ตอนที่ 15 นางเป็นสตรีคนแรกที่เดินหมากชนะข้าได้
ภายในรถม้าของสำนักวารีหยก ลี่หยางและซูเชี่ยวนั่งเงียบมาตลอดทางโดยที่ไม่มีเสียงพูดคุยกัน ทั้งสองนั่งฝั่งตรงข้ามกัน ลี่หยางแอบลอบสังเกตซูเชี่ยวที่นั่งเงียบตลอดทาง ไม่มีเรื่องชวนคุยกับเขาเหมือนเมื่อก่อนอย่างที่เคยเป็น ทำให้เขารู้สึกอดแปลกใจไม่ได้ ส่วนทางด้านซูเชี่ยวที่เห็นชายหนุ่มเพียงนั่งหลับตานิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จาชวนทำให้บรรยากาศภายในรถม้ารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง นางแสร้งเปิดหน้าต่างมองออกไปข้างนอกเพื่อดูวิถีชีวิตของคนข้างนอก และแล้วความอดทนของหญิงสาวก็สิ้นสุดลงเมื่อรถม้าทั้ง 2 คันเคลื่อนที่มาจอดอยู่บริเวณที่หน้าตลาด
ลี่หยางให้ซูเชี่ยวออกจากรถม้าก่อนอย่างสุภาพบุรุษ ทันทีที่นางออกมาก็เห็นเย่วซือยืนอยู่ด้านหน้าและส่งมือมารับหญิงสาว ซูเชี่ยวเพียงยิ้มให้เล็กน้อยและจับที่มือของเย่วซือลงจากรถม้า ลี่หยางที่เห็นแบบนั้นก็ชักสีหน้าเล็กน้อยและกลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ซูเชี่ยวมองบรรยากาศของตลาดที่ตกแต่งไปด้วยโคมไฟมากมายก็อดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่ได้ จนยิ้มกว้างออกมาด้วยความสุขถึงแม้ช่วงนี้จะเป็นปลายยามเหม่า โคมไฟที่จุดตกแต่งยังไม่สว่างเต็มที่แต่ก็ทำให้สวยงามแปลกตาไปอีกแบบ ลี่หยางและเย่วซือที่เห็นซูเชี่ยวยิ้มอย่างมีความสุขก็ต่างพากันมองดูความเคลิบเคลิ้ม วันนี้หญิงสาวสวมชุดสีม่วงอ่อนและคลุมด้วยผ้าคลุมขนสัตว์สีขาว ยิ่งให้ซูเชี่ยวดูสวยน่าทะนุถนอม แต่ทั้งสองหนุ่มก็ต้องมองไปทางอื่นเมื่อซูเชี่ยวหันหน้ามา ลี่หยางเพียงส่งเสียงไอในลำคอหนึ่งครั้งและส่งสายตาเป็นเชิงให้นางมายืนที่ด้านหลังเขา ซูเชี่ยวทำได้เพียงเดินไปยืนที่หลังของชายหนุ่ม
ทั้ง 3 เลือกโรงเตี๊ยมเพื่อนั่งพักหาอะไรทานรอการจุดพลุดอกไม้ไฟ และการเเสดงการตกแต่งโคมไฟบนเรือกลางแม่น้ำในช่วงยามเฉิน
“ว้าวพวกเจ้าดูบุรุษ 2 ท่านนั้นสิสง่างามมาก” หญิงสาวที่เดินผ่านไปผ่านมาพูดขึ้น
“นั้นน่ะสิ หล่อมากจริงๆ” เสียงนี้เกิดขึ้นตลอดทางที่พวกเขาย่างกรายไปไม่ว่าที่ใดก็ตาม วันนี้ลี่หยางเจ้าสำนักวารีหยกสวมชุดสีดำตัดกับสีผิวขาวของเขา และคลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีดำยาว บวกหน้าตาของเขาที่คมคายและหน้าตาที่นิ่งสงบ คนที่พบเห็นต่างรู้สึกใจหยุดเต้นขณะที่มอง ส่วนเย่วซือเจ้าสำนักเพลิงอัคคีด้วยรูปร่างหน้าตาสีผมเขาที่เป็นเอกลักษณ์ เขาสวมชุดสีขาวและทับด้วยเสื้อคลุมสีขาว บวกกับความขี้เล่นและรอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่หน้าเขาตลอดเวลาชวนให้คนที่ได้เห็น ต่างรู้สึกอบอุ่นหัวใจหากได้มอง ยามชายหนุ่มสองคนเดินด้วยกันทำให้ทุกคนต่างมองอย่างเหม่อลอย ชูเชี่ยวได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับผู้คนเหล่านั้น และเดินตามด้านหลังของพวกเขา 2 คน
“แม่นางเป็นคนรับใช้ของคุณชายชุดดำใช่หรือไม่ ข้าฝากนี้ให้เขาด้วยนะ” คุณหนูนางหนึ่งที่เดินตามมาตลอดพูดขึ้นและส่งผ้าเช็ดหน้าของนางที่ปักด้วยรูปดอกไม้ และมีชื่อของตนปักติดไว้
“ข้าก็ฝากผ้าเช็ดหน้าชิ้นนี้ให้คุณชายชุดขาวเช่นกัน ข้าด้วย ข้าก็ด้วย ข้าฝากด้วย” เสียงของหญิงสาวหลายคนต่างพากันทำตามคุณหนูคนแรกจนหญิงสาวต้องหอบผ้าเช็ดหน้า 30 กว่าผืนเดินเข้าโรงเตี๊ยม ทั้ง3หาที่นั่งเงียบๆ ริมแม่น้ำเพื่อรอเวลา
“นี่ของพวกท่าน” ซูเชี่ยววางผ้าเช็ดหน้าทั้งหมดที่มีคนฝากมาตลอดทางเดินที่มาโรงเตี๊ยมแห่งนี้ลงบนโต๊ะ แล้วถอนหายใจอะไรกันคนพวกนั้นเห็นผู้ชายหน้าตาดีหน่อยไม่ได้ ไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาซะเลย ผู้หญิงที่นี่มันอย่างไรกันวันนี้นางออกจะเเต่งตัวสวยขนาดนี้ อะไรทำให้พวกนางเหล่านั้นคิดว่าข้าเป็นคนรับใช้กัน นางได้แต่บ่นในใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ลี่หยางเพียงทำหน้านิ่งและส่ายหน้าเบาๆ ส่วนเย่วชือหัวเราะออกมาอย่างชอบใจที่เห็นซูเชี่ยวทำหน้าอย่างไม่พอใจ
“เอาล่ะขอโทษเจ้าด้วย วันนี้ตอนแรกเจ้าว่าจะเลี้ยงเพื่อเป็นการขอบคุณเปลี่ยนเป็นข้าเลี้ยงเพื่อเป็นการขออภัยเรื่องเมื่อสักครู่แล้วกัน” เย่วซือพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและสั่งอาหารมา 7-8 อย่างและสุราชั้นดีมา พนักงานในโรงเตี๊ยมยกสุราและชามาเสิร์ฟก่อน อาหารยังไม่เสร็จเพราะวันนี้ลูกค้าในร้านเยอะเนื่องจากเป็นวันเทศกาล ทำให้ทุกคนต่างพากันออกมาเดินเที่ยวชมกัน ลี่หยางและเย่วซือทั้งสองพากันเล่นหมากกระดานระหว่างรออาหาร
“เอาหน่อยไหมสาวน้อย” เย่วซือยกจอกสุราขึ้นรินให้ตัวเองและ ลี่หยางพลางหันมาถามหญิงสาว ซูเชี่ยวส่ายหน้าปฏิเสธเพราะวันนี้นางไม่อยากเมาเมื่ออยู่ใกล้ตัวอันตรายที่นางอยู่ทีไรต้องมีเรื่องตลอด และเย่วซือที่ยังไม่รู้พื้นเพเขาดีสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าหญิงสาวอยากที่จะดื่มมากก็ตาม เพราะโลกเก่านางกับเพื่อนสนิทมักซื้อมาดื่มด้วยกันที่ห้องอยู่บ่อยๆ ซูเชี่ยวทำได้เพียงหักห้ามใจตัวเองและคิดว่าเอาไว้ค่อยหาโอกาสพาเจียอี่ออกมาดื่มเล่นกันตอนวันหยุดครั้งหน้าแล้วกัน แต่เย่วซือกลับเทเหล้าไปที่ถ้วยของซูเชี่ยวเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะปฏิเสธ "ถ้าจะทำแบบนี้แล้วจะถามนางเพื่อ?" นางเพียงด่าเขาในใจ
“นานๆ ได้ออกมาเที่ยวเอาสักหน่อย ให้สนุกเป็นพอเจ้าสำนักวารีหยกคงไม่ว่าอันใดหรอก” เย่วซือพูดพลางหันไปถามลี่หยาง ซูเชี่ยวลอบมองลี่หยางเจ้าสำนักวารีหยกที่ตอนนี้เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มและหันหน้าไปดูวิวทางแม่น้ำ ซูเชี่ยวจึงยกสุราขึ้นดื่ม เอิ่มสุราดี นางมองถ้วยสุราที่ยกดื่มไปด้วยรอยยิ้ม สุรานี้รสชาติเยี่ยมมากหอม หวาน ฝาดกำลังดี รสชาติดีกว่าที่นางเคยลองเมื่อโลกเก่าซะอีก
“เห็นไหมข้าว่าแล้วรสชาติดี แต่กินเยอะไม่ดี กินพอให้วันนี้เราเที่ยวสนุกก็พอเจ้าว่าไหม” เย่วซือพูดพลางเทสุราลงบนถ้วยของลี่หยางและซูเชี่ยว ลี่หยางและเย่วซือเดินหมากกันมาแล้ว 4 ตา แต่เย่วซือก็เเพ้ให้กับลี่หยางตลอด ทำให้เย่วซือเริ่มโมโหขึ้นมาหน่อย
“ลี่หยางเจ้ามันใจดำ ข้าเล่นหมากต่อหน้าหญิงเจ้ากลับให้ข้าแพ้ตลอด เจ้าอยากให้ข้าขายหน้าใช่หรือไม่” เย่วซือบ่นออกมาอย่างไม่จริงให้กับลี่หยาง
“เจ้าเล่นไม่ชนะข้าเอง ช่วยไม่ได้” ลี่หยางพูดด้วยสีหน้าเรียบและทั้ง 2 ก็เริ่มเล่นกันใหม่ แต่เย่วซือก็ทำท่าเหมือนจะเเพ้อีกเช่นเคย ซูเชี่ยวที่นั่งดูพวกเขาสองคนเล่นกันมาหลายตาแล้วแต่ชัยชนะก็ตกเป็นของลี่หยางเจ้าสำนักวารีหยกทุกครั้ง นางจึงหันไปกระซิบให้ เย่วซือเดินตามที่นางบอก เย่วซือก็เดินตามแต่โดยดี
“ชนะ เย้ข้าชนะแล้ว ครั้งนี้ข้าชนะเจ้า” เย่วซือพูดออกมาเมื่อหมากตัวสุดท้ายของลี่หยางโดนเขากิน และแล้วอาหารที่ทั้งสามคนรอก็มาเสิร์ฟทันที พวกเขาจึงต้องเก็บกระดานหมากและเริ่มทานอาหารที่ทยอยมาเสิร์ฟ และทุกคนก็ลงมือทานอาหารด้วยความอร่อย ระหว่างที่ทานอาหารลี่หยางได้แต่ลอบสังเกตซูเชี่ยวและคิดในใจว่านางเดินหมากเป็นได้อย่างไร ฝีไม้ลายมือกลับพาเย่วซือชนะเขาได้ เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอันใด ซูเชี่ยวนั่งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยวันนี้นางดื่มสุราไปสามถ้วยเพราะไม่อยากที่จะเมาแต่ก็ทำให้หญิงสาวเริ่มมีความกล้ามากขึ้น อย่างเช่นที่กล้าร่วมมือกับเย่วซือเพื่อเอาชนะการเดินหมากของลี่หยาง สมัยมัธยมนางเคยเเข่งเดินหมากจนได้ทุนเรียนฟรีในช่วงมหาลัยด้านความสามารถพิเศษ พอเห็นการเดินหมากของลี่หยางมาแล้วหลายตาก่อนหน้านี้ จึงทำให้นางจับทางลี่หยางได้และบอกเย่วซือให้เดินตาม ทั้งสามใช้เวลาทานอาหารประมาณ 1 ชั่วยามก็พากันลุกขึ้นและออกจากโรงเตี๊ยมเพราะถึงเวลาในการแสดงการตกแต่งโคมไฟบนเรือแล้ว
“เดี๋ยวก่อน” ซูเชี่ยวพูดขึ้นเมื่อหันไปเห็นคนขายหน้ากาก จึงได้เดินเข้าไปซื้อมา3 อันและยื่นให้คนทั้ง 2 ลี่หยางและเย่วซือ หันมามองหน้ากันด้วยสายตาสงสัย
“พวกท่านหน้าตาหล่อเหลาเกินไป ข้าเพียงไม่อยากให้ท่านทั้ง 2 ต้องโดยรุมล้อมเพราะความหน้าตาดี” ซูเชี่ยวพูดขึ้น
“ก็จริงของนาง” เย่วซือพูดพลางหยิบหน้ากากสีขาวไปใส่ โดยไม่ปฏิเสธคำที่นางยกย่องเขาเลยแม้แต่น้อย ช่างมั่นใจตัวเองเหลือเกินซูเชี่ยวคิดในใจ
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” ลี่หยางพูดขึ้นและหยิบหน้ากากสีดำขึ้นมาใส่เเละเดินออกไปตามเย่วซือ
“ว้าวคุณชาย” เสียงของหญิงสาวพูดขึ้นเมื่อทั้ง2 เดินไป
“หน้ากากนี้คงใช้ไม่ได้ผลสินะ” ซูเชี่ยวพูดขณะที่ทั้ง 2 เดินออกไปแล้ว และใส่หน้ากากสีม่วงที่เข้ากับสีชุดที่ตนใส่และเดินตามไป ทั้งสามมาที่จุดโคมลอยและเขียนคำอธิษฐานคนละอันลงในโคมจากนั้นก็จุดโคมไฟและลอยออกไป
“เจ้าเขียนอธิษฐานว่าอันใดหรือ” เย่วซือถามซูเชี่ยว
“ขืนบอกก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์สิ” ซูเชี่ยวยิ้มและตอบออกไป
“หึ!” ลี่หยางส่งเสียงในลำคอและเดินออกไป ซูเชี่ยวและเย่วซือมองตากันและเดินตามออกไปรอชมการตกแต่งโคมไฟที่เรือบริเวณแม่น้ำ ไม่นานก็มีขบวนที่ตกแต่งโคมไฟแล่นออกมา 10 กว่าลำอย่างสวยงามและมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันออกไป ซูเชี่ยวรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเรือที่ตกแต่งอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก นางไม่เคยเห็นแบบนี้พอเรือลำสุดท้ายแล่นออกไปก็มีการจุดพลุดอกไม้ไฟขึ้น ภาพตรงหน้าของซูเชี่ยวตอนนี้คือ ภาพดอกไม้ไฟสีสันสวยงามเต็มท้องฟ้าสะท้อนเข้ากับผืนน้ำในยามค่ำคืน ทำให้นางไม่อาจที่จะละสายตาจากภาพตรงหน้าได้แม้แต่น้อย หากเป็นโลกเก่าของหญิงสาวคงอดไม่ได้ที่จะจับโทรศัพท์ออกมาเพื่ออัปลงโซเชียลอวดเพื่อนแน่ๆ
“กลับกันเถอะ” ลี่หยางพูดขึ้นเมื่อพลุดอกไม้ไฟลูกสุดท้ายหายไป ซูเชี่ยวหันมามองที่ต้นเสียงและเดินตามหลังลี่หยาง
“อ่าวเย่วซือล่ะเจ้าคะท่านเจ้าสำนัก” ซูเชี่ยวพูดขึ้นเมื่อเดิมตามมาทันลี่หยาง
“เขาไปตั้งนานแล้ว เดินเร็วๆ หน่อย” ลี่หยางตอบเสียงเรียบ และก้าวเท้าสั้นลงเพื่อรอหญิงสาว ไปตอนไหนทำไมนางไม่รู้เรื่องกัน ซูเชี่ยวคิดในใจ
