บทที่ 6 ขุมทรัพย์บนเขาพร้อมกับเรื่องราวอันน่าตกใจ1
บทที่ 6 ขุมทรัพย์บนเขาพร้อมกับเรื่องราวอันน่าตกใจ1
ท่าเรือติดชายทะเลคร่ำคร่าไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่เร่ขายของ ซูเม่ยกวาดสายตามองหาสิ่งที่ต้องการช้าๆ วันนี้นางไม่ได้พาคนมามาก แค่คนขับรถม้ากับคนยกของเท่านั้น ร่างบางเดินไปทางทอดยาวขนานท่าเรือเพื่อหาสิ่งของแปลกสำหรับคนที่นี่แต่คุ้นเคยสำหรับนาง จนกระทั่งผ่านพ่อค้าชาวต่างแดนคาดว่าจะมีเชื้อสายอังกฤษก็พบสิ่งที่น่าสนใจ
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซูซี่” ซูเม่ยไม่รอช้าเข้าไปทักทายพ่อค้าของเรือลำนั้นเป็นภาษาอังกฤษทันที
“โอ้ววววว สวัสดี ไอชื่อจอห์น สมิทธ์ ยูพูดภาษาของไอได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับมิสซูซี่” หนุ่มตาฟ้าผมสีทองแววตาตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ยินภาษาของเขาจากคนที่นี่ มาค้าขายกี่ครั้งมักมีปัญหาเรื่องการสื่อสารจนเหลือกำไรเพียงไม่มาก จนเขาจะถอดใจไม่มาเทียบท่ายังแคว้นนี้เสียแล้ว จนมาพบกับซูเม่ย
“ยินดีเช่นกันค่ะ ฉันขอถามคุณหน่อยได้มั้ย ใบเรือของคุณทำมาจากผ้าใบหรือไม่” ซูเม่ยไม่รอช้าเข้าไปสอบถามตรงประเด็นทันที
“ยูสนใจผ้าใบเช่นนั้นหรือ” จอห์นเลิกคิ้วอย่างสนใจที่มีคนรู้จักเจ้าของชิ้นนี้ทั้งที่เพิ่งมีการผลิตขึ้นในดินแดนของเขา
“ใช่แล้ว คุณพอจะมีมันมาขายบ้างหรือเปล่า” ซูเม่ยถามกลับทันที เมื่อมันใช่อย่างที่นางสงสัยจริงๆ
“มีสิ มีเยอะด้วยยูต้องการเท่าไร ไอขายมันเป็นเมตร เมตรละ 1 ตำลึงทอง” เมื่อได้ฟังจอห์นพูดว่ามีมามากมาย ซูเม่ยดีใจจนเนื้อเต้นเลยทีเดียว
“ 3,000 เมตร คุณช่วยส่งไปที่จวนตระกูลตวนมู่ ทางทิศตะวันตกของเมืองด้วยค่ะ” เมื่อนัดแนะสถานที่จัดส่งเรียบร้อย นางก็เลือกดูของอีกเล็กน้อย ได้ทั้งกาแฟ โกโก้ อัลมอนด์ แป้งสาลี ดินสอ ปากกาขนนก น้ำหมึก สี และที่สำคัญสมุดกระดาษขาว ก่อนจะกล่าวลามิสเตอร์จอห์น ที่เขาสัญญาว่าคราวหน้าจะเอาต้นกาแฟ กับต้นโกโก้มาขายให้กับนางด้วย
เสร็จจากท่าเรือปลายยามเฉิน( 09.00 น.) ซูเม่ยกลับมาทันขบวนเดินทางของเพื่อนชาวยุทธ์ของท่านลุงอันฉีพอดี ทั้งหมดมีอาการเหนื่อยล้าพอสมควรโดยเฉพาะเด็กและสตรี ส่วนบุรุษนางมองร่างกายบึกบึนกำยำนั้นด้วยความสนใจ กลิ่นอายของพวกเขานับว่าคล้ายคลึงกับท่านลุงอันฉีไม่น้อย แม้นางจะสงสัยความเป็นมาของพวกเขาแต่ไม่อยากเอ่ยถาม แค่พวกเขาซื่อสัตย์ก็เพียงพอ
ตลอด 5 วันหลังจากที่เพื่อนของท่านลุงอันฉีมาอาศัยภายในจวนตระกูลตวนมู่ และกลายเป็นคนของนาง ซูเม่ยก็จัดระเบียบจวนได้ดีขึ้น อาคารคนงาน 2 หลังเป็นของคนงานที่ทำงานแปลงเกษตร ส่วนอีก 2 หลังก็ให้คนที่ท่านลุงอันฉีคัดเลือกมาฝึกการต่อสู้วิชายุทธ์ และเพื่อนๆของท่านลุง ส่วนคนที่มากันเป็นครอบครัวก็ให้นายช่างหวังฉือสร้างบ้านขนาดกลาง 4 ห้องนอนให้แก่พวกเขา ซึ่งสร้างเพิ่มแค่ 10 หลังเท่านั้น
“ดูแล้วอาคารที่พักน่าจะไม่เพียงพอเสียแล้ว” ซูเม่ยพึมพำอย่างแผ่วเบาเมื่ออ่านรายงานจากท่านลุงอันฉีที่วิ่งวุ่นจัดระเบียบคนจำนวนมาก
“ขยายเข้าไปในหุบเขาเฟยซานซึ่งมีที่โล่งกว้างถัดจากเขาอินซานคงจะดีไม่น้อย” จากที่นางเคยไปสำรวจดินตรงนั้นเป็นพื้นที่ราบมีเส้นทางเข้าเพียงทางเดียว ขนาบข้างและหลังด้วยเขาอินซานจึงไม่มีผู้อยู่อาศัย เหมาะสำหรับปลูกสมุนไพร เนื่องจากมีลำธารน้ำตกไหลผ่านกลางหุบเขา และการฝึกฝนผู้คนจำนวนมากก็ไม่เป็นที่น่าสนใจด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็นั่งรถม้าไปที่ว่าการเมืองทันที และได้โฉนดที่ดินมาครอบครอง ซึ่งมีเนื้อที่ 1,500 หมู่เลยทีเดียว ก่อนจะกลับจวน นางก็แวะพบนายช่างหวังฉือพร้อมว่าจ้างสร้างหมู่บ้านเฟยซาน ซึ่งมีบ้านภายในถึง 100 หลังคาเรือน และอีก 2 อาคารที่พัก คราวนี้นายช่างแค่มือไม้สั่นแต่ไม่ถึงกับเป็นลมล้มพับเช่นคราวก่อน เพราะคุณหนูผู้นี้มักมาจ้างเขาให้ทำสิ่งน่าตกใจเสมอจนเขาเริ่มชินชาเสียแล้ว
“ง่ำๆๆๆ พี่ใหญ่เจ้าสิ่งนี้ทำจากข้าวโพดที่เป็นอาหารสัตว์จริงหรือขอรับ” ซูเหวินที่ลองกินข้าวโพดคั่วราดน้ำผึ้งที่แสนจะเคี้ยวเพลิดเพลินจนหยุดปากไม่ได้ ถามขึ้นอย่างสงสัย ของที่คนอื่นมองข้ามพี่สาวของเขามักหยิบมาสร้างประโยชน์ได้เสียมากมาย
“ย่อมเป็นข้าวโพดสิพี่รอง เพราะจานนี้น้องกับเฟยเฟยช่วยกันทำเจ้าค่ะ” ซูเจียวกอดอกเชิดปลายคางและยกยิ้มอย่างภูมิใจ ข้างๆกันก็มีเด็กน้อยอีกคนทำตามท่าทางของพี่สาวมิมีผิดเพี้ยนจนกลายเป็นภาพที่น่ามอง
“มื้อเย็นนี้ก็มีอาหารคาวจากข้าวโพดเช่นกัน น้องรองเตรียมท้องไว้ด้วยเล่า”
“ข้าย่อมเฝ้ารอฝีมือการทำอาหารของพี่ใหญ่ ใช่มั้ยน้องสามน้องเล็ก”
“ใช่เจ้าค่ะ/ใช่เจ้าค่ะ รสมือพี่ใหญ่อร่อยที่สุด”
