บทที่ 2 บุคคลปริศนา 1
“ลี! ช่วยแม่ด้วย!” น้ำเสียงของคนเป็นมารดาทำเอาลมหายใจของหญิงสาวสะดุดไปครึ่งวินาที
ตั้งแต่จำความได้ นลินีก็มีแต่แม่เท่านั้นที่คอยเลี้ยงดูมาด้วยความยากลำบาก ชีวิตนี้ของหญิงสาวจึงมีแต่มารดาผู้ให้กำเนิดเท่านั้นที่เป็นหลักค้ำจุนชีวิต และหากว่ามีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับมารดาทั้งที่ตัวเธอเองก็อยู่ไกลหลายร้อยกิโล เธอคงทำใจไม่ได้ง่ายๆ แน่
“แม่! ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น ค่อยๆ เล่าให้ลีฟังหน่อย”
“ลี...มีผู้ชายสี่ห้าคนมาที่บ้าน บอกว่าอยากให้แกทำงานบางอย่างให้ ไม่อย่างนั้นมันจะฆ่าแม่กับหลาน...ลี ลีช่วยแม่ด้วย หลานยังเด็กแล้วแม่ก็ยังไม่อยากตายนะ”
นลินีฟังที่มารดาของเธอพูดด้วยความสับสน หลากหลายคำถามผุดขึ้นในสมองที่มีรอยหยักเพียงเล็กน้อยของหญิงสาว
“แม่คนพวกนั้นยังอยู่ไหม?”
หญิงสาวรอคอยให้มารดาตอบคำถามอย่างลุ้นระทึกเสียยิ่งกว่าลุ้นลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง เพราะสิ่งที่เธอต้องตัดสินใจมันหมายถึงชีวิตของแม่กับหลานสาวตัวน้อยตาดำๆ ที่เธอส่งเสียเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เสียยิ่งกว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเจ้าตัวเสียอีก เรื่องจะปล่อยให้ตายเปล่าไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้
“ยะ...อยู่”
“ลีขอคุยกับพวกเขาหน่อย” อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่าพวกมันเป็นใคร
“เธอไม่มีสิทธิ์ต่อรอง”
เสียงเข้มดุของคนปลายสายตอบกลับมา ทำเอาหญิงสาวอยากจะเต้นแร้งเต้นกาอยู่ในปั๊มน้ำมันให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ คนพวกนี้ก็ปิดตายคำถามที่ยังไม่ได้ถามของเธอซะแล้ว?
“ฉันไม่ได้ต่อรองอะไรเลย ฉันแค่อยากถามอะไรพวกคุณหน่อยก็เท่านั้นเอง” หญิงสาวทำใจดีสู้เสือ ทว่าหัวใจกลับเส้นแรงและรวดเร็วด้วยอารมณ์ตื่นกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
“ว่ามา”
ปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงดุ จนนลินีชักอยากจะเห็นหน้าตาของคนที่คุยสายอยู่ในตอนนี้ซะจริงๆ ว่าจะมีหน้าตาเป็นยังไง ทำไมถึงได้ทำเสียงดุอยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่เธอไม่เคยไปฆ่าญาติใครตายเสียหน่อย!
“พวกคุณบอกว่าต้องการให้ฉันทำงานให้ บอกได้ไหมว่าเป็นงานอะไร?”
หญิงสาวเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เพราะการพูดคุยเจรจาครั้งนี้มีชีวิตแม่กับหลานเป็นเดิมพันอยู่
ถึงในตอนแรกจะยังรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้คงไม่มีใครเอามาล้อเล่นหรอก...จริงไหม?
“ถ้าคุณเป็นห่วงชีวิตแม่กับหลาน รวมถึงญาติพี่น้องคนอื่นๆ พรุ่งนี้คุณต้องไปพบใครคนหนึ่งที่....”
ชายคนนั้นเอ่ยชื่อโรงแรมชื่อดังหรูหราระดับห้าดาวออกมา ทำเอานลินีขนลุกไปทั่วร่าง ก็เพราะโรงแรมที่ว่านั่นไม่โรงแรมธรรมดาๆ ที่คนไก่กาหาเช้ากินค่ำแบบเธอเข้าเข้าออกได้ง่ายๆ นะสิ!
อย่าว่าแต่ไปพบใครคนหนึ่งเลย ไปสมัครงานเป็นแม่บ้านยังยาก!
“หวังว่าคุณ...จะไม่ทำให้แม่คุณผิดหวังนะ” ปลายสายพูดแค่นั้นแล้วสายก็ถูกตัดไป นลินีพยายามต่อสายกลับไปอีกครั้งก็พบว่าติดต่อไม่ได้
โอ๊ย! จะทำยังไงดี? นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!
เจ็ดโมงเช้า...
นลินีคว้าโทรศัพท์เครื่องน้อยมาใช้งานอีกครั้ง หลังจากที่ใช้มันโทรกลับไปหามารดาทั้งคืนแต่ก็ไม่สำเร็จ
ทว่าคราวนี้หญิงสาวคิดว่าเธอต้องได้เรื่องอะไรบ้างสักอย่าง ก่อนจะกดเบอร์โทร.ออกหาผู้เป็นน้า ด้วยเพราะบ้านของน้าสาวนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านแม่ น้าต้องรู้แน่ๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับแม่ของเธอ
ความจริงหญิงสาวโทร.ไปหาน้าสาวคนนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทว่าน้าสาวคนนี้เป็นประเภทชอบปิดโทรศัพท์ในเวลานอนตอนกลางคืน ทำให้ตอนเธอโทร.ไปไม่ติด แต่ว่าตอนนี้เช้าแล้ว ไม่แน่ว่าเธออาจจะโทร.ติดก็เป็นได้
ไม่มีสัญญาณตอบรับ จากหมายเลขที่ท่านเรียก!
เหมือนว่าความโชคดีจะไม่เข้าข้างหญิงสาวเท่าไหร่นัก เมื่อเธอลองพยายามต่อสายไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งผลก็คือเธอไม่สามารถติดต่อคนที่บ้านได้เลยสักคน!
“โอ๊ย...โอ๊ย...โอ๊ย!”
นลินีร้องออกมาอย่างสุดจะทน ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ทั้งสับสนและรู้สึกไร้ทางออก มองไปทางไหนก็อับจนหนทางไปเสียหมด พวกคนที่ไปหาแม่เธอที่บ้านเมื่อคืนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร มาตอนนี้เธอยังติดต่อใครไม่ได้อีก
“ฉันว่ามันแปลกมากๆ เลยนะแก ที่อยู่ๆ แกจะติดต่อคนที่บ้านไม่ได้เลยสักคนแบบนี้”
ชลภิดาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เจ้าตัวอาบน้ำเสร็จและกำลังเตรียมตัวไปทำงาน ในขณะที่วันนี้เป็นวันหยุดของนลินี
“อืม” หญิงสาวรับคำเพื่อนรักในลำคอ “แปลกกว่านี้ไม่มีอีกแล้วล่ะ”
“ลีเราไปแจ้งตำรวจกันดีไหม?”
หญิงสาวหันไปมองหน้าเพื่อน ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เชื่อเถอะว่าความคิดที่จะไปแจ้งตำรวจนั้นมีอยู่เต็มสมองของเธอ แต่เมื่อนั่งคิดมาทั้งคืนแล้ว ความคิดที่ว่านั้นก็ถูกปัดตกไป เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า
“ชลแกจะให้ฉันเดินไปโรงพักแล้วบอกกับตำรวจว่า ดิฉันมาแจ้งความว่าดิฉันโทรติดต่อคนที่บ้านไม่ได้มาหนึ่งวันแล้ว...อย่างนั้นเหรอ?”
ชลภิดาทำหน้าเอ๋อๆ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับนลินี