บทที่ 4 ซื้อที่ดินเปลี่ยนตระกูล1
บทที่ 4 ซื้อที่ดินเปลี่ยนตระกูล1
ซูเม่ยพาทั้งหมดเข้าพักโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของตัวเมืองหยาง เมื่อส่งน้องน้อยเข้าห้องพักแล้วตัวนางและท่านลุงอันฉีก็ไปที่ว่าการเมืองเพื่อติดต่อขอซื้อที่ดินทันที
แม้ตัวนางจะไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ก็ไม่อยากที่จะทำอะไรต้องมองสีหน้าผู้อื่นอยู่ร่ำไป ที่สำคัญน้องของนางยังต้องเติบโตมีชีวิตที่ดี รวมทั้งหลินเฟยที่ไม่รู้จะมีอะไรตามมาในอนาคต ดังนั้นนางต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ด้วยการสร้างรากฐานและก่อตั้งสกุลเสียใหม่
“ท่านลุงอันฉีไม่มีอันใดจะถามข้าหรือเจ้าคะ ท่านยินดีติดตามข้าโดยไม่มีข้อสงสัยอันใดเลยหรือ” ซูเม่ยเอ่ยถามหูอันฉีขณะกำลังนั่งรอเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในห้องรับรองที่ว่าการเมืองหยาง
“บางทีคนเรามักมีเรื่องที่ไม่อาจเอ่ย ข้าน้อยย่อมเข้าใจดี” หูอันฉีได้ยินแบบนั้นก็ตอบตามตรงทันที ไม่ว่าใครย่อมมีความลับ แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม
ซูเม่ยได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าน้อยๆอย่างพอใจในคำตอบของชายที่นั่งเบื้องหน้าของนาง นางต้องการคนที่พร้อมจะทำตามโดยไม่ต้องขอเหตุผล เชื่อโดยไม่ต้องตริตรอง
“ตัวข้าไม่ได้แซ่ซูและข้าก็ไม่มีแซ่ไม่มีตระกูล เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่โชคร้ายบิดามารดาหายตัวไป จนโดนญาติชั่วๆจับตัวไปขายหอนางโลม ท่านลุงทราบเช่นนี้ยังจะติดตามข้าหรือไม่”
‘เจ้าพวกบัดซบนั่นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ’ หูอันฉีกัดฟันกรอดเมื่อฟังสิ่งที่หญิงสาวคราวลูกตรงหน้าเล่าเรื่องของตนเองให้ฟัง
หูอันฉีฟังที่เด็กสาวเบื้องหน้าที่เล่าเรื่องสลดของตนเองด้วยใบหน้าเรียบเฉย มุมปากบางเยาะหยันชะตาชีวิตของตนและครอบครัว แต่ไม่มีความเศร้าสลดในแววตาคู่นั้น มีเพียงความมุ่งมั่นพร้อมจะฝ่าทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคโดยไม่ย่อท้อ
ซูเม่ยมองสบตาของชายตรงหน้าที่ไม่แม้จะหลบสายตานางและไม่มีแววตาของการดูถูก เหยียดหยาม หรือรังเกียจ นางก็เอ่ยปากพูดต่อ
“แต่ก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง วันหนึ่งข้าสิ้นสติจนคนคิดว่า...ข้าได้ตายไปแล้ว ตัวข้าจึงถูกนำไปทิ้งในป่า พอฟื้นสติขึ้นมาก็กลับพบเจอขุมทรัพย์ ขุมทรัพย์ที่ทำให้ข้าได้น้องทั้งสองกลับคืนมาและจะไม่ได้พบพวกญาติชั่วช้าอีกตลอดกาล” นางเปลี่ยนอิริยาบถอย่างผ่อนคลายเหมือนกำลังเล่านิทานที่กำลังจะถึงตอนจบที่สวยงามก็มิปาน
“ข้าน้อยยินดีติดตามแม่นางโดยไม่มีข้อกังขาใดขอรับ” หูอันฉีเอ่ยตอบด้วยความแน่วแน่ สบตาซูเม่ยโดยไม่หลบแม้แต่น้อย
ซูเม่ยเลือกซื้อที่ดินติดชานเมืองที่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน ด้านหลังเป็นเขตชายป่าเขาอินซานที่ขึ้นชื่อเรื่องสัตว์ดุร้าย จึงไม่เคยมีใครย่างกรายเข้าไปแม้แต่คนเดียว จึงทำให้ที่ดินแถบนั้นถูกแสนถูก ตกหมู่ละ 2 ตำลึงเงินเท่านั้น นางจึงกว้านซื้อมานับ 2,000 หมู่ ( 833 ไร่) เลยทีเดียว
หลังจากเสร็จเรื่องที่ดิน นางก็ทำการตั้งสกุลเสียใหม่โดยใช้แซ่ ‘ตวนมู่’ พร้อมระบุผังตระกูลทันที โดยมีท่านพ่อ ‘ตวนมู่ลี่หยาง’ ท่านแม่ ‘อู๋เย่วจวน’ เป็นหัวหน้าตระกูลและฮูหยิน ซึ่งการตั้งสกุลไม่มีเรื่องยุ่งยากใดเนื่องจากสกุลตวนมู่ยังไม่เคยมีมาก่อนจึงสามารถใช้ได้เลย
“ยินดีด้วยขอรับ คุณหนูตวนมู่ซูเม่ย”
“ฮ่า ฮ่า ฮา ท่านลุงอันฉีล้อข้าเสียแล้ว”เมื่อออกจากที่ว่าการเมืองหยาง หูอันฉีก็ทำท่าทางคารวะซูเม่ยด้วยชื่อแซ่ใหม่ทันทีด้วยท่าทีหยอกล้อ พร้อมทั้งเปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ เนื่องจากตอนนี้ตระกูลตวนมู่มีนายท่านและฮูหยินเสียแล้ว หากนับกันตามลำดับซูเม่ยคือคุณหนูใหญ่นั่นเอง
“หามิได้ขอรับคุณหนูใหญ่”
“เอาล่ะๆ ข้าไม่เล่นกับท่านลุงแล้ว ต่อไปต้องไปหาช่างสร้างจวนสินะเจ้าคะ” ซูเม่ยเมื่อหยอกล้อกับหูอันฉีพอหอมปากหอมคอ ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าน้อยมาที่เมืองหยางไม่กี่ครั้งแต่ก็พอรู้จักคนอยู่บ้าง น่าจะพอสอบถามหาช่างฝีมือดีได้ คุณหนูใหญ่รอที่ร้านน้ำชาสักครู่เถิดข้าจะไปสอบถามจากคนรู้จักมาให้ขอรับ”
“งั้นดีเลยเจ้าค่ะท่านลุง หากเป็นคนพื้นที่น่าจะให้คำแนะนำที่ดีได้”
หลังจากแยกย้ายกันหน้าที่ว่าการซูเม่ยก็เดินเข้าร้านน้ำชา สั่งขนม 2-3 อย่างกับน้ำชาอย่างดี 1 กา ขณะนั่งชมวิวจากชั้นสองของร้านนางก็รู้สึกถึงสายตาคมปราบที่มองมา จึงหันไปมองช้าๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ ราวกับมองบรรยากาศในร้านน้ำชาเท่านั้น ก็พบกับชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งที่แผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นออกมา รอบกายของชายผู้นั้นมีชายฉกรรจ์ล้อมรอบถึง 4 คน
‘พวกอวดเบ่งบารมีละสิไม่ว่า ทำหน้าตาเคร่งขรึม รูปงามเสียเปล่าทำตัวไม่น่าเข้าใกล้’ ซูเม่ยร้องหึในลำคอก่อนจะค่อนขอดบุรุษทำท่าวางก้ามใหญ่โต จนไม่มีคนกล้านั่งโต๊ะข้างๆ ก่อนจะไม่สนใจนั่งจิบชากินขนมต่อไป หากไม่มาหาเรื่องนางก็แล้วไปเถอะ ถ้าเป็นยุคโน้นมองขนาดนี้มีลุกตบกันแล้วนะ
ส่วนบุรุษที่ซูเม่ยนึกค่อนขอดก็ยังจ้องมองไม่วางตา ‘โอวหยางหนิงเฉิง’ รู้สึกคุ้นหน้าสตรีที่เขากำลังมองอยู่ไม่น้อย ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้นเป็นเช่นไรไม่อาจรู้ แต่แววตากลับทำให้เขาคุ้นเคย ซึ่งสตรีที่เคยใกล้ชิดนับนิ้วแค่มือข้างเดียวยังไม่หมดแต่กลับนึกไม่ออกเสียอย่างนั้น
“เฟยหรงไปสืบประวัติสตรีผู้นั้นมา”
“ขอรับคุณชาย”
