3
ยื้อแย่ง
กันทราปรายตามองร่างบางในชุดราตรีสีครีม หญิงสาวตรงหน้าเรียกว่าแตกต่างจากเวลาปกติที่เธอเคยเจอยิ่งกว่าหลังมือเป็นหน้ามือ หญิงสาวในชุดราตรีงดงามอวดผิวขาวอมชมพูนวลลออจนเกือบทำให้เธอลืมภาพหญิงสาวแต่งตัวเรียบร้อยที่นั่งสงบเสงี่ยมหน้าห้องของชายหนุ่ม แม้จะไม่ค่อยได้ไปหาเอื้อการย์ที่บริษัทเพราะเขาไม่อนุญาต แต่ทุกครั้งที่ไป เด็กคนนี้จะยกน้ำหรือของว่างเข้ามาให้ เธอจึงพอจะจำได้บ้าง
“นี่... ใช่ผู้ช่วยเลขาฯ ของคุณไหมคะ”
ปัทมาเอาแต่ก้มหน้างุด เมื่อได้ยืนอยู่ใกล้ ๆ นางแบบแถวหน้าของเมืองไทย รัศมีและความงามของอีกฝ่ายก็แทบจะกดข่มจนเธอหายใจไม่ออก ไม่กล้านำตัวเองไปเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย ยิ่งผู้หญิงคนนี้สูงเด่นสง่างาม เธอก็ยิ่งเหมือนเด็กเมื่อวานซืนที่ยังไม่โต เป็นลูกเป็ดขี้เหร่ที่ไม่มีวันโผบินเป็นหงส์
“ครับ ปัทมา แต่ตอนนี้เธอมาทำหน้าที่เลขาฯ แทนคุณพรที่ลาคลอด คุณเคยเจอเธอแล้ว”
กันทราพยักหน้ารับ เก็บสายตากลับแล้วสอดมือเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่ม “เอื้อจะพาเธอไปด้วยเหรอคะ”
“ปัทเป็นน้องสาวของเจ้าอัศไง พอดีคุณน้าฝากปัทให้กลับกับเรา”
“ปัทกลับเองดีกว่าค่ะ” เจ้าของหัวข้อสนทนารีบเอ่ยแทรกขึ้นทันที
คิ้วคมเลิกขึ้น ไม่คาดว่าเด็กสาวหน้าหวานคนนี้จะดื้อ แม้เมื่อครู่เจ้าตัวก็พยายามจะบ่ายเบี่ยงทว่าเถียงสู้มารดาไม่ได้
หรือพอมาอยู่กับเขาเลยกล้าแผลงฤทธิ์?
“ถ้าปัทกลับเองแล้วคุณน้ามาทราบทีหลัง พี่คงโดนต่อว่า อีกอย่าง...” เขาไล่สายตามองชุดที่เธอสวม ทำเอาอีกฝ่ายหน้าร้อนผ่าว แก้มใสแดงระเรื่อ “แต่งตัวแบบนี้ ขึ้นแท็กซี่เวลานี้ พี่ว่ามันอันตราย”
ปัทมาอ้าปากจะร้องท้วง แต่ครั้นประมวลผลตามที่เขาพูดนั้นก็คล้ายว่าจะเป็นจริง ปากที่อ้ากว้างจึงได้แต่อ้าค้าง ทว่าไม่มีถ้อยคำใดหลุดลอดออกมา
“คอนโดไปทางไหนล่ะจ๊ะ” กันทรามองคนทั้งสองโต้แย้ง ก่อนจะหันมาถามอีกฝ่ายคล้ายเอ็นดู
ปัทมาได้แต่บีบมือกันแน่นพลางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแสนเบา
“ทางเดียวกันน่ะครับ ไปเถอะ” เอื้อการย์สรุปในที่สุด
“ให้พี่กี้ไปส่งก็ได้ค่ะ พี่กี้ก็ผ่านทางนั้นเหมือนกัน” นางแบบสาวรีบเสนอทางออกทันที ใครจะอยากพกก้างชิ้นโตติดรถไปด้วย
แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า “ไหน ๆ ก็ไปทางเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร ผมรับปากคุณน้าแล้ว หากท่านมาทราบทีหลังมันจะไม่ดี”
กันทราแสดงสีหน้าคล้ายไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยขัด เธอจึงได้แต่เดินเกาะแขนเขาไปขึ้นรถ แต่เพิ่งจะเดินมาถึงลานจอดโทรศัพท์ของเอื้อการย์ก็พลันร้องประท้วงขึ้นมาก่อน และดูเหมือนว่าจะเป็นสายสำคัญ เขาจึงขอแยกตัวออกไปคุย
“เก่งนี่” น้ำเสียงเจือแววเย้ยหยันดังขึ้น
ปัทมาเงยหน้ามองคนพูดที่สูงกว่าเธอเกือบยี่สิบเซ็นติเมตรอย่างไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดโทรศัพท์หรือเอ่ยกับตัวเอง
“ให้คุณอัศยัดตัวหล่อนเข้ามาใกล้เอื้อ กะจะใช้แผนความชิดใกล้หรือยังไงจ๊ะแม่หนู” นางแบบสาวกอดอกพลางใช้สะโพกพิงรถ ไล่สายตามองตั้งแต่หัวจดเท้าของเด็กสาวตรงหน้าอย่างดูแคลน
“ฉันไม่เข้าใจ...”
“อย่ามาแกล้งเซ่อ ท่าทางแบบนั้นมันใช้ได้แต่กับผู้ชาย” ริมฝีปากบางได้รูปเหยียดยิ้ม
การแสดงออกอย่างเหยียดหยามทำให้ปัทมาหน้าร้อนผ่าว โกรธขึงระคนอับอาย สองมือเล็กกำแน่น “ฉันสมัครงานเข้ามาตามระบบทุกอย่างค่ะ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองถามคุณเอื้อได้” หางเสียงของเธอสะบัดจวนเจียนจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกใครดูหมิ่นขนาดนี้มาก่อน ทุกขั้นตอนการสมัครงานดำเนินอย่างโปร่งใส เธอไม่เคยใช้เส้นสาย และเพราะประภาพร เลขานุการของเอื้อการย์มองเห็นถึงความสามารถจึงเรียกตัวเข้ามาใช้งาน
“เฮอะ... แค่กรอกใบสมัครและฝากฝังคนใน ใครก็ทำได้ อย่ามาทำเป็นใสซื่อ เห็นแล้วรำคาญลูกตา”
“ฉันไม่สิทธิ์บังคับคุณ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่ชี้แจงให้ทราบ”
กันทราพยักหน้า “แต่ก็ยังบังคับให้เอื้อรับตัวเธอมาอยู่ใกล้ ๆ แถมยังต้องพาไปส่งคอนโด นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันมาด้วย คงไม่แคล้วลากเขาขึ้นห้องล่ะสิ”
“อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นแบบคุณ” เด็กสาวสะบัดเสียงอย่างสุดจะทน แม้ไม่เคยระรานใครก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้ใครมาชี้หน้าว่ากันปาว ๆ โดยเธอไม่ได้ทำผิดอะไร
ทว่ากันทราไม่ได้เกรี้ยวกราดเหมือนคู่ควงคนก่อน ๆ ของเอื้อการย์ที่เอะอะก็อาละวาดใช้กำลัง “จ้ะ วางตัวสูงส่ง คิดว่าตัวเองแตกต่างนักหรือไง ผู้หญิงด้วยกันทำไมฉันจะมองไม่ออก” ร่างสูงขยับตัวก้าวเข้าไปหาขณะที่ปัทมาพยายามแข็งใจยืนปักหลักไม่ถอย “แววตาเทิดทูนแบบนี้” นางแบบสาวเชยคางมนพลางจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “มันเก็บไม่มิดหรอก หล่อนก็อยากได้เอื้อจนตัวสั่น ไม่ต้องมาแอ๊บ!”
ปัทมาสะบัดหน้าจนหลุดจากการเกาะกุม หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำจนปวดแปลบ แม้มันจะเป็นความจริงที่เธอแอบชอบเขามานานปี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกจะหยิบยกขึ้นมาดูถูกกันแบบนี้ “ถึงฉันจะอยากได้ แต่ก็ไม่เคยเสนอตัวให้ใครแบบคุณ”
“อีเด็กนี่” ครานี้กลายเป็นคนเริ่มที่โกรธจนตัวสั่น “ที่ยังไม่เสนอเพราะยังไม่มีโอกาสล่ะสิ”
คนอ่อนวัยกว่าเม้มริมฝีปาก แต่ดวงตาที่จับจ้องอีกฝ่ายเข้มจัด เธอไม่กล้าตอบว่าถึงเวลานั้นตัวเองจะใช้วิธีเดียวกันผูกมัดชายหนุ่มไว้หรือไม่ แต่อย่างน้อยหากเธอคิดจะเสนอตัว ทุกอย่างก็เพราะหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก ไม่ใช่หวังเงินในกระเป๋าของเขาเหมือนใครบางคน
“ไง พูดไม่ออกล่ะสิ สุดท้ายก็ระริกระรี้ เธอก็แค่พยายามทำตัวเป็นกะหรี่ชั้นสูง”
ปัทมาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่ายิ่งต่อล้อต่อเถียงก็เหมือนเอาทองไปลู่กระเบื้อง เสียเวลาและสุขภาพจิตเปล่า ๆ “ดูเหมือนคุณกันทราจะคุ้นเคยกับอาชีพนี้จังนะคะ หรือความจริงยึดเป็นอาชีพเสริมหลังงานเดินแบบ” เธอหยุดเพียงครู่ มองนางแบบสาวที่กำลังสั่นเทา ใบหน้าแดงก่ำ แสดงว่าทุกคำคงแทงใจดำ “อ้อ... หรือยึดเป็นอาชีพหลักกันแน่คะ...”
สิ้นคำ นางแบบสาวโผเข้ามากระชากแขนเล็กก่อนดึงเข้าหาตัวด้วยดวงตาเกรี้ยวกราด
“มีอะไรรึเปล่าครับแทนี่” เสียงทุ้มที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้กันทรารีบผลักร่างเล็กออกไปด้านข้าง ก่อนจะรีบปรับท่าทางให้เป็นปกติ หันมายิ้มให้เขา
“เปล่าค่ะ พอดีแทนี่เห็นชุดน้องเขาสวยดี กำลังจะขอดูแบบเอาไว้สั่งตัดบ้าง” เธอโกหกออกไปอย่างลื่นไหลสมกับอาชีพนางแบบควบนักแสดง แล้วจึงก้าวเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่ม “ไปกันรึยังคะ” เอ่ยโดยไม่หันกลับไปมองคู่กรณี ขณะที่ปัทมาเอาแต่ก้มหน้างุด เดินเลี่ยงไปรออีกฝั่งของรถ
“ครับ” เอื้อการย์เดินตรงไปเปิดประตูให้คู่ควง
ปัทมารีบเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหลัง ไม่อยากรั้งอยู่ให้อีกฝ่ายจับผิด ชายหนุ่มปรายตามองร่างเล็กเพียงครู่ก่อนจะเดินอ้อมรถไปนั่งประจำที่ ในหัวยังมีถ้อยคำตอบโต้ของคนทั้งสองวนไปมา ความจริงเขาคุยธุระเสร็จครู่ใหญ่แล้ว เพียงแต่อยากดูเรื่องสนุก ๆ และเพราะแบบนั้นเขาจึงทันได้เห็นท่าทางขู่ฟ่อ ๆ เป็นลูกแมวของปัทมา
ไม่คิดว่าคนที่นั่งสงบเสงี่ยมไม่มีปากเสียงกับใครอยู่หน้าห้อง ยามโกรธขึ้นมาจะมีลูกบ้าเอาเรื่อง ท่าทางนุ่มนิ่มแต่กลับสู้คนไม่ถอยของเธอทำให้เขานึกเอ็นดูแล้วพานให้ระลึกถึงใครอีกคน คนที่มีท่าทางเรียบร้อยไม่ต่างกัน แต่บทจะเอาเรื่องขึ้นมาก็ทำให้ใครหลายคนถึงกับส่ายหน้ายอมแพ้ในความดื้อรั้น แม้จะเรียบร้อยยอมลงให้ใครต่อใคร แต่ความจริงแล้วกลับซ่อนไว้ซึ่งความหยิ่งทะนงจนอาจจะเรียกว่าดื้อเงียบ
ภาพของใครคนนั้นกำลังฉายชัด คนที่เขาเคยคิดว่าเป็นเพียงอดีต... ที่ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ
ชลธิชาแทบจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เธอรู้สึกเหมือนพลังงานทั้งร่างถูกสูบไปใช้จนหมด แค่เพียงสองชั่วโมงเท่านั้น แต่เธอกลับรู้สึกว่าช่วงเวลาในงานที่ผ่านมานั้นเนิ่นนาน ยิ่งต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองร่างสูงสง่าทั้งที่เธออยากนั่งมองเขาให้สมกับความคิดถึงและรอคอยมายาวนานกว่าหกปี
ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากมายกว่าคนทั่วไป รวมถึงระยะเวลาหลายปีในวงธุรกิจได้ส่งให้เอื้อการย์ดูภูมิฐาน เป็นผู้ใหญ่กว่าคนในวัยเดียวกัน มาดมั่น และสง่าผ่าเผย ไหล่หนามีมัดกล้ามอย่างสังเกตได้ชัด เมื่อก่อนเอื้อการย์เป็นนักกีฬาฟุตบอล แต่อาจเพราะตอนนั้นเขายุ่งกับทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานจึงไม่มีเวลาดูแลตัวเองมากเท่าตอนนี้ รูปร่างสูงใหญ่ภายใต้รอยยิ้มสบาย ๆ นั้นเปี่ยมเสน่ห์ แค่ปรายตามองก็ทำให้สาว ๆ ในงานอ่อนระทวย เพียงแต่ดวงตาคมนั้นไม่มีวันมองมาที่เธอ รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นไม่ใช่ของเธอ...
