บทที่ 1 ข้ามน้ำข้ามทะเล 3
“ความรักก็คือ...” เด็กหญิงอึกอักเล็กน้อย
“ก็เหมือนที่แด๊ดดี้รักม่ามี้ไงคะ สิ่งนั้นเรียกว่าความรัก แล้วก็เหมือนที่แด๊ดดี้ ม่ามี้ ป่ะป๊ารักหนูพิ้งค์ด้วย” พริมาอธิบายตามประสาเด็ก เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ใหญ่ทั้งสามคนได้ไม่ยาก
“ถ้าแด๊ดดี้รักม่ามี้แล้วปะป๊ะจะรักใครน๊า?” ครูซมองไปที่น้องชายทันทีที่เขาเริ่มจุดประเด็น
“รักลีลีไงคะ! ป่ะป๊ารักลีลีเถอะ ลีลีน่ารักนะ หนูพิ้งค์รักลีลีมากเลย”
“ลีลี? ใครคือลีลี” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะแน่ใจว่าเขาไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อนอย่างแน่นอน
“ลีลีก็คือเพื่อนของหนูพิ้งค์เองค่ะ เอ๊ะ? นั่นไงคะ ลีลี! ลีลี!” เมื่อเจอคนที่กำลังพูดถึง เด็กหญิงตัวน้อยก็วิ่งออกจากโต๊ะอาหารไปหาใครคนนั้นทันที
“ลีลีกำลังจะไปไหนคะ?”
พริมาไม่พูดเปล่า มือน้อยๆ ยังเอื้อมไปจับมือถือแขนอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมากทีเดียว
ครูซเดินตามลูกสาวไปเห็นภาพนั้นเข้าพอดี ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่าลีลีที่ลูกสาวตัวน้อยพูดถึงคือหญิงสาวคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายและชุดที่ใส่แล้ว ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นพนักงานของโรงแรมแห่งนี้
“ลีลีกำลังจะกลับบ้านค่ะ เพิ่งเลิกงานพอดี” เสียงใสกังวานเอ่ยตอบพร้อมกับนั่งลงคุยกับเด็กน้อย
“หนูพิ้งค์ทานข้าวเย็นหรือยังคะ แล้วคุณแม่อยู่ไหนทำไมวิ่งมาคนเดียว?”
“กำลังทานอยู่ค่ะ อยู่ข้างในนั้น” มือน้อยๆ ชี้กลับไปทางที่ตัวเองวิ่งออกมา
“เอ๊ะ? ป่ะป๊า” ยัยตัวแสบอุทานออกมาเมื่อเห็นว่าครูซกำลังยืนมองตนเองอยู่
“ไง? ยืนคุยอยู่กับใครตั้งนาน วิ่งออกมาคนเดียวแบบนี้มันอันตรายนะรู้ไหม?” ชายหนุ่มได้ทีก็แอบดุลูกสาว ทั้งยังปรายตามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แกด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา
“นี่ลีลีค่ะป่ะป๊า ลีลีเป็นเพื่อนหนูพิ้งค์เอง” พริมาอ้อมแอ้มตอบ แต่สีหน้าแววตากลับฉายชัดถึงความซุกซน
“อายุห่างกันขนาดนี้จะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง?” ชายหนุ่มเผลอพูดออกไปตามความคิด ผลคือโดนลูกสาวตัวดีค้อนใส่
“ความเป็นเพื่อนมันไม่แบ่งอายุหรอกค่ะ แค่เราปฏิบัติดีต่อกัน ก็นับว่าเป็นเพื่อนกันได้แล้ว ลีลีว่าจริงไหม?” คนถูกถามความเห็นพยักหน้ารับโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร
“ลีลีไปหาม่ามี้กับแด๊ดดี้ก่อนไหมคะ? นั่งอยู่ทางนั้น”
มือน้อยๆ ชี้ไปทางที่พอลและพรพระพายนั่งอยู่ โดยไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เลยแม้แต่น้อย ทั้งคนเป็นน้องสะใภ้ยังพยักหน้าและส่งกลับมาให้ลูกสาวตัวดีอีกต่างหาก
“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูพิ้งค์กลับไปทานข้าวต่อเถอะนะคะ หายออกมาแบบนี้ม่ามี้จะเป็นห่วงนะรู้ไหม?”
หญิงสาวเอ่ยกับหนูน้อยด้วยความใจเย็น เพราะเห็นว่าวันนี้ครอบครัวสุขสันต์ของหนูพิ้งค์มีสมาชิกมาเพิ่ม คงจะดีกว่าหากว่าเธอเข้าไปรบกวนพวกเขา แม้ว่าระยะเวลาเกือบหนึ่งที่ผ่านมาเธอจะชอบมาเล่นกับหนูน้อยลูกครึ่งไทย-อังกฤษคนนี้มากก็ตาม
“โอเคค่ะ หนูพิ้งค์จะกลับเข้าไป ลีลีกลับบ้านดีๆนะ แล้วไว้เจอกัน” เด็กน้อยโบกไม้โบกมือลา ก่อนที่จะวิ่งปรื๋อกลับเข้าภายในห้องอาหาร โดยไม่ได้สนใจไยดีผู้เป็นป่ะป๊าของแกเลย
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยเดินกลับไปถึงโต๊ะอาหารที่มีพ่อแม่นั่งรออยู่แล้ว หญิงสาวก็ก้มหัวให้ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ตามมารยาท ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ครูซมองตามแผ่นหลังบอบบางของเพื่อนลูกสาว ก่อนมือใหญ่จะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาคนสนิท
“เลโอ นายช่วยไปสืบประวัติพนักงานคนเมื่อกี้มาให้ฉันทีนะ เอาแบบละเอียดๆ ฉันอยากรู้ว่าหล่อนเป็นใคร” ครูซสั่งงานเลขาคู่ใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาหารด้วยท่าทางปกติ
หลังจากทานมื้อค่ำกับน้องชายน้องสะใภ้และลูกสาวตัวน้อยเสร็จ ครูซก็เดินขึ้นห้องพักมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ด้วยเพราะหลังจากพนักงานสาวคนนั้นกลับไป ชายหนุ่มก็เอ่ยปากถามหนูน้อยเกี่ยวกับเพื่อนใหม่ของแก ทั้งยังหลุดวาจาห้ามปรามไม่ให้แม่หนูน้อยสานสัมพันธ์ฉันมิตรต่อกับพนักงานสาวคนนั้นต่อ ด้วยเพราะตัวเขารู้สึกเป็นห่วง
ทว่าผลลัพธ์ที่ได้คือนอกจากหนูพิ้งค์จะไม่ยอมทำตามที่เขาบอกแล้ว คนเป็นป่ะป๊าเช่นเขายังถูกหนูน้อยงอนใส่อีกด้วย
ร่างสูงของชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าห้องพัก ก่อนจะแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องพักเข้าไป ทว่าห้องพักที่เขาคิดว่าเป็นห้องพักส่วนตัวกลับถูกคนใจกล้าบางคนบุกรุก ทั้งยังมีหน้ามานั่งรอในห้องพักของเขาด้วยความใจเย็น
“ได้ประวัติมารึยัง?" ชายหนุ่มเอ่ยถามเลขาคู่ใจ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์กระป๋องออกมาเปิดดื่ม
“ได้มาแล้วครับนาย ประวัติของผู้หญิงคนนี้ธรรมดามากครับ ไม่มีอะไรน่าสงสัย เป็นผู้หญิงทำงานหาเลี้ยงครอบครัวที่ต่างจังหวัด สถานะยังไม่ได้แต่งงานและมีเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งคน”
เลโอเอ่ยรายงาน ในขณะที่สายตายังไม่ละไปจากหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กที่เจ้าตัวมักจะพกติดตัวตลอดเวลา
“แต่จะว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยก็ไม่ใช่นะครับนาย”
ครูซวางกระป๋องเบียร์ในมือลง ก่อนจะใช้มือลูบคางไปมาพลางใช้ความคิด “ยังไง?”
“เธอสวยดีครับ แล้วก็ตามที่คนของเรารายงานมา เธอเข้ากับคุณหนูได้ดีด้วยครับ” ชายหนุ่มตวัดสายตาดุๆ ไปที่เลขาคู่ใจ
หมอนี่ไม่รู้หรือว่าตอนนี้เขากำลังซีเรียส?
“พูดแบบนี้แสดงว่านายเบื่อชีวิตแล้วใช่ไหมเลโอ?”
“โธ่นาย...ผมก็แค่ล้อนายเล่นเท่านั้นเองครับ ผมยังรักชีวิตอยู่” คนเป็นลูกน้องรีบแก้ตัวในทันที
“ถ้าไม่นับที่ว่าเธออาจจะใช้ความสวยและการตีสนิทกับคุณหนู เพื่อหาโอกาสทำเรื่องบางอย่างที่เราไม่รู้ เธอก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยครับ..ยกเว้นนามสกุลของเธอครับ”
“นามสกุล?”
“ครับนาย เธอใช้นามสกุลเลนาร์ช ชื่อเต็มว่านลีนี เลนาร์ช ผมว่านามสกุลนี้ฟังดูคุ้นๆ ครับ ผมเลยให้ลูกน้องที่ลอนดอนสืบให้อยู่ คาดว่าไม่เกินเที่ยงพรุ่งนี้น่าจะได้เรื่องอะไรบ้าง”
“ทำไมต้องเป็นที่ลอนดอน?”
“ก็เธอเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษนี่ครับ”
ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ผู้หญิงคนนั้นใช้นามสกุลเลนาร์ช ทั้งยังเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ หวังว่าเธอคงจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเลนาร์ชของริชาร์ดหรอกนะ?
“นลินี เลนาร์ช”
ครูซเอ่ยชื่อหญิงสาวที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็นครั้งแรกเมื่อตอนหัวค่ำ ด้วยสีหน้าราวกับกำลังวางแผนการเจรจาธุรกิจ จนเลโอที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกได้ถึงความจริงจังที่แสดงออกมาทางสีหน้าของผู้เป็นนาย
“นาย เบียร์หายเย็นแล้วครับ ถ้านายไม่ดื่มต่อผมขอนะ กำลังหิวน้ำพอดีเลย”
“...”
ครูซเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ถ้าไม่ติดว่าเลโอเป็นคนทำงานเก่ง ป่านนี้เขาคงไล่ออกไปนานแล้วเพราะนิสัยชอบกวนประสาทของเจ้าตัว
บ้าจริง!
นลินีขี่รถกลับไปยังที่พักด้วยอาการหวาดระแวง ก่อนหน้านี้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกคนสะกดรอยตาม ทว่าพอลองบิดรถเร็วขึ้นอีกกลับพบว่ารถจักรยานยนต์ที่ขับตามเธอมานั้นหักเลี้ยวเข้าซอยไป หญิงสาวจึงพบว่าตัวเองนั้นคิดมากไป
ทว่านลินีกลับรู้สึกสบายใจได้เพียงแค่ไม่กี่นาที เมื่อโทรศัพท์มือถือของเธอสั่นเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้า
หญิงสาวเลี้ยวรถเข้าไปยังปั๊มน้ำมัน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมารับ ด้วยเวลานี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว และคนที่มักโทร.หาเธอในเวลานี้ถ้าไม่ใช่ชลภิดาเพื่อนรักของเธอ ก็ต้องเป็นคุณนายกัลยามารดาผู้ให้กำเนิดแล้ว
“ฮัลโหล ว่าไงแม่ทำไมโทรมาป่านนี้ แล้วนี่กินข้าวรึยัง”
หญิงสาวกดรับสายแล้วถามไถ่ออกไปด้วยถ้อยคำปกติ ทว่าน้ำเสียงและถ้อยคำที่ตอบกลับมานั้นทำเอาหญิงสาวแทบหัวใจหล่นลงไปอยู่ปลายเท้า
“ลี! ช่วยแม่ด้วย!”