บทที่ 3 เดินทาง2
บทที่ 3 เดินทาง2
‘โจรกระจอก’
หูอันฉีไม่พูดพร่ำทำเพลงกับพวกโจร เขาเปิดฉากขว้างดาบออกไป ดาบที่ถูกขว้างออกไปอย่างรวดเร็วตัดคออาลู่จนขาด หัวของมันกลิ้งลงมาจากคอโดยที่ไม่ทันตั้งตัวดวงตาทั้งสองข้างยังเบิกโพลง หูอันฉีมีสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือ ‘คนทรยศ’
หน่วยคุ้มกันจากสำนักคุ้มภัยและเหล่าโจรป่าเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดหลังจากที่หูอันฉีเปิดฉากบั่นคอคน เขาเข้าต่อสู้กับหัวหน้าโจรที่ดูจะมีฝีมืออยู่บ้าง ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายกำชัย มือแกร่งของชายวัยกลางคนหิ้วหัวของหัวหน้าโจรก่อนจะขว้างทิ้งลงบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดของพวกกากเดนแผ่นดิน
เสียงดาบดังอยู่ราว 2 เค่อ ก็หยุดลง ซูเม่ยที่นั่งรออยู่บนรถม้าคอยปิดหูน้องๆ กลัวเสียงข้างนอกจะทำให้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาแล้วหวาดกลัว เมื่อสิ้นเสียงดาบนางก็เปิดประตูรถม้าลงมา ภาพที่เห็นเป็นไปตามคาดการณ์ของนาง โจรทั้งหมดกลายเป็นศพ เพราะนางรู้ว่าหูอันฉีผู้นั้นไม่ธรรมดา
หูอันฉีได้ยินเสียงเปิดประตูรถม้าก็หันไปมอง จึงเห็นแม่นางน้อยผู้นั้นนอกจากจะไม่หวาดกลัวแล้ว ยังสงบเยือกเย็นราวกับกำลังมองสิ่งของในตลาดไม่ใช่ศพเสียอย่างนั้น
‘น่าสนใจจริงๆ’
“คนของเราเสียชีวิตไป 3 คนขอรับ ถ้ารวมคนทรยศก็ 4 คน ส่วนที่เหลือบาดเจ็บเล็กน้อย” ซูเม่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ นางอยู่ในรถม้าแต่ก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด อาลู่ชายวัยกลางคนร่างผอมบางผู้นั้นเป็นสายข่าวให้กับกลุ่มโจรป่าและถูกชายที่ยืนรายงานตรงหน้านางตัดคอไปเสียแล้ว
“ตามระเบียบแล้ว สำนักคุ้มภัยจะทำอย่างไรกับคนที่เสียชีวิตระหว่างทางเจ้าคะ” ซูเม่ยเอ่ยถามอย่างอยากรู้ นางคิดจะตอบแทนพวกเขาเหล่านั้น ทั้งที่สามารถหนีไปได้ แต่กลับยอมสู้จนตัวตายนับว่าซื่อสัตย์ในหน้าที่ไม่น้อย ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทหารในสนามรบ
“เผาศพทันทีที่เสียชีวิต และสำนักคุ้มภัยจะจ่ายเงินชดเชยให้ครอบครัวพวกเขาคนละ 50 ตำลึงเงินขอรับ”
“งั้นก็เผาศพพวกเขาเถิด ข้าจะชดเชยให้พวกเขาอีกคนละ 5 ตำลึงทอง ส่วนคนที่บาดเจ็บคนละ 1 ตำลึงทอง ” ซูเม่ยยื่นถุงตำลึงทองให้หัวหน้าหูไปจัดสรรให้กับลูกน้องด้วยตนเอง
“ข้าขอเป็นตัวแทนลูกน้องทั้งหมด คารวะขอบคุณแม่นางซู” หูอันฉีค้อมศีรษะเล็กน้อยให้กับเด็กสาวตรงหน้าที่ใส่ใจและให้เกียรติไม่รังเกียจคนที่มีฐานะแตกต่าง
“ทุกคนสมควรได้รับแล้ว หัวหน้าหูรอสักครู่ข้ามีโอสถสมานแผล และแก้ฟกช้ำติดมาเล็กน้อยเอาไปแจกจ่ายผู้คุ้มกันที่บาดเจ็บเถิด” ซูเม่ยกวาดสายตามองผู้คุมกันที่บาดเจ็บ ส่วนใหญ่จะมีบาดแผลจากคมกระบี่คมดาบ และรอยฟกช้ำ จึงกลับเข้าไปในรถม้า แสร้งว่าหยิบของออกมาจากในรถม้าแต่แท้ที่จริงแล้วเอาออกมาจากในมิติก่อนจะมอบให้หัวหน้าหูนำไปแจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง
หลังจากที่ใช้โอสถของแม่นางซูผู้ว่าจ้าง บาดแผลทั้งหมดของผู้บาดเจ็บรวมทั้งหูอันฉีก็หายไปไม่เหลือร่องรอยของอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย จนทำให้ป่าที่ว่าเงียบยิ่งเงียบเสียยิ่งกว่าเดิม ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน โดยเฉพาะหูอันฉี
‘แม่นางซูเม่ยผู้นี้ เป็นใครกันแน่ หรือจะเป็นลูกศิษย์หมอเทวดามู่ผู้ลึกลับ’
ซูเม่ยมอบโอสถออกเป็นเพราะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว การซื้อใจคนให้พวกเขาเชื่อใจและให้ความเคารพต้องหยิบยื่นยามลำบากอ่อนแอและให้ในสิ่งที่ทำให้พวกเขามองนางสูงส่งขึ้น นางไม่คาดหวังว่าคนทั้งหมดติดตามนาง แต่หวังอันฉีผู้นั้น นางสนใจยิ่งนัก
‘มีคนมีฝีมือไว้ใกล้ตัวย่อมอุ่นใจ’
เดินทางมาราวครึ่งเดือน จากขบวนทางผู้คุ้มกัน 10 คน ตอนนี้เหลือเพียง 6 คนเท่านั้น แต่หลังจากเหตุการณ์คืนแรกของการเดินทางตลอดครึ่งเดือนมานี้ก็ไม่เจอเหตุการณ์ร้ายใดอีกเลย การเดินทางราบรื่นเงียบสงบ แม้ช่วงแรกน้องๆของซูเม่ยจะถามบ้างว่า ผู้คุมกันบางคนนั้นหายไปไหน นางก็จำใจต้องโกหกว่า พวกเขาเหล่านั้นโดนเรียกตัวกลับไปเนื่องจากมีงานเร่งด่วนเข้ามา
ครึ่งเดือนมานี้พวกเด็กๆสนิทกับผู้คุ้มกันมากขึ้น พอเดินทางผ่านเมืองใหญ่ๆ มักพากันออกไปเที่ยวเล่น โดยเฉพาะท่านลุงอันฉี ที่ดูจะเอ็นดูน้องชายของนางเป็นพิเศษ ถึงขนาดช่วยสอนน้องชายของนางขี่ม้าแล้ว
“สนุกหรือไม่เสี่ยวเหวิน” ซูเม่ยเปิดหน้าต่างรถม้า ก่อนจะถามน้องชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับท่านลุงอันฉี
“สนุกขอรับพี่ใหญ่ ข้าชอบขี่ม้า” ซูเหวินกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างชอบใจ เขารู้สึกถึงอิสระเวลาได้นั่งบนหลังม้า อิสระ องอาจ น่าเกรงขาม เหมือนทหารในสนามรบ
“พี่ใหญ่ เจียวเอ๋ออยากขี่บ้างเจ้าค่ะ” ซูเจียวที่เห็นพี่ชายได้ออกไปนั่งข้างนอกก็อยากออกไปบ้าง นางอยู่ในรถม้ามาครึ่งเดือนรู้สึกเบื่อมากๆจริงๆ
ดวงตากลมโตสบสายตากับพี่สาวก่อนจะออดอ้อนด้วยการกระพริบตาถี่ๆ แก้มพองกลมอย่างน่ารัก จนซูเม่ยอดใจไม่ไหวดึงแก้มกลมๆนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว
“พี่ใหญ่อ่ะ รังแกแก้มเจียวเอ๋ออีกแล้ว” แก้มที่กลมอยู่แล้ว ยิ่งพองมากขึ้น จนใกล้จะแตกแล้ว
“ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า / ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า /ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
สุดท้ายซูเจียวก็ได้ออกมายิ้มร่านั่งบนหลังม้าอีกคน แต่ไม่นานนักก็บ่นเจ็บก้น จนต้องจรลีกลับขึ้นมานั่งบนรถม้านอนคว่ำหน้าให้พี่สาวทายาตรงส่วนที่ระบมเขียวช้ำ สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนในขบวนเดินทางอีกครั้ง
ในทุกๆคืนยามน้องทั้งสองหลับใหล ซูเม่ยมักจะลอบเข้าไปในมิติเพื่อฝึกฝนการต่อสู้แบบกำลังภายในที่เรียกว่าวรยุทธ์อยู่เสมอ ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะพรสวรรค์หรือสิ่งที่ท่านเทพบันดาลให้การฝึกฝนของนางจึงสำเร็จได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าใด
