บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 เดินทาง3

บทที่ 3 เดินทาง3

เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง

“หยู้ดดดดดด” หูอันฉีส่งสัญญาณมือให้ขบวนเดินทางหยุดก่อน เขาเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังอยู่เบื้องหน้าก่อนจะหน้าขรึมขึ้นเล็กน้อย

“แม่นางซูด้านหน้าราว 1 ลี้มีการต่อสู้ พวกเราควรเปลี่ยนเส้นทาง” หูอันฉีกล่าวขึ้นเมื่อเห็นซูเม่ยเปิดหน้าต่างรถม้าออกมาดูเหตุการณ์ภายนอก

“เลี่ยงเถิดท่านลุงอันฉี คนของเรามีน้อยอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยง” ซูเม่ยเอ่ยตอบรับทันที

หูอันฉีส่งสัญญาณมือให้กับลูกน้องก่อนจะเบี่ยงรถม้าออกนอกเส้นทางสายหลักเพื่ออ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง แต่ไม่ทันพ้นเส้นทางหลักเสียงฝีเท้าคนและฝีเท้าม้าก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งไม่อาจหลบได้ทันเสียแล้ว

‘บัดซบเอ้ย ทำไมต้องวิ่งมาทางพวกนางกัน น่าตายนัก’ ซูเม่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความหงุดหงิด

“พี่ใหญ่ขอรับเกิดอันใดขึ้น” ซูเหวินงัวเงียตื่นขึ้นมาจากนอนกลางวันเอ่ยถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากข้างนอก

“ไม่มีอันใดมากหรอก แค่คนทะเลาะกันบนถนนเท่านั้น เจ้านอนกับเจียวเอ๋อต่อเถอะเดี๋ยวพี่ใหญ่จะลงไปดูข้างนอกเสียหน่อย เป็นเด็กดีรอพี่อยู่บนนี้นะพี่จะรีบกลับมา” ซูเม่ยกล่าวตอบน้องชายที่ยังไม่ตื่นเต็มตา นางลูบหัวน้องชายเบาๆ ก่อนจะจับตัวเด็กชายลงนอนต่อข้างๆน้องสาว และเอ่ยสำทับอีกหลายคำ เมื่อเห็นน้องชายหลับตาพริ้มต่อนางก็เดินลงมาจากรถม้าทันที

หูอันฉีที่ต่อสู้พัลวันอยู่กับชายชุดดำอย่างดุดัน ครานี้ค่อนข้างตึงมือมิน้อยสำหรับเขา ดูท่าชายชุดดำพวกนี้คงเป็นนักฆ่ารับจ้างเสียมากกว่าจะเป็นโจร ดูจากการต่อสู้ที่เน้นฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าทำให้เขาพอจะเดาอะไรบางอย่างออก

ซูเม่ยเมื่ออกจากรถม้ามาก็เห็นฉากต่อสู้ดุเดือดตรงหน้าก็หวาดหวั่นเล็กน้อย แค่ตัวนางคงมิเป็นอันใดแต่เด็กน้อยที่นอนหลับอยู่บนรถม้าจะเป็นอันตรายไม่ได้เด็ดขาด นางกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมกอดสตรีนางหนึ่งซึ่งคงเป็นต้นเหตุของนักฆ่าเหล่านี้ นางที่ไม่อาจเห็นคนคุ้มกันต้องมาล้มตาย จึงพุ่งเข้าวงล้อมสังหารตรงหน้าทันที

‘ได้ทดลองใช้วรยุทธ์เสียที หวังว่าวรยุทธ์ผสมกับทักษะการต่อสู้สมัยใหม่จะไม่แปลกไปสำหรับคนที่นี่’

ร่างบางของสตรีที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งที่จู่ๆก็ปรากฏกายท่ามกลางคมกระบี่คมดาบ พาให้การต่อสู้ชะงักงันไปเสี้ยวอึดใจ นักฆ่าเมื่อเห็นผู้มาใหม่ก็พุ่งเข้าใส่หมายสังหารคนที่ขัดขวางงานของพวกมันทันที