และคนข้าง ๆ เขาก็ไม่ใช่เธออีกต่อไป
‘ชา... ถึงแม้เอื้อมันจะยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน...’
‘ตั้งแต่เลิกกับแกไปน่ะนะ’ ริณลดาช่วยต่อให้ก่อนจะเอ่ยเสริมด้วยสีหน้าจริงจัง ‘คือ... แกจะกลับไปคบกับแฟนเก่าคนไหนก็ได้ แต่แกจะกลับไปหาเอื้อการย์ไม่ได้!’
‘ไอ้ชามันเคยมีแฟนคนเดียวเปล่าวะ’
‘เออ... ฉันลืม นึกว่ามันผ่านผู้ชายมาสามร้อยเก้าสิบคนเหมือนแก’
สายป่านดีดเฟรนช์ฟรายส์ในจานใส่เพื่อนรักโทษฐานที่บังอาจมาว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาเกือบครึ่งพัน ‘ป่านว่าชารู้จักเอื้อดีเลยแหละ เห็นหน้ายิ้ม ๆ อย่างนั้นน่ะนะ ลองมันแค้นแล้ว ฝังหุ่นเลยล่ะชา ถ้าชาคิดจะกลับไปหามันก็เตรียมตัวสะบักสะบอมได้เลย’
‘อ้อ...’ ริณลดาผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมายาและสังคมชั้นสูงเอ่ยต่อเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ‘ตอนนี้ฮีคั่วอยู่กับแม่นางแบบแถวหน้าชื่อกันทราน่ะ รู้จักใช่ไหม สวย หุ่นดีเลยแหละ ถึงไม่ค่อยมีใครได้รูปคู่ แต่คนในก็รู้ ๆ อยู่ว่าสองคนนี้คั่วกัน แถมคั่วมานานแล้วนะ คนนี้น่าจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถ้าไม่นับรวมแก’
‘ริณจะนับรวมชาได้ยังไง มันเทียบกันได้ไหมระหว่างแฟนกับคู่ควง อันนั้นห้าเดือน อันนี้เกือบห้าปี แถมเอื้อเป็นฝ่ายตามจีบชาเองเป็นปี ไม่ใช่แบบนี้ที่แค่เอื้อกระดิกนิ้ว ผู้หญิงก็วิ่งเข้าใส่’ ปิยวลีบ่นอุบพลางลูบนิ้วกับปากแก้ว
‘แค่เตือนมันว่ากลับไปแล้วจะเจออะไร ด่านแรกที่มันต้องเจอคือใคร แล้วคู่ต่อสู้ของมันร้ายแค่ไหน เมื่อก่อนใส ๆ ไง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว แกจะมาสวย ๆ ใส ๆ สมัยเป็นดาวคณะไม่ได้แล้วนะ คราวนี้รู้แล้วจะเอาไง’
‘ถ้าชาจะเดินหน้า เอ่อ... ทุกคนจะว่าไหม’
ริณลดาเบ้ปาก สายป่านยักไหล่ ปิยวลีถอนหายใจ
‘เอาไงก็เอากัน ว่าตามนั้น’
‘ตกลงตามนี้ก็มา วางแผนรุกข่า!’
...
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือร้องเตือนจนคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์นิ่วหน้า เจ้าเครื่องเล็ก ๆ นั่นสั่นรัวไม่หยุดราวกับว่าคนปลายทางมีเรื่องด่วนหนักหนา เพียงเปิดโปรแกรมไลน์ขึ้นมาก็เห็นตัวเลขข้อความที่ไม่ได้อ่านจากกลุ่มเพื่อนซี้ที่ตั้งชื่อว่า Roommate906 Luv_Luv เพื่อนร่วมห้องในหอพักของมหาวิทยาลัยซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทและรู้ใจที่สุดกลุ่มเดียว
พื้นเพของเธอเป็นคนต่างจังหวัด แม้ทางบ้านจะมีฐานะค่อนข้างดีพอที่จะซื้อคอนโดใกล้มหาวิทยาลัยให้เธอได้ แต่เพราะทั้งบิดาและมารดาเป็นคนหัวเก่า ค่อนข้างเคร่งครัดและเลี้ยงเธอมาอยู่ในกรอบ ท่านทั้งสองจึงเลือกหอพักหญิงในมหาวิทยาลัยที่มีกฎระเบียบเข้มงวดและปลอดภัยให้บุตรสาว เพราะนอกจากจะเปิดปิดเป็นเวลาแล้ว หากนิสิตนักศึกษากลับช้าเกินเวลาที่กำหนดก็จะถูกบันทึกชื่อส่งไปรายงานผู้ปกครอง
เพื่อนในห้องอีกสามคนนั้นมีนิสัยแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว จนถึงตอนนี้เธอยังไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเธอสี่คนอยู่ร่วมกันมาโดยไม่ฆ่ากันตายเสียก่อน เริ่มจากคนที่แสบสันแสบทรวงที่สุดอย่างริณลดา เจ้าแม่ความงามและแฟชั่นขาวีน คุณหนูคนงามที่มาพร้อมเรื่องปวดหัว ความจริงเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจจะอยู่หอใน เสียแต่พลาดท่าโดนบิดาจับโยนเข้ามาเพื่อเป็นการลงโทษที่ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อกระเป๋าหรูไปเกือบล้าน คนที่สองคือปิยวลีที่เพื่อน ๆ มักเรียกว่ายัยเหม็น จากแป้งหอมเป็นแป้งเหม็นเพียงเพราะเจ้าตัวขี้เกียจอาบน้ำ แถมยังป้ำ ๆ เป๋อ ๆ หลงทางได้ตลอดเวลา บางทีก็เลี้ยวออกห้องผิดไปอีกฝั่ง กดลิฟต์ผิดชั้นบ้าง เลวร้ายที่สุดคือพยายามไขกุญแจห้องข้าง ๆ เกือบห้านาที ดีที่เธอผ่านไปเจอเสียก่อน ไหนจะเรื่องอาการง่วงหงาวหาวนอนที่มีตลอดทั้งวัน เพราะเหตุนี้เด็กในกรุงอย่างปิยวลีจึงต้องระเห็จมาอยู่หอในเพื่อลดปัญหาที่ว่ามาข้างต้น ส่วนสายป่านคือเด็กสาวในกรุงเทพอีกคนที่ร่าเริงสดใส ติดจะเอะอะโวยวายและทะลึ่งตึงตัง แต่ก็นับว่าปกติที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่
ไม่น่าเชื่อว่าพวกเธอจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ถึงสี่ปี ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกริณลดาแทบจะพังห้อง นอกจากซักผ้าเองไม่ได้ รีดผ้าเองไม่เป็น ไหนจะการใช้ห้องน้ำรวม และตู้เสื้อผ้าเล็กกะทัดรัดไม่พอจะยัดชุดสวยและกระเป๋าราคาเรือนแสนพวกนั้นเข้าไปได้ ยังไม่นับรวมความซกมกของปิยวลีที่แทบไม่เคยเก็บที่นอน ล้างถ้วยมาม่า หรือตื่นมาซักผ้าในวันหยุด ทำเอาต้องวิ่งวุ่นยืมชุดนักศึกษาจากเพื่อนร่วมห้องอยู่เป็นประจำ และสายป่านที่ทะลึ่งตึงตังเสียงดังจนริณลดาร่ำร่ำจะลุกมาบีบคอโทษฐานที่ทำให้อีกฝ่ายนอนไม่หลับจนตีนกาขึ้น ขอบตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้า แต่ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาก็หล่อหลอมพวกเธอจนกลายมาเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด
ดาด้า: เฮ้ย... แก๊ นี่แค่แผนแรกก็ผ่านฉลุยแล้วเหรอยะ มันง่ายไปไหม ถ่านไฟเก่าอะไรจะคุไวปุ๊บปั๊บยิ่งกว่าเตาแก๊ส
ป่านป๊าน: อะไรของแกไอ้ริณ โวยวายเชียว
ดาด้า: ก็ไอ้ชาอะดิ โอ๊ยหมั่นไส้มัน วันก่อนยังหงิม ๆ ที่ไหนได้...
ป่านป๊าน: ได้อะไรของแก
ดาด้า: แกเปิดดูไอจีรึยัง
ป่านป๊าน: โอ๊ย ใครเค้าจะนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวันเหมือนแกยะ
ดาด้า: ไปลากตัวมันมา
ธิชา: มาแล้วจ้ะ เพิ่งกลับมาถึง
ดาด้า: ถึงไหนต่อไหนยะ
ธิชา: ก็ถึงห้องของชาสิจ๊ะริณ แล้วนี่คุยอะไรกัน
ดาด้า: อย่ามาแอ๊บ ฉันเห็นรูปแกยืนถ่ายซะตัวติดหลังชิด เกยกันซะขนาดนั้นกับเอื้อ นี่ถ้าสิงกันได้แกคงสิงกันไปแล้วใช่ไหม
ธิชา: เห็นที่ไหน ทำไมข่าวไวจัง
ดาด้า: ก็ไอจีของพวกนางแบบในงานนั่นแหละ
ธิชา: อ้อ
ดาด้า: อย่ามาอ้อคำเดียว มีอะไรก็เล่ามา ไหนว่าเข้าถึงยากยะ ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะยากอะไร นี่ก็ถึงเนื้อถึงตัวกันจนแทบจะถึงมดลูกอยู่ละ เสียเวลานั่งวางแผนกันจริง ๆ
ป่านป๊าน: นี่อารมณ์ขึ้นหรืออิจฉา รัวมาเป็นปืนกลเลยนะยะ
ดาด้า: ฉันเบื่อพวกแก
ธิชา: มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ คือเอื้อประมูลกระเป๋าของชาได้ แต่ใบนั้นคุณกันทราเค้าเป็นคนถือเดินจ้ะ ส่วนแผนแรกนั่นน่ะเหรอจ๊ะ ได้ผลมาก ผ่านฉลุยเลย เอื้อมองผ่านชาไปเลยละจ้ะ สายตาว่างเปล่าแบบทะลุร่างไม่เห็นหัว ไอ้ที่จะให้ท่า กลายเป็นล่มไม่เป็นท่าไปเลย 555 (ใต้เลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่)
ป่านป๊าน: อ๋อ คือเปย์สาวอยากอวดว่างั้น นี่เพื่อนฉันไปไกลมากแล้วจริง ๆ อ้อ... แล้วชาได้คุยกับเอื้อไหม
ธิชา: แค่หน้า... เอื้อยังไม่อยากมองชาด้วยซ้ำ แต่ก็สมกับที่ชาเคยทำกับเขาแล้วแหละ
ดาด้า: อ้าว... อุตส่าห์แต่งไปซะสวย นี่แกไม่ได้ทำท่ายั่วยวนแบบที่ฉันบอกไปใช่ไหม มัวแต่สนิมสร้อยพิรี้พิไรอยู่นั่นมันจะไปทันแม่นางแบบพวกนั้นได้ไง แล้วก็เลิกเอาแต่โทษตัวเองสักทีจะได้ไหมยะ ไหน ๆ ก็ตัดสินใจไปแล้ว แกอย่าเร้าหรือ
ป่านป๊าน: ใจเย็นนะชา ของอย่างนี้มันก็คงต้องใช้เวลาทำใจ ป่านเข้าใจชานะ แล้วก็อยากให้ชาเข้าใจเอื้อด้วย มันคงทั้งตกใจ โมโห หงุดหงิดสับสนสารพัดนั่นแหละ
ธิชา: เข้าใจสิจ๊ะ ชาเข้าใจเอื้อ ถ้าเป็นชาคงสะบัดหน้าหนี ทำยิ่งกว่าเอื้อแล้วล่ะ
ป่านป๊าน: แล้วนี่ไม่ได้คุยอะไรกันจริง ๆ เหรอ เสียดาย กว่าจะหาโอกาสได้ก็ยากแทบตาย กะว่าจะเปิดตัวหรูหราอลังการเสียหน่อย
ธิชา: เอื้อเขาไม่อยากคุยกับชา ตายังไม่แลด้วยซ้ำ ชาจะอ้าปากเขาก็ตัดบทแล้ว
ดาด้า: ก็แกช้าไง โอ๊ย กว่าจะอ้าปากพูด ไหน ๆ ก็จะเล่นบทร้ายแล้วแกต้องเปลี่ยน
ป่านป๊าน: ใช่ บอกให้ทำตามสันดานไอ้ริณ รับรองร้ายได้ใจ
ดาด้า: นี่คือชม?
ป่านป๊าน: ด่า เอ๊ย... ไม่ใช่ แล้วแต่จะคิด ว่าแต่ชาเถอะ สรุปไม่ได้คุยอะไรกันเลย
ธิชา: ก็นิดหน่อยจ้ะ เรื่องธุรกิจน่ะ แต่เอื้อก็ยอมรับนัดอยู่
ดาด้า: แล้วแกเอาไง
ธิชา: ชาก็เลยบอกไปว่าจะนัดผ่านเลขาฯ เรื่องร้านที่ยุโรปกับอเมริกา
ป่านป๊าน: แล้วเอื้อโอเคไหม
ธิชา: เขาไม่ได้ปฏิเสธ
ดาด้า: อิโธ่ งี้ก็พอมีหวัง
ธิชา: ชายังไม่เห็นความหวังตรงไหนเลยนะริณ
พิมพ์ไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้มันยากอย่างที่เพื่อน ๆ ขู่ไว้แต่แรกจริง ๆ เธอเคยทำกับเขาเสียขนาดนั้น หากเป็นคนอื่นคงไม่มาเผาผีกันแน่ ๆ มีแต่จะสาปส่ง
ดาด้า: แก! นั่นเขาเป็นใคร ถึงแม้เอื้อการย์จะอยู่ในตำแหน่งรองประธานบริษัท แต่เขาจัดการทุกอย่างแทนปู่หมดแล้ว ว่าง่าย ๆ ตอนนี้เอื้อก็ใหญ่สุดในเครือจิรวานนท์กรุ๊ป กับอีแค่เรื่องมีคนมาขอเช่าพื้นที่ในห้าง แค่ฝ่ายประสานงานลูกค้าก็ได้แล้วมั้ง มันต้องถึงมือเขาไหมถ้าไม่อยากคุยกะแก คิดสิคิด อย่ามาแอ๊บแบ๊วสวยไสยฯ แต่ไร้สมองค่ะลูก หรือไอ้ป่าน... แกว่าไง
ป่านป๊าน: +100 ชาเช่าที่ในห้างเปิดไปกี่สิบร้านแล้ว ไม่เคยต้องผ่านเอื้อ โอเค... ครั้งนี้อาจพิเศษหน่อยเพราะเป็นร้านคนไทยที่จะไปเปิดต่างแดนเป็นครั้งแรก แต่ถ้าไม่อยากเจอชาจริง เอื้อไม่มีทางเสียเวลากับเรื่องพวกนี้หรอก เวลาเป็นเงินเป็นทองจะตาย แสดงว่าแผนไอ้ริณก็ได้ผลอยู่ เอื้อยังมีเยื่อใย
ธิชา: ใจนึงชาก็แอบเข้าข้างตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แฮะ ๆ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง ถ้าผิดหวังขึ้นมาจะได้ไม่สะบักสะบอมเหมือนครั้งก่อน สงสารเพื่อน ๆ ต้องมาคอยนั่งปลอบใจกันอีก... แล้วอีกอย่าง ชาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
ป่านป๊าน: นี่คุยกันจะร้อยข้อความ ไอ้เอ๋อยังไม่อ่านอีกเหรอ
ธิชา: จะเที่ยงคืนแล้ว ป่านนี่แป้งหอมคงฝันไปหลายตื่นแล้วล่ะ
...
หอมฉุย: งือ พวกแกคุยอะไรกันน่ะ ไม่ทัน
หอมฉุย: โอ๊ะ ไม่ได้ตามข่าว เดี๋ยวเปิดไอจีแป๊บ
หอมฉุย: ฮือ ชอบอะ เวลาชายืนกับเอื้อ มันดูสมกั๊นสมกัน
หอมฉุย: เฮ้ย... พวกแก มาคุยกันก่อนดิ