บทที่7 มีเรื่อง2
“วันนี้มาทั้งดอกบัวขาวและดอกบัวแดงเลยเชียว นี่มันงานชุมนุมดอกไม้หรือไร”
เสิ่นเยว่ลอยหน้าลอยตาพูด หลินซูเมิ่งที่พึ่งจะตั้งหลักได้ก็ตวาดออกมาเสียงดัง
“เจ้าจงใจใช่หรือไม่ เจ้าเห็นว่าข้าเดิมมาจะชนเจ้า เจ้าจึงหลบทำให้ข้าล้มลงเจ้าต้องการทำให้ข้าอับอาย”
เจียงหลีพยายามห้ามหลินซูเมิ่งเสียงเบาเป็นการห้มที่ไม่จริงจังนัก เสิ่นเยว่มองนางยิ้มๆ
“สมองเจ้ากำลังมีปัญหาหรือไง เจ้าเป็นใครเหตุใดข้าถึงจะต้องเอาตัวไปรับเจ้าด้วย ข้ากินข้าวนะไม่ได้กินฟาง”
เสิ่นเยว่หันมามองเจียงหลีที่กำลังประคองหลินซูเมิ่งอยู่
“ดูท่าเจ้าก็กินข้าวเหมือนกันนี่ ถึงได้ถีบนางออกมาจนล้มแล้วยังทำท่าทางทางไม่รู้ไม่ชี้อยู่เช่นนี้ได้”
เจียงหลีมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางหวาดกลัวดวงตาดอกท้อของนางกำลังปริ่มน้ำแดงระเรื่อ ทำให้มองดูแล้วน่าสงสารนัก
“ข้าเปล่านะ เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า”
เสิ่นเยว่ไม่สนใจการแสดงละครของนาง
“เช่นนั้นข้าผลักนางอย่างนั้นหรือ หรือว่าผู้ดูแลร้านเจ้าเป็นคนผลักนาง”
ผู้ดูแลร้านรีบปฏิเสธทันควัน เขาจะกล้ารับได้อย่างไร เขาเป็นเพียงผู้ดูแลร้านเครื่องประดับตัวเล็กๆ หากถูกเอาผิดขึ้นมาได้ติดคุกหัวโต เขาไม่อยากยุ่งเรื่องความบาดหมางของสตรีตระกูลใหญ่หรอกนะ เขายังรักชีวิตอยู่
“ฮูหยินน้อยพูดเล่นแล้วข้าก็ยืนแนะนำเครื่องประดับให้ท่านอยู่จะสามารถผลักคุณหนูหลินได้อย่างไร บางทีนางอาจแค่สะดุดล้มเท่านั้น”
เสิ่นเยว่อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ตอนแรกที่หลินซูเมิ่งโวยวายเรื่องที่นางเบี่ยงตัวหลบจนทำให้นางล้มกระแทกพื้น กลับกลายเป็นว่าตอนนี้กำลังหาตัวคนที่ผลักนางไปซะได้ แล้วดูเหมือนว่าคนในร้านจะยังไม่เอะใจที่เรื่องราวเปลี่ยนไปกระทันหันเช่นนี้
“แล้วใครกันที่กล้าผลักคุณหนูใหญ่หลินบุตรสาวของเสนาบดีกรมโยธาล้มกันเล่า ดูเหมือนเรื่องนี้จะป็นเรื่องใหญ่นะ ข้าว่าไปแจ้งความเถอะ เดี๋ยวข้าจะเป็นพยานให้เจ้าเอง”
หลินซูเมิ่งรีบสะบัดแขนออกจาการเกาะกุมขิงเสิ่นเว่ยทันที
“ปล่อยข้านะ”
เสิ่นเยว่ทำหน้าจริงจัง
“อ้าวทำไมเล่า เจ้าไม่ต้องการความยุติธรรมหรอกหรือ ในร้านเครื่องประดับมีคนมากมายเพียงนี้ต้องมีสักคนที่เป็นคนผลักเจ้าอย่างแน่นอน ข้าบอกแล้วว่าจะไปเป็นพยานให้เจ้าไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“เจ้า”
หลินซูเมิ่งพูดไม่ออก ตอนนี้นางหาทางออกให้ตนเองไม่ได้ ทั้งเจ็บตัวทั้งอับอาย หลินซูเมิ่งโมโหจนแทบอยากฉีกเสิ่นเยว่ออกเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว
หลินซูเมิ่งกับเจียงหลียืนหันหน้าออกไปด้านหน้าร้านเครื่องประดับจึงเห็นว่าสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในร้านเป็นใคร ใบหน้าของพวกนางซีดขาวยิ่งกว่าเดิม เสิ่นเยว่ที่สังเกตเห็นเช่นกัน นางก็อยากรู้ว่าเหตุใดทั้งสองจึงได้ตื่นตระหนกเพียงนั้น
เมื่อเสิ่นเยว่หันไปมองถึงได้รู้ว่าคนที่เดินเข้ามาคือสามีปลอมๆ ของนางกับบุรุษรูปงามในชุดขาวท่าทางเจ้าสำราญ
“อ้อ ท่านนี่เองไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่ที่ค่ายทหารหรอกหรือ”
เสิ่นเยว่ทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง
“เจ้าคงจะเป็นฮูหยินน้อยของเซวียนเซวียนใช่หรือไม่ สำคำร่ำลือจริงๆ เจ้าป็นสตรีที่งดงามที่สุดเท่าข้าเคยพบมาเลยนะ”
เสิ่นเยว่ยิ้มให้เขาบางๆ นางคิดว่าเขาคงจะเป็นสหายของหลี่เซวียนนางเดินไปใกล้ๆ หลี่เซวียนแล้วกระซิบกับเขาเบาๆ
“เซวียนเซวียนหรือ ฟังแล้วน่ารักดีนะ”
หลี่เซวียนรู้สึกหงุดหงิดตั้งแต่ที่นางยิ้มให้ไป๋ชิงรุ่ยแล้ว นี่นางยังจะมาล้อชื่อเล่นของเขาอีกหรือ
“เงียบไปเถอะน่า”
หลี่เซวียนกระซิบกลับไป แต่ในสายตาของหลินซูเมิ่งกับเจียงหลีทั้งสองคนกำลังแสดงความรักต่อกัน
“พอได้แล้วน่าข้ารู้ว่าเจ้าสองคนพึ่งจะแต่งงานกันแต่กรุณาเกรงใจคนโสดเช่นข้าบ้างได้หรือไม่”
เป็นไป๋ชิงรุ่ยที่พูดแทนความคิดของคนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ หลี่เซวียนถลึงตาใส่ไป๋ชิงรุ่ย
ตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นว่าข้ากับนางกำลังแสดงความรักต่อกัน
ไป๋ชิงรุ่ยถลึงตาใส่เขากลับ
ตาทั้งสองข้างของข้า
เสิ่นเยว่ไม่สนใจเรื่องของสองบุรุษที่กำลังถกถียงกันทางสายตา ที่นางสนใจคือปฏิกิริยาของหลินซูเมิ่งกับเจียงหลีต่างหาก มันช่างน่าสนใจยิ่งนัก พอสองคนนี้เดินเข้ามาในร้านเหตุใดพวกนางจึงมีท่าทางตื่นตระหนกคล้ายกับว่ากำลังทำความผิดแล้วโดนจับได้จากคนที่ตัวเองชอบ
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะคุณหนูหลิน เจ้าไม่ต้องการไปแจ้งความเอาผิดคนที่ผลักเจ้าล้มจริงหรือ”
ไป๋ชิงรุ่ยเลิกสนใจหลี่เซวียนทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เสิ่นเยว่พูด
“เกิดอันใดขึ้นหรือ เซวียนเซวียนอยู่ที่นี่เขาเป็นถึงแม่ทัพน้อยคุณหนูหากว่าเจ้าได้รับความอยุติธรรมเจ้าสามารถบอกเขาได้นะ หรือไม่ก็บอกข้าเดี๋ยวข้าจะไปแจ้งองครักษ์เสื้อแพรให้”
ยิ่งไป๋ชิงรุ่ยพูดถึงองครักษ์เสื้อแพรใบหน้าของสตรีทั้งสองยิ่งซีดขาวมากกว่าเดิม
“ปะ....เปล่ามิใช่เช่นนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นข้าเองที่สะดุดล้มมิได้มีใครผลักข้าทั้งนั้น”
ล้อเล่นหรือไรหากท่านพ่อของนางรู้เรื่องที่นางก่อเรื่องในวันนี้นางจะต้องโดนโบยแล้วก็ถูกขังอยู่ในจวนจนกว่าจะได้ออกเรือนแน่
“อ้อ เช่นนั้นหรือถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเรื่องแล้วสินะ ผู้ดูแลเครื่องประดับที่ข้าดูส่งไปที่จวนสกุลหลี่นะ”
เสิ่นเยว่กำลังจะจ่ายเงินมัดจำ แต่หลี่เซวียนไวกว่า
“ส่งหนังสือเรียกเก็บเงินไปที่จวนสกุลหลี่”
จากนั้นเขาก็จูงมือเสิ่นเยว่ออกจากร้านเครื่องประดับทันที
“เฮ้ เจ้าสองคนรอข้าก่อน”
หลี่เซวียนกระโดดขึ้นม้าแล้วใช้แขนข้างเดียวรวบเอวของเสิ่นเยว่พาขึ้นม้าควบออกจากถนนหน้าร้านเครื่องประดับไปแล้วทิ้งทุกคนเอาไว้ข้างหลัง