ซูเม่ยชักกระบี่อ่อนบางเฉียบก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักฆ่าที่ประเดประดังกันเข้ามาหานางประหนึ่งเห็นเหยื่อที่อ่อนแอ แต่กลับต้องทิ้งลมหายใจไปอย่างง่ายดาย นางหมุนตัวลบเลี่ยงเร้นกายรวดเร็วปาดคอนักฆ่าคนแล้วคนเล่าร่วงกราวราวใบไม้

“แม่นางซู ระวัง!!!!” เสียงเอ่ยเตือนจากท่านลุงอันฉี ทำให้ซูเม่ยเบี่ยงกายหลบคมกระบี่ที่พุ่งมาจากด้านหลังได้ทันท่วงที กายบางหมุนคว้างกลางอากาศก่อนจะตวัดปลายกระบี่บางเข้าใส่หมาที่ลอบกัดตัวนั้น หยดเลือดซ่านกระเซ็นย้อมสีอาภรณ์ขาวจนแดงฉาน แต่ร่างบางก็ไม่สนใจยังคงต่อสู้กับนักฆ่าจนคนสุดท้ายถูกปลิดชีพด้วยดาบใหญ่ของท่านลุงอันฉี

เมื่อการต่อสู้จบลงซูเม่ยก็วิ่งกลับไปยังรถม้า ก่อนจะโล่งใจเมื่อน้องน้อยของนางยังคงนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

“หัวหน้าหู ลู่คงบาดเจ็บสาหัสขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารายงานหูอันฉี เมื่อเพื่อนของเขาโดนดาบฟันเข้าจนเป็นแผลลึกยาวเลือดไม่ยอมหยุดไหล

หูอันฉีเมื่อได้ฟังก็ไปดูลูกน้องของตนทันที ซูเม่ยที่บังเอิญได้ยินเข้าตอนที่กำลังเปิดประตูรถม้าลงมาก็รีบเดินตามไปเช่นกัน

“ท่านลุงอันฉีแบกเขาไปที่รถม้าขนของ คนที่เหลือเร่งเอาของลงข้าต้องการใช้พื้นที่ในการรักษาท่านอาลู่คง”

ทุกคนแม้บาดเจ็บแต่ก็พยายามเพื่อช่วยสหายที่บาดเจ็บมากกว่า แม้จะไม่เห็นทางรอดของสหายเลยก็ตาม แต่หากเป็นแม่นางซูไม่แน่ลู่คงอาจจะ...พอมีหนทาง

“ท่านลุงอันฉีระหว่างที่ข้ากำลังรักษาห้ามใครเข้ามา และฝากท่านลุงไปดูเด็กน้อยคนนั้นกับสตรีผู้นั้นด้วย”

ซูเม่ยสั่งความก่อนจะผลุบหายไปในรถม้าที่มีร่างกายบาดเจ็บของท่านอาลู่คงอยู่ นางแอบเปลี่ยนชุดในมิติก่อนจะเรียกอุปกรณ์ผ่าตัดต่างๆออกมาจากห้องแล็บในมิติเช่นกัน ก่อนจะลงมือรักษาบาดแผลฉกรรจ์ที่โดนดาบฟันเข้าที่หน้าท้องจนเห็นอวัยวะภายในของท่านอาผู้นี้

ราว 1 ชั่วยาม ซูเม่ยก็ออกจากรถม้า ร่างบางเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดในมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นซับหยาดเหงื่อบนหน้าผากนูนอย่างช้าๆ

“ลู่คงเป็นเช่นไรบ้างขอรับ แม่นางซู” ชายผู้เป็นสหายของท่านอาลู่คงหากจำไม่ผิด น่าจะชื่อเหวินชาง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงสหาย

“ตอนนี้ท่านอาลู่คงปลอดภัยแล้ว แต่คงต้องพักสักหลายวันหน่อย หากท่านเป็นห่วงก็ขึ้นไปดูเถิด” ว่าแล้วซูเม่ยก็หมุนตัวจากไปทันที

‘ยามนี้ น้องๆของนางคงจะตื่นแล้ว’

“พี่ใหญ่เจ้าขา น้องสาวน่ารักมากเลยเจ้าค่ะ” ซูเจียวที่กำลังป้อนขนมให้เด็กน้อยอายุราว 3 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพี่สาวเดินตรงมา

ซูเหวินก็มองไปทางพี่สาวเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าพี่สาวไม่มีบาดแผลก็ลดความกังวลลง เขาทราบตั้งแต่พี่สาวลงจากรถม้าแต่แสร้งทำเป็นหลับ เพราะไม่อยากให้พี่สาวต้องพะวักพะวงตัวเขาและเจียวเอ๋อ

“เจียวเอ๋อเก่งมากเลย ดูแลน้องสาวได้แล้ว” ซูเม่ยเดินเข้าไปก่อนจะลูบหัวน้องน้อยอย่างเอ็นดู ซูเจียวเชิ่ดหน้าขึ้นด้วยความภูมิใจที่พี่สาวเอ่ยชมตน

ซูเม่ยมองไปยังเด็กน้อยก็ให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคยใบหน้าเช่นนี้ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เด็กน้อยไร้เดียงสาเมื่อเห็นพี่สาวคนสวยกำลังมองมาก็ฉีกยิ้มทันที ก่อนจะส่งเสียงแจ้วๆออกมา

“พี่สาว พี่สาว”

“น้องสาวไม่ดื้อเลย เจียวเอ๋อขอพาน้องสาวไปกับเราด้วยได้มั้ยเจ้าคะ” ซูเจียวเริ่มใช้พลังออดอ้อนอีกครั้ง

“ท่านลุงอันฉี แล้ว....” สตรีนางนั้น ซูเม่ยไม่ทันได้พูดจบ ก็เห็นปฏิกิริยาการส่วยหัวของท่านลุงอันฉีก็ทราบแล้วว่า นางคงจากไปแล้วอย่างไม่อาจหวนคืน ดังนั้นขบวนเดินทางของนางก็มีเด็กน้อย 1 คน เพิ่มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ภายหลังจึงรู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นมีชื่อว่า หลินเฟย จากป้ายหยกที่ซุกอยู่ในอกเสื้อของเจ้าตัวน้อย ดูก็รู้ว่าเป็นทายาทผู้สูงศักดิ์สักคนหนึ่ง

‘ป้ายหยกกับเด็กหายมักเป็นของคู่กันจริงๆ’ แต่ป้ายหยกแบบนี้นางก็แอบคุ้นอยู่นะ เก็บไว้ก่อนแล้วกัน เรื่องป้ายหยกนางยังไม่บอกใคร คนอื่นๆจึงทราบเพียงว่านางตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่าหลินเฟยเท่านั้น

ขบวนเดินทางที่แสนยาวนานสิ้นสุดลงเมื่อถึงจุดหมายปลายทางเมืองหยาง บรรดาผู้คุ้มกันต่างพากันไปรายงานตัวที่สำนักคุ้มภัยเมืองหยาง และแจ้งเรื่องราวการเดินทาง อุบัติเหตุ เหตุการณ์ร้าย และผู้เสียชีวิต ในส่วนของซูเม่ยเอง นางได้ให้ค่าตอบแทนเพิ่มเติมแก่ผู้คุ้มกันทั้งหมด ค่ารักษา ค่าเสี่ยงชีวิต และค่าชดเชย เป็นจำนวนเงินหลายตำลึงทอง

ลู่คงที่บาดเจ็บสาหัสครานั้น หลังจากรักษาได้ 1 อาทิตย์ก็หายเป็นปลิดทิ้งจนออกจากรถม้ามาขี่ม้าได้ดังเดิม

ก่อนหน้าจะถึงเมืองหยาง ซูเม่ยได้สอบถามความสมัครใจผู้ที่จะร่วมติดตามนาง ปรากฏว่าคนที่พร้อมจะติดตามนางทันทีมีเพียงท่านลุงอันฉี ท่านอาลู่คง และท่านอาเหวินชางเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือยังมีครอบครัวอยู่ที่เมืองเจียงจึงไม่สามารถให้คำตอบได้ทันที ซึ่งนางเองก็เข้าใจ

เมื่อทุกคนต่างแยกย้ายกลุ่มของซูเม่ยที่นอกจากเด็กๆแล้วก็มีท่านลุงท่านอาเพิ่มมาถึง 3 คน ก็เดินเท้าเข้าเมืองหาที่พักพิงในช่วงแรกของการเริ่มต้นชีวิตใหม่

“เอาล่ะทุกคน ไปเปิดโรงเตี๊ยมกัน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel