บทที่ 2 รับน้อง1
บทที่ 2 รับน้อง1
ซูเม่ยเข้าไปในมิติอีกครั้งเพื่อปรุงยา ห้องปรุงยาของนางเหมือนห้องแล็บในโลกเก่าที่มีอุปกรณ์ทันสมัยมากมาย นางใช้เวลาอยู่ในห้องปรุงโอสถถึง 2 ชั่วยาม เพื่อปรุงโอสถที่จำเป็นมากมายทั้งโอสถบำรุง รักษา หรือแม้แต่โอสถพิษหลากหลายรูปแบบ จากการทดลองปรุงโอสถโดยใช้สมุนไพรและน้ำจากทะเลสาบภายในมิติแห่งนี้ ทำให้โอสถที่นางปรุงขึ้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้น หากใช้ในการรักษาก็สามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว เช่นโอสถรักษาบาดแผล เพียงทาบางๆบนบาดแผล ไม่กี่ลมหายใจแผลนั้นก็สมานอย่างรวดเร็ว หากนางไม่ทดลองกับตัวเองคงไม่เชื่อสายตาตัวเองเป็นแน่
นอกจากปรุงโอสถแล้ว นางยังค้นพบว่ามีห้องตำราที่น่าสนใจ นางลองหยิบมาหนึ่งเล่ม เป็นตำราหมื่นพิษ จึงลองปรุงโอสถตามสูตรในตำรา พบว่าโอสถพิษช่างร้ายแรงนัก พิษที่นางปรุงขึ้นคือพิษสลายวิญญาณ เพียงหยดเดียวร่างของคนหนึ่งคนก็อาจจะสลายเหือดแห้งกลายเป็นเพียงฝุ่นผงได้เลย ซึ่งนางค่อนข้างถูกใจพิษชนิดนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่แน่นางอาจจะได้ใช้ในเร็วๆนี้
ต้นยามซวี่ (19.00-21.00)
ซูเม่ยออกจากมิติพร้อมกับชุดสีดำอำพลางกายเพื่อทำภารกิจในคืนนี้ ร่างบางเดินเข้าไปยังบริเวณบ้านตระกูลจ้าวอย่างเงียบเชียบ ด้วยเดิมเป็นมือสังหารการเก็บกลิ่นอายหรือฝีเท้านางล้วนชำนาญ แค่ชาวบ้านธรรมดาไหนเลยจะรับรู้การมาของนางได้
‘น้องๆ น่าจะอยู่ห้องเล็กใกล้ห้องครัว’ ซูเม่ยเดินเข้าไปในบ้านอย่างง่ายดายแม้จะเดินท่ามกลางความมืดก็ตาม นางเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยก่อนจะเร้นกายเข้าไปในห้องเล็กที่คาดว่าน้องๆของนางจะอาศัยอยู่ แต่เมื่อเข้าไปกลับพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
‘เสี่ยวเหวิน เจียวเอ๋อ อยู่ไหน’ นางเร้นกายหาจนทั่วบ้านจนเจอน้องๆของนางถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืน ที่ไม่มีแม้แต่เตาไฟหรือผ้าห่มให้ความอบอุ่น ในช่วงใกล้ฤดูหนาวเช่นนี้
เด็กสองคนนอนกอดกันกลมบนกองฟาง โดยใช้ก้อนฝางที่มัดเป็นแพแทนผ้าห่ม กายเล็กสั่นน้อยๆด้วยความหนาว ริมฝีปากแตกแห้ง ฟันเล็กกระทบกันเสียงดังกึกๆ
ซูเม่ยร้องไห้เงียบๆเมื่อเห็นน้องๆของตนเอง มือบางลูบหัวเด็กหญิงชายที่กำลังหลับอย่างแผ่วเบา ก่อนจะล้วงโอสถทาแก้ฟกช้ำบรรจงทาลงบนรอยช้ำทุกรอยบนร่างกายเล็กทั้งสอง ไม่นานรอยช้ำทั้งเก่าทั้งใหม่ก็เลือนหายไป ผ้าห่มผืนหนาถูกนำออกมาจากในมิติก่อนจะห่มบนร่างเล็กของเด็กทั้งสอง และนางก็เร้นกายออกไปจัดการกับบางอย่าง
ร่างบางเดินเข้าห้องใหญ่อย่างเงียบเชียบ ห้องนี้เป็นห้องของตาเฒ่ายายเฒ่าจ้าว สองสามีภรรยาใจมารที่ทำร้ายครอบครัวของนาง ขายนางและใช้งานน้องสาวน้องชายของนางเยี่ยงทาส มือบางสะบัดโปรยผงนิทรา และโอสถพิษสลายกำลังไปยังหญิงชราและชายชราที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสุขสบายภายใต้ผ้าห่มผืนหนา
‘มีความสุขเสียให้พอ ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก’ ซูเม่ยรำพึงในใจด้วยเสียงเหี้ยมเกรียมในลำคอ ก่อนจะละสายตาแห่งความมาดร้ายนั้นจากร่างชรา และลงมือค้นหาของบางอย่างที่เป็นของบิดา ของมีค่าที่นางค้นเจอทั้งปิ่น กำไล และเงินตำลึง ล้วนเป็นของบิดามารดานางที่โดนยึดเก็บไว้โดยอ้างความกตัญญูในการหยิบฉวยเอาของผู้อื่น
“ป้ายหยกอยู่ไหนกันนะ ของมีค่ามากขนาดนั้น ยายเฒ่าจ้าวต้องซ่อนไว้อย่างดีแน่” ซูเม่ยค้นหมดทั้งห้องแล้วก็ไม่เจอป้ายหยกสีดำที่บิดาเคยบอกนางเลย นางกวาดสายตาไปรอบห้องอีกครั้ง ก่อนจะมองเตียงเตาที่ร่างชราทั้งสองนอนอยู่ ก้มๆเงยๆอยู่พักหนึ่ง นางก็สังเกตเห็นอิฐบางก้อนที่ไม่เรียบสนิทเหมือนก้อนอื่น จึงลองขยับดูก็พบช่องลับจริงๆ
“อยู่นี่นี่เอง” ซูเม่ยหยิบป้ายหยกอันเล็กสีดำลวดลายแปลกตาออกมาจากช่องลับเล็กๆนั่น ก่อนจะกวาดของมีค่าทั้งหมดใส่มิติไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
เมื่อได้สิ่งที่ค้นหาจนครบ ซูเม่ยก็เร้นกายไปยังห้องต่างๆที่มีสมาชิกของตระกูลจ้าวอยู่ อาศัยเงามืดโปรยผงนิทราและโอสถพิษสลายกำลัง แล้วโยนทั้งหมดออกมากองยังโถงกลางเรือน ทั้งเด็กเล็กทั้งผู้ใหญ่ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว นางนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้ากองร่างไร้สติของสมาชิกตระกูลจ้าว ทั้งตาเฒ่า ยายเฒ่า ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้ รวมถึงบรรดาลูกพี่ลูกน้องนรกแตกของนาง
“ลืมตามารับรู้ความเจ็บปวดเสียหน่อยเป็นไง” พูดจบซูเม่ยสะบัดมือโปรยผงหักล้างผงนิทราทันที ไม่กี่ลมหายใจผู้ที่รู้สึกตัวคนแรกคือ ยายเฒ่าจ้าว
ยายเฒ่าจ้าวเมื่อเห็นตัวเองนอนอยู่บนพื้นกลางโถงใหญ่ก็ลุกขึ้นพรวดพลาดทันทีอย่างตกใจแต่ร่างกายกลับอ่อนปวกเปียกจนล้มลงไปอีกครั้ง จนทำให้ตาเฒ่าที่นอนอยู่ข้างๆรู้สึกตัวเช่นกัน ยายเฒ่าจ้าวเมื่อเห็นนางก็ทำท่าอ้าปากตวาดออกมา แต่กลับไร้เสียงแม้เพียงนิดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ ได้แต่ทำปากพะงาบอ้าๆหุบๆ ด้วยแววตาโกรธขึ้ง ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาทำร้าย จึงได้แต่ส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายเท่านั้น
ซูเม่ยที่นั่งไขว่ห้างเขี่ยเล็บตนเอง ยกขาที่ไขว่ห้างลงจ้องมองไปทางพวกกากเดนที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วทุกคน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเหยียบที่เสียดแทงถึงหัวใจคนฟังให้หวาดเกรง
“ตื่นได้แล้วกระมัง เจ้าพวกเดรัจฉานทั้งหลาย”
