หันไปยิ้มให้อีกฝ่าย ขณะที่มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงในท่าทางไม่เป็นทางการ “อีกไม่เกินสองเดือนครับ เมื่อได้กำหนดการเปิดตัวที่แน่นอนแล้ว ทางเราจะรีบแจ้งให้ทุกท่านทราบ เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนทุกคนด้วยนะครับ” รอยยิ้มของเขากดลึกลงอีกนิด ทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ่งดูอ่อนโยน
“เป็นเกียรติมากเลยครับ แล้วไม่ทราบว่าที่ดิอเวนิวจะเปิดบูธให้สินค้าไทยไหมครับ”
“แน่นอนเลยครับ เราจะจัดให้มีการเปิดบูธสินค้าหัตถกรรมตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว”
“แล้ววันนี้คุณเอื้อการย์ตั้งใจจะมาประมูลของที่น้องแทนี่เป็นผู้เดินใช่ไหมคะ”
“ผมตั้งใจจะมาเลือกสินค้าให้คุณแม่น่ะครับ ท่านชอบใช้ของไทย ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม เครื่องเงิน หรือกระเป๋าสาน” ชายหนุ่มเอ่ยเรื่อย ๆ ยามเลื่อนสายตาไปจับจ้องมารดา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่วายแสร้งค้อน ทำเอาทั้งนักข่าวและผู้ร่วมงานต่างพากันยิ้มขำ
“ลูกคนนี้เขาปากหวานค่ะ”
“มิน่าล่ะ ถึงได้มีสาว ๆ วิ่งตามกันให้วุ่น” คุณหญิงวรรณาเอ่ยเสริม เรียกเสียงหัวเราะของใครหลายคน
“แหม คิดว่าจะเปิดตัวหวานใจในงานวันนี้ซะอีกนะคะ” ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ ของเขาทำให้นักข่าวหลายสำนักกล้าหยอกเย้ามากกว่าผู้บริหารรายอื่น แต่ขณะเดียวกันก็ให้พื้นที่ข่าวแก่เขามากกว่าใคร รวมถึงความเป็นกันเองนั้นยังผูกมิตรจนไม่ค่อยมีนักข่าวคนไหนเขียนข่าวของเอื้อการย์ในทางเสียหาย ยกเว้นก็แค่เรื่องที่เขาเปลี่ยนคู่ควงบ่อย
ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะโยนเรื่องนี้กลับไปให้คนเป็นแม่ “ยังหรอกครับ มีลูกชายหล่อ คุณแม่ท่านหวง ยังอยากให้โสดไปนาน ๆ”
“ใช่ไหมคะคุณกาน” นักข่าวคนเดิมหันไปขอความเห็นจากกานต์สินีผู้เป็นมารดาทันที
“โอ๊ย อย่าไปฟังพ่อคนนี้เลยค่ะ หัวอกคนเป็นแม่ก็อยากให้แกเป็นฝั่งเป็นฝาไว ๆ นี่ก็อยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว”
“อ้าว คุณแม่อย่าหักหลังกันออกสื่อแบบนี้สิครับ” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นค้อนก่อนจะหันมาคุยกับนักข่าว “ผมว่าเราเข้าไปด้านในกันดีกว่านะครับ อย่าสนใจเรื่องของผมอีกเลย เดี๋ยวคุณน้าวรรณจะงอนผมซะก่อน เข้าไปดูสินค้าสวย ๆ งาม ๆ ข้างในน่าจะดีกว่าหน้าตาโหล ๆ ของผมนะครับ” เอ่ยจบแล้วจึงส่งมือให้ผู้เป็นมารดา ขณะที่นักข่าวต่างพากันส่ายหน้าหัวเราะ ยอมให้นักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอมรอดตัวไปอีกครั้ง
แสงไฟในงานสลัวลง แตกต่างจากบริเวณด้านหน้าที่สว่างไสว ด้านในสุดเป็นเวทีที่ทอดตัวยาวออกมาด้านหน้าเป็นรูปตัวที เก้าอี้สองฟากฝั่งตั้งเรียงเป็นแนว เอื้อการย์แทบไม่ต้องมองหาที่นั่งเมื่อผู้ประสานงานรีบเข้ามาเชิญ สำหรับนักธุรกิจหนุ่มที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลลำดับต้น ๆ ของประเทศ ที่นั่งของเขาย่อมต้องดีที่สุดเสมอ ชายหนุ่มพามารดาเดินตรงเข้าไปทันทีขณะที่มีผู้ใหญ่หลายท่านก้าวเข้ามาทักทายมารดาของเขา
“สวัสดีค่ะคุณพี่” ร่างสมส่วนแม้วัยจะล่วงเลยเข้าสู่เลขห้ารีบก้าวเข้ามาทักทาย
กานต์สินีปรายตาพลางยกมือขึ้นรับไหว้พอเป็นพิธี
“ไม่คิดว่าจะเจอคุณพี่ที่นี่”
“ฉันสนิทกับคุณหญิงวรรณา แต่เธอคงจะลืมไปว่าที่นี่คือโรงแรมในเครือจิรวานนท์กรุ๊ป”
“อ้อค่ะ” อีกฝ่ายคล้ายมองข้ามความหมางเมินที่คู่สนทนาหยิบยื่นให้ “ปัทจ๊ะ ทักทายพี่เขาหรือยัง” ร่างงดงามนั้นรีบเบี่ยงตัวให้คนด้านหลังทันที
หญิงสาวในวัยยี่สิบต้น ๆ ผู้มีดวงหน้างามผุดผาดค่อย ๆ กระพุ่มมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างงดงามอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะคุณป้า คุณเอื้อ”
“โอ๊ย ลูกคนนี้ ทำไมเรียกพี่เขาซะกลายเป็นคนอื่นคนไกลกันขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ทำงานที่เดียวกันแท้ ๆ”
หญิงสาวยังคงก้มหน้างุด ดวงตากลมโตหลุบมองพื้น สองแก้มนวลแต้มสีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ
“คุณน้ามานานแล้วเหรอครับ แล้วนี่ได้ที่นั่งรึยังครับ”
“เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน เข้าไปพร้อมกันเลยก็ดีจ้ะ” นางรีบเสนอตัวทันที
มารดาของเขาเพียงปรายตามองก่อนจะเชิดหน้าควงแขนบุตรชายเข้าไปด้านใน
เอื้อการย์เดินนำเข้าไปยังที่นั่งขนาบข้างด้วยมารดาและร่างเล็กที่เอาแต่ก้มหน้างุดหลบตา เมื่อแสงไฟถูกหรี่ลงและสายตาคมจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปัทมาจึงค่อย ๆ กล้าเงยหน้าขึ้นลอบสังเกตคนข้างกาย
ชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเข้มยังคงหล่อเหลาไม่ต่างจากวันปกติธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะมีรัศมีที่เปล่งประกาย ดึงดูดสายตาจากคนรอบกาย กลิ่นหอมสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาพาให้สองแก้มเนียนของเธอร้อนผ่าวเมื่อรับรู้ว่าแขนกลมกลึงของตัวเองกำลังเสียดสีอยู่กับแขนเสื้อของเขา อันเป็นผลมาจากการที่ถูกมารดาเบียดเข้ามาจนเธอแทบจะติดกับร่างสูงใหญ่
ระหว่างทางเดินไปยังที่นั่งมีเพื่อนของกานต์สินีเดินเข้ามาพูดคุยด้วยไม่ขาดสาย สุดท้ายอีกฝ่ายจึงเดินนำเข้าไปนั่งประจำที่ก่อน ส่วนชายหนุ่มขยับตัวก้าวตามไปส่งหญิงสาวตรงที่นั่ง ทำเอาสายตาของใครหลายคนต่างจ้องมองมาอย่างกระหายใคร่รู้ ปภานันจึงพลอยได้หน้าที่เห็นใครหลายคนจ้องมองบุตรสาวของหล่อน ก่อนจะแสร้งดึงจังหวะก้าวเดินให้ช้าลง ปล่อยให้คนทั้งคู่ได้เดินเคียงกันไป แน่นอนว่าหนุ่มหล่อสาวงามย่อมดึงดูดสายตาของคนทั้งงานไว้ได้เป็นอย่างดี การกระทำนี้ราวกับเป็นการป่าวประกาศโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด เพราะปภานันและปัทมาไม่ได้เป็นแขกคนสำคัญของงาน ตำแหน่งที่นั่งจึงถูกจัดไว้ค่อนไปทางด้านหลัง
เอื้อการย์เอ่ยทักทายคนรู้จักอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่เสียงประกาศบนเวทีจะเริ่มขึ้น เขาจึงเอ่ยขอตัวอย่างสุภาพ หมุนตัวกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ทว่าในจังหวะที่กำลังจะหันกลับไปนั้น ร่างกลมกลึงในชุดราตรีสีเม็ดมะปรางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับดึงดูดสายตาเขาท่ามกลางผู้คนที่รายล้อมและแสงไฟสลัวราง มีเพียงแสงสว่างจากหน้าเวทีเท่านั้น