บทที่ 2 รับน้อง2
บทที่ 2 รับน้อง2
“ตื่นได้แล้วกระมัง เจ้าพวกเดรัจฉานทั้งหลาย”
เมื่อสิ้นเสียงนางทุกคนก็ลืมตาตื่นทันที ก่อนจะทำท่าลุกขึ้นมาแต่ไร้เรี่ยวแรง พลันหกล้มหกลุกอยู่อย่างนั้นด้วยความตื่นตระหนกกับอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกายตนเอง ไม่นานก็เห็นคนที่ไม่ควรจะมานั่งอยู่ที่นี่ก็พลันตกตะลึงอีกครั้ง
“อือ อือ อา อา อือ อา” เสียงลอดผ่านลำคอเบาๆฟังไม่ได้ศัพท์ถูกส่งออกมาจากปากของแต่ละคน ยกเว้นเด็กๆที่ร้องไห้ไร้เสียงบดเบียดร่างกายบิดามารดาของตนไม่ห่างด้วยความกลัว ไร้ท่าทางเย่อหยิ่งเหยียดหยามที่เคยทำกับนางและน้องๆอีกเลย
“อ่า อย่ามองข้าด้วยแววตาโหดร้ายเช่นนั้นสิ...ท่านปู่ ท่านย่า” ซูเม่ยพูดพลางลุกขึ้นเยื้องย่างกายไปทรุดลงตรงหน้าชายและหญิงชรา ก่อนจะหยิบมีดอันเล็กออกมาจากแขนเสื้อ ค่อยๆบรรจงไล้ไปยังใบหน้าเหี่ยวย่นของยายเฒ่าจ้าวก่อนจะฟาดสันมีดบนใบหน้าเหี่ยวนั่นหลายครั้งจนขึ้นริ้วช้ำเขียวนับไม่ถ้วน
ฟางกุ้ยแววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว หลังจากเห็นมีดที่นางเด็กสารเลวดึงออกมา และตอนนี้นางก็รู้สึกเจ็บระบมที่ใบหน้านัก
‘นายหน้ามาเอาตัวมันไปขายหอนางโลมแล้วนี่ ทำไมกัน ทำไมมันกลับมาได้’ จ้าวไฉจ้องเขม็งไปที่บุตรสาวคนโตของไอ้เด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยงให้เป็นทาสในตระกูล เรียกมันว่าลูกชาย แต่ใจจริงมันเป็นแค่แรงงานทาสให้คนในครอบครัวเขาเท่านั้น
“กลัวเหรอเจ้าคะ” นางถามพลางกวาดสายตามองไปที่ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้ ก่อนจะกดมีดลงบนหน้าเหี่ยวย่นของยายเฒ่าจ้าว จนเป็นแผลลึกเลือดไหลออกมา นางตวัดมีดสองสามครั้งอย่างคล่องแคล่วจนได้รอยแผลเหวะหวะมากมาย
“ฮี๊ดดดดดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องจากยายเฒ่าจ้าวดังออกจากลำคอเพียงเสียงยุงบิน ซูเม่ยยกยิ้มให้กับท่านลุงที่แสนจะขลาดเขลาแต่ยังดั้นด้นที่จะเรียน ทั้งๆที่มีสมองอันน้อยนิด แล้วยังเป็นคนยุยงให้ชายหญิงชราอ้างความกตัญญูผลักไสบิดามารดาของนางให้ไปทำงานเสี่ยงอันตรายจนไม่ได้กลับมาอีก เป็นตายร้ายดีไม่อาจรู้ ตราบใดที่ยังไม่พบศพ นางก็ไม่ปักใจเชื่อว่าบิดามารดาได้ตายไปแล้ว
‘เขาพลาดตรงไหนกัน เขากระซิบสั่งนายหน้าผู้นั้นไปแล้วนี่ ว่าให้กำชับแม่เล้า ให้มันไปเป็นนางโลมชั้นต่ำรับแขกทั้งวันทั้งคืนโทษฐานที่มันบังอาจเล่นตัวกับเขา’ จ้าวเจ๋อผู้มีความคิดโสมม เขาอุตส่าห์จะรับมันเป็นอนุให้มันคอยทำงานหาเลี้ยงเขาให้สุขสบายแทนพ่อหน้าโง่ของมัน มันกลับแหกปากร้องจนเมียเขารู้เข้า สุดท้ายท่านแม่ก็ตัดปัญหาขายมันออกไป แล้วดูตอนนี้มันงดงามเสียยิ่งกว่าเก่า แต่กลับดุร้ายจนเหมือนมีปีศาจร้ายมาสิงสู่ แค่สายตานั่นก็ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัวไม่อาจควบคุมได้แล้ว
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านย่า ข้าพลั้งมือไปเล็กน้อย” นางทำท่าสะดุ้งตกใจ ก่อนจะยกมีดขึ้นและแสร้งทำมีดหล่นปักไปที่ขาของตาเฒ่าจ้าวที่นอนอยู่ข้างๆกัน
“อ้ากกกกกกกกก” ตาเฒ่าจ้าวสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดและส่งเสียงร้องออกมา แต่เสียงนั้นกลับดังเพียงคนที่นั่งใกล้ๆได้ยินเท่านั้น นัยน์ตาหวาดกลัวจับจิตส่งมาจากทุกคนที่เริ่มพยายามขยับเขยื้อนกายหนี ทั้งที่ขยับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“โอ๊ะ มีดหลุดมือ ข้าต้องขออภัยท่านปู่ด้วย เดี๋ยวข้าเอาออกให้เจ้าค่ะ” นางว่าพลางขยับกายเบี่ยงจากหญิงชรามาที่ชายชรา ก่อนจะดึงมีดที่ปักอยู่อย่างแรงจนเลือดกระฉูดออกมาจากบาดแผลแลดูสยดสยอง ตาเฒ่าจ้าวทั้งเจ็บปวดทั้งหวาดกลัวจนปล่อยน้ำเหลืองอ๋อยรดกางเกงจนเปียกเหม็นคลุ้งไปหมด
“อือ อือ อา อา” เสียงเปร่งจากปากท่านลุงจอมขี้ขลาดของนาง ที่ตอนนี้ขยับจนแทบจะเกยบนร่างเมียของตนเองเสียแล้ว
“ท่านลุงอย่าตกใจไปเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวหลานจะไปเล่นด้วย อยู่ที่หอนางโลมข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก” ท่านลุงผู้นี้ของนางนอกจากจะขี้ขลาดแล้วยังทำตัวสกปรกคิดเกินเลยกับหลานสาวตนเอง ตอนที่นางยังไม่ถูกขายให้หอนางโลม ชายผู้นี้ก็ลอบมองและฉวยโอกาสถูกเนื้อต้องตัวนางอยู่บ่อยครั้ง ซูเม่ยพยายามหลบเลี่ยงท่านลุงผู้นี้อยู่เสมอ และพยายามไม่อยู่เพียงลำพังจึงรอดพ้นมา จนกระทั่งถูกขายออกไป
ซูเม่ยขยับกายไปนั่งอยู่ใกล้ๆสองสามีภรรยาที่มองมาที่นางด้วยความกลัวปนความมาดร้ายอยู่ในที ท่านลุงหวาดกลัวแต่ท่านป้านั้นดูจะมุ่งร้ายไม่เลิกรา ทั้งๆที่ตกเป็นเหยื่อ ไม่รู้จะเรียกว่าโง่เขลาหรืออันใดดี
‘นางแพศยาที่กล้ายั่วยวนสามีของนาง มันยังอยู่ ทำไมมันไม่หายตามพ่อแม่มันไป สารเลว!!!’ จูอันจ้องเขม็งไปที่ซูเม่ยอย่างเดือดดาล นางสู้อุตส่าห์ยุยงให้แม่สามีขายมันออกไปพ้นหูพ้นตา แล้วยังขายไปเป็นนางโลมเหมาะสมสำหรับหญิงร่านอย่างมันแล้ว
“ป้าสะใภ้ทำไมมองเช่นนั้นเจ้าคะ เหมือนจะฆ่า!!!...หลานเลย” นางทำท่าหวาดกลัวอย่างเสแสร้ง
“ช่าง...ไม่สำเหนียกว่าตนอยู่ในสภาพไหน” ซูเม่ยก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูและเน้นย้ำทีละคำให้ลึกลงสมองกลวงๆของป้าสะใภ้ผู้นี้
สตรีผู้นี้แต่งเข้ามาก็จิกหัวใช้โขกสับมารดาของนางสารพัด เพราะยายเฒ่าจ้าวให้ท้ายอยู่เสมอ งานบ้านงานไร่ไม่เคยแตะ ทั้งมารดาที่กำลังท้องและนางที่ยังเด็กก็โดนจิกหัวใช้ทั้งวัน และของๆมารดามักโดนหยิบฉวยไปใช้ตามอำเภอใจไม่เว้นแม้แต่เสื้อผ้า จนเหลือเพียงเสื้อผ้าเก่าๆเท่านั้น แม้มารดาจะมีฝีมือวรยุทธ์อยู่บ้างแต่ไม่เคยใช้ตอบโต้ เพราะคำว่ากตัญญูบ้าบอที่บิดาของนางยึดถือมาตลอดจนดูโง่เขลา ซูเม่ยนึกถึงอดีตก่อนจะส่ายหัวก่อนจะยืดตัวขึ้นอีกครั้ง
‘หากจะทำให้จูอันผู้นี้เจ็บ มีเพียงต้องทำเช่นนี้แหละ’
ซูเม่ยคว้าคอของเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังซุกอยู่ในอกมารดาของตนขึ้นมา เด็กชายร้องไห้จ้าโดยไร้เสียง จนทั้งปู่ ย่า บิดา มารดาของเด็กต่างพากันขยับตัว เพราะเด็กชายผู้นี้เป็นลูกหลานหัวแก้วหัวแหวนแตะต้องไม่ได้ น้องๆของนางมักจะโดนลงโทษโดยไร้เหตุผลเพราะเด็กคนนี้อยู่ร่ำไป เด็กสันดานชั่วเช่นนี้เก็บไว้ก็รกแผ่นดิน ขัดเกลาไม่ได้เสียแล้ว
“คอนิ่มๆ แค่ขยับนิ้วนิดเดียวก็หักละ ลูกๆหลานๆของพวกท่านช่างอ่อนแอนัก นุ่มนิ่มไปหมด คงเพราะไม่ได้ทำงานหนักเช่นข้าและน้องๆใช่หรือไม่!!!” ซูเม่ยตะโกนขึ้นมาก่อนจะหิ้วคอเด็กชายจนลอยเหนือพื้น เด็กร่างอวบอ้วนดิ้นไปมาในอากาศเล็กน้อยเพราะไร้กำลัง นางปรายตามองไปยังป้าสะใภ้ที่ตอนนี้พยายามขยับตัวมาหานางเหมือนไส้เดือนใกล้ตายไม่มีผิด น้ำหูน้ำตาหลั่งไหล ปากพะงาบกรีดร้องไร้เสียง
‘ภาพประทับใจ จนอย่างเก็บภาพไว้จริงๆ’ ซูเม่ยคิดอย่างสะใจ