ปลายยามเหม่า (7.00 น.)ของวันถัดไป ซูเม่ยที่นัดแนะท่านลุงอันฉีขึ้นเขาอินซานก็เตรียมตัวออกเดินทาง กลุ่มขึ้นเขาครานี้มีทั้งหมด 12 คน ซึ่งคัดเฉพาะคนที่เป็นวรยุทธ์เท่านั้น นางเตรียมหน้าไม้ มีดสั้น อุปกรณ์ขุดของตัวเอง และเสบียงเล็กน้อยให้แต่ละคนพกติดตัวไว้ เมื่อทุกคนพร้อมนางก็สั่งออกเดินทางทันที
เขาอินซานเป็นป่าทึบ ค่อนข้างรกบริเวณชายป่า แต่พอเข้าไปด้านในกลับมีความโปร่งมากขึ้นทำให้การเดินทางสะดวกสบาย เข้าป่าครานี้มุ่งเน้นการหาเสบียงจำพวกมัน เผือก เนื้อสัตว์ สมุนไพรสำหรับการปรุงโอสถ และต้นกล้าที่น่าสนใจไปปลูกในไร่เพิ่มความหลากหลาย
เดินมาได้ไม่ทันจะพ้นชายป่า นางก็พบสิ่งที่น่าสนใจ นั่นมัน.....ลำต้นเป็นข้อ ก้านใบยาว ใบมีหลายแฉก
“มันสำปะหลัง!!!!” ซูเม่ยวิ่งเข้าไป เด็ดใบมาดม และเขี่ยบริเวณโคนต้น ก็พบว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ เมื่อมองไปทั่วบริเวณก็พบต้นมันจำนวนมาก
คนที่ติดตามมาทั้งหมด เดินมาตรงที่ซูเม่ยกำลังลูบๆคลำๆ ต้นของมันอยู่ก็แปลกใจ
“คุณหนูใหญ่ต้นนี้มันมีพิษ มีคนกินแล้วตายนะขอรับ” หูอันฉีกล่าวขึ้น เพราะเมื่อก่อนมีข่าวเช่นนี้กระจายออกมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จนไม่มีใครกล้ากินอีกเลย
“มันกินได้เจ้าค่ะ มันคือต้นมันสำปะหลัง ส่วนที่กินจะเป็นหัวของมันซึ่งอยู่ใต้ดินไม่สามารถกินดิบได้ต้องปรุงให้สุกก่อนเท่านั้น ส่วนที่เป็นพิษของมันคือยางเจ้าค่ะ คนที่กินแล้วตายน่าจะเพราะกินหัวดิบของมันเข้าไป” ซูเม่ยเมื่ออธิบายจบ ทุกคนก็พอจะเข้าใจ และไม่ได้มีท่าทีไม่เห็นด้วยหรือไม่เชื่อใจ
นางสั่งให้ท่านอาคนหนึ่งช่วยขุดหัวมันขึ้นมาดู พบว่ามีขนาดใหญ่และอวบอ้วนมาก มันใหญ่กว่าขาของนางเสียอีก
“ข้าขออาสาหนึ่งคนไปแจ้งท่านอาชางให้ส่งคนมาขุดและลำเลียงมันพวกนี้กลับจวน” เมื่อเห็นว่าไม่ผิดแน่ซูเม่ยก็ให้คนมาขุดพวกมันไปทั้งหมด ใจจริงนางอยากจะโยนพวกมันใส่มิติเสียให้หมดแต่ก็มิอาจทำได้ เพราะมีคนอยู่มากมาย
หลังจากที่ส่งคนกลับจวนไป ซูเม่ยก็เคลื่อนขบวนอีกครั้ง เสียงแมลง สัตว์เล็กๆดังเซ็งแซ่ แต่ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวใดให้กับคนกลุ่มนี้เลย ทุกคนยังคงมุ่งหน้าเข้าป่าต่อไป
ยิ่งเดินเข้าไปลึกป่าก็ยิ่งมีความชื้นมากขึ้น จนมาพบกับขอนไม้ขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะล้มตายและผุพังมาแล้วหลายร้อยปี ลำต้นของมันพาดยาวจากโขดหินจนเกิดเป็นโพรงน้ำหยด แต่ที่คาดไม่ถึงมันกลับมีเห็ดจำพวกหนึ่งงอกจนแน่นขนัด
