บทที่1.ความทรงจำสีเทา... 3/4
“ถ้านางฟ้าไม่เอาชุดสวยล่ะคะ นางฟ้าจะได้นอนกอดแม่จ๋าไหม?”
เป็นคำถามแสนซื่อ แต่ในความเป็นจริงคือความรันทด ใช่ว่าเธออยากจะออกไปท่องราตรีทำงานหามรุ่งหามค่ำเมื่อไร แต่เพราะอนาคตของเด็กผู้หญิงตรงหน้านี่ต่างหาก ทำให้ปูชิดาต้องพากเพียร เธอยิ้มอ่อนๆ ยืนมือไปสวมกอดบุตรสาว พร้อมกับเอ่ยเสียงเครือ “สักวันแม่จ๋าคงมีเวลากอดนางฟ้าตอนนอน...แต่วันนี้แม่จ๋าจำเป็นจริงๆ จ้ะ มันไม่ได้หมายถึงแค่ชุด ไหนจะกระเป๋า รองเท้า ขนมที่หนูจะต้องมีกิน เข้าใจแม่ไหมจ้ะ”
คำอธิบายของมารดา อัปสราไม่ใคร่จะเข้าใจ แต่เพราะเธอเองก็รู้ มารดารักเธอยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะฉะนั้นท่านคงจำเป็นจริงๆ ใบหน้าเล็กๆ พยักหงึกหงัก แม้จะสลดลง แต่ก็พยายามไม่ให้ตัวเองเป็นตัวถ่วง
“แม่คุ๊ณ...”
มือเหี่ยวย่นยกชายผ้าขึ้นซับน้ำตา มันน่าสงสารจนสุดซึ้ง อนาถใจในชะตาชีวิตของสองแม่ลูก แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่ดีกว่านี้ชดเชยให้ได้ นางมีแค่ความภักดี แต่ไม่มีสตางค์...
“กินข้าวกันดีกว่า กินเยอะๆ นะจ้ะ หนูจะได้แข็งแรง เรียนเก่งๆ มีเพื่อนเยอะๆ”
ปูชิดาทำเสียงร่าเริง เธอสลัดความเศร้าทิ้งแบบรวดเร็ว เมื่อความรู้สึกเหล่านี้อาจจะทำให้ตัวเองหมดกำลังใจ ในเมื่อเธอเองเลือกเดินทางนี้...ก็ต้องจำทนด้วยความเข้มแข็ง เธอเป็นเสาหลักของบ้าน...เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตตัวเอง เธอต้องแกร่ง...เป็นหญิงเหล็ก ไม่หวั่นไหวกับความทุกข์ตรมที่รุมเร้า...
มือเล็กๆ โบกไหวไปมา เด็กหญิงเกาะขอบรั้วโบกมือส่งมารดา แม้จะปรารถนาอยากให้ท่านอยู่ใกล้ๆ แต่ความจำเป็นบางอย่างเจ้าตัวเลยได้แต่จำยอม... “ยายจ๋า พ่อนางฟ้าไปไหน?”
ครอบครัวอื่นๆ ในละแวกบ้านเท่าที่เจ้าตัวน้อยเห็น มักจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก แต่ทำไมเล่า ทำไมครอบครัวของเธอถึงขาด? ไม่มีบุคคลสำคัญเช่นคนอื่นๆ
นมแผ้วน้ำตาตก นางอยากจะเปิดปากเล่าความจริงให้คุณหนูตัวน้อยฟังเหลือเกิน แต่เพราะปูชิดาสั่งห้ามเด็ดขาด!! เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับ ‘พ่อของลูก’ ไม่ใช่เพราะเกลียดชัง แต่เพราะเธอกลัวเขาไม่เชื่อ เมื่อเธอเป็นแค่คนเคยรัก ถึงจะเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แต่มันก็เนิ่นนานจนเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ อีกอย่างสถานภาพของปูชิดาเวลานี้ไม่เหมือนเดิม เธอไม่ใช่บุตรสาวของเศรษฐีใหญ่ เธอถูกอับเปหิออกมาจากบ้าน ถูกเสือกไสออกมาแบบไร้ความปราณี ไม่มีสายสัมพันธ์ใดใดหลงเหลืออยู่กับครอบครัว ไวศยปรานนท์ เป็นแค่เด็กสาวใจแตกที่มีลูกเป็นเรือพ่วง ด้วยวัยที่ยังไม่เต็มสาวดี แล้วชายหนุ่มที่เป็น ‘พ่อของลูก’ เขาจะสนใจอะไรกับอดีตอย่างปูชิดา เมื่อเวลานี้ ‘เขาผู้นั้น’ อยู่ท่ามกลางวงล้อมของสาวๆ มีอนาคตสดใส กับเป้าหมายชีวิตที่ตัวเองวาดไว้...
“แม่จ๋าบอกนางฟ้าว่าอย่างไรบ้างล่ะลูก” นางย้อนถามเสียงแผ่ว ก้อนสะอื้นวิ่งมาจุกอยู่ที่อก ลดสายตาเศร้าสลดมองใบหน้าเล็กๆ ที่แหงนเงยขึ้นมอง
เด็กหญิงเม้มปาก ก่อนจะค่อยๆ ตอบเสียงอ่อย “ยายสวรรค์อยู่ที่ไหนคะ? นางฟ้าอยากไป แม่จ๋าบอกว่าปะป๊าทำงานอยู่ที่นั่น” คำตอบที่นางฟังมาจนชิน เพราะปูชิดาจงใจปิดบัง หล่อนไม่ต้องการให้ลูกน้อยมีความทรงจำไม่ดีกับบิดา หญิงสาวจึงเลี่ยงที่จะพูดความจริง
“รอให้โตก่อนดีไหมลูก เวลานั้นรับรองได้ นางฟ้าได้ไปหาปะป๊าแน่ๆ” นางกลั้นใจตอบ พร้อมกับชักชวนเด็กหญิงเข้าไปในบ้าน “เข้าบ้านกันดีกว่า ป่านนี้น้องหมีนอนรอนางฟ้าบนเตียงแล้วมั้งคะ” เด็กบ้านแตก ขาดความอบอุ่นมักจะมีสิ่งยึดเหนี่ยว และอัปสราก็เช่นกันเธอมีตุ๊กตาหมีเก่าแสนเก่า แต่เจ้าตัวหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เธอมักจะนอนกอดตุ๊กตาตัวนั้นก่อนจะหลับใหลไปในห้วงนิทรา
“อีกกี่ปีคะ อีกี่ปีนางฟ้าถึงจะโต” เจ้าตัวยังไม่วายถาม เมื่อยอดปรารถนาของเธอ คือการได้พบเจอบิดาสักครั้ง เด็กหญิงอยากมีบิดาเหมือนแฉกเช่นเพื่อนๆ
“กินเยอะๆ นอนเยอะ เดี๋ยวก็โตเองแหละค่ะ”