ตอนที่ 12 ข้าโดนลงโทษอีกแล้ว
ทางด้านซูเชี่ยวหลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินมาทานอาหารร่วมกับทุกคนในสำนักเป็นปกติ ขณะที่นางมาถึงก็เป็นจังหวะที่เจ้าสำนักลี่หยางเดินมาพอดี ทำให้ทั้งคู่ได้เจอกัน ซูเชี่ยวเพียงถอยหลังให้เขาเดินเข้าไปก่อนและเดินตามเข้าไปทีหลัง ลี่หยางที่เห็นอย่างนั้นก็เพียงส่ายหน้าเล็กน้อยและรีบเดินเข้าไปข้างใน ทันทีที่ลี่หยางเดินเข้ามานั่งกับที่
“คารวะเจ้าสำนัก” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกันและทำท่าคารวะ
“เชิญทุกคนทานได้” ลี่หยางส่งเสียงดังออกมาเป็นการบอกและเริ่มทาน เขาเป็นคนที่ตรงเวลาเสมอและอาหารที่เขาทานทุกวันเป็นแบบเดียวกันกับคนทั้งสำนักทาน เรียกว่าทุกคนในสำนักทานอย่างไรเขาก็ทานอย่างนั้น ยิ่งทำให้ศิษย์ทุกคนต่างเลื่อมใสเขาเป็นอย่างมาก ทุกคนทานอาหารไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็ต่างพากันลุกไปรวมถึงเจ้าสำนักลี่หยางด้วย ซูเชี่ยวที่เห็นคนเริ่มทยอยไปแล้วก็ลุกขึ้นที่จะออกไปเช่นกัน
“ซูเชี่ยวไปพบข้าที่ตำหนักผดุงคุณธรรมหลังทานข้าวเสร็จด้วย” เป็นเสียงของเฟยซิ่นที่ดังออกมา
“เจ้าค่ะท่านรองเจ้าสำนัก” ซูเชี่ยวตอบออกไปเสียงเรียบ นางรู้อยู่แล้วว่าวันนี้นางต้องโดนเรียกไปพบ เพราะเรื่องเมื่อวานที่ทำป้ายหาย เจียอี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากได้ยินก็ส่งสายตาเป็นเชิงให้กำลังใจ ซูเชี่ยวเพียงยิ้มตอบและเดินไปที่ตำหนักผดุงคุณธรรม ครั้งนี้นางไม่หลงเหมือนครั้งแรกแล้ว จึงใช้เวลาไม่นานก็มาถึงและดันบานประตูเดินเข้าไปข้างใน กลับเห็นรองเจ้าสำนักเฟยซิ่นมาถึงก่อนนางแล้ว ซูเชี่ยวคิดในใจเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะมาถึงก่อนนางทั้งๆ ที่นางออกมาก่อนเเท้ๆ
“คารวะรองเจ้าสำนัก” ซูเชี่ยวพูดขึ้นขณะโค้งทำความเคารพ
“รู้สึกว่าตำหนักแห่งนี้จะสร้างมาเพื่อเจ้านะ” เฟยซิ่นพูดแหย่ซูเชี่ยว เพราะที่แห่งนี้ใช้สำหรับตัดสินคนที่ทำผิดหรือเพื่อไกล่เกลี่ยการกระทำผิดที่ต้องใช้การตัดสิน แต่ก็มีไม่บ่อยนักที่จะเกิดเรื่อง และทุกครั้งที่เกิดเรื่องมักมาจากซูเชี่ยวเพราะศิษย์ทุกคนในสำนักต่างเคารพสำนักนี้เป็นอย่างมากจึงไม่ค่อยเกิดเรื่อง ซูเชี่ยวได้แต่คิดในใจนางพึ่งเคยทำผิดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นครั้งอื่นล้วนไม่ใช่นาง แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มกลับไป
“เอาล่ะเริ่มเลย” เฟยซิ่นพูดจบ ผู้ช่วยที่ยืนข้างเขาก็ทำเหมือนครั้งที่แล้ว เริ่มอ่านความผิดของนางและไม่พ้นจากที่นางคาดเดาว่าเป็นเรื่องที่นางทำป้ายหาย
“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่” เฟยซิ่นถามเมื่อผู้ช่วยของเขาอ่านจบ
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ซูเชี่ยวเพียงตอบเสียงเรียบ เฟยซิ่นมองหน้าซูเชี่ยวที่สีหน้าไม่ได้แสดงอาการร้อนใจที่ถูกทำโทษก็ยิ่งแปลกใจ ทุกครั้งที่นางทำผิดมักจะโทษคนนั้นคนนี้ที เเละเขาได้ยินเรื่องเมื่อคืนที่ผู้ช่วยเขาเล่าให้ฟังว่าเจ้าสำนักเดินไปพานางกลับเข้าสำนักด้วยตัวเองและไม่ให้ใครตามไปก็ยิ่งแปลกใจ หรือว่านางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“งั้นเจ้าไปทำความสะอาดตำหนักใฝ่คุณธรรมทุกเย็นหลังจากที่เลิกเรียนเป็นเวลา 1 เดือนเเล้วค่อยมารับป้ายเข้าออกสำนักคืนแล้วกัน” เฟยซิ่นกล่าวจบก็ลุกออกไป
“ขอบคุณรองเจ้าสำนัก”
ซูเชี่ยวเพียงกล่าวขอบคุณและย่อกาย จากนั้นเดินตามหลังออกไป ซูเชี่ยวเดินเข้ามาภายในห้องเรียนหลังเพื่อน จึงทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวขณะที่นางเปิดประตูเดินเข้ามา จากนั้นเดินเข้าไปนั่งที่ของตัวเอง นางตั้งใจกับตัวเองไว้แล้วว่านางจะตั้งใจศึกษาพลังภายในที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้น คนอื่นใช้เวลาศึกษา5ปี แต่นางที่ตอนนี้อยู่ปี4แล้ว นางต้องใช้เวลา 1 ปีกว่าๆ ที่เหลือเพื่อลบคำดูถูกตัวเองให้ได้ ซูเชี่ยวตั้งใจฟังที่อาจารย์สอนเป็นอย่างมาก เจียอี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นางที่แต่ก่อนเห็นซูเชี่ยวเอาแต่ก่อนนั่งสัปหงกทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเปลี่ยนเป็นตั้งใจก็มองซูเชี่ยวด้วยสีหน้าประหลาดใจ แม้แต่นางที่พยายามสะกิดเพื่อพูดอยู่หลายครั้งแต่ซูเชี่ยวก็ไม่สนใจ ซูเชี่ยวที่พยายามฟังที่อาจารย์บรรยายหน้าห้องก็ไม่เข้าใจเลย ถึงแม้ว่านางจะพยายามเพราะเนื้อหาเหล่านี้ล้วนเลยมามากเเล้ว สงสัยข้าต้องไปศึกษาเองใหม่ตั้งแต่ต้นซูเชี่ยวคิดในใจ หลังจบคาบเรียนของวันนี้เจียอี่ก็รีบตรงมาถามนางทันที
“เจ้าโดนลงโทษเรื่องอะไรหรือ คงไม่ใช่การโบยอีกหรอกนะ” เจียอี่ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้านี่จริงๆ เลยนะ” ซูเชี่ยวพูดพลางมองค้อนเจียอี่
“เจ้าก็รีบพูดมา”
“ข้าโดนทำโทษให้ไปทำความสะอาดตำหนักใฝ่คุณธรรมหลังเลิกเรียนทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน” ซูเชี่ยวตอบเจียอี่ขณะลุกขึ้นเตรียมตัวไปทำความสะอาดที่ตำหนักใฝ่คุณธรรม
“ค่อยยังชั่วหน่อยที่แค่ได้ทำความสะอาด เดี๋ยวข้าไปช่วยเจ้า” เจียอี่พูดด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ ได้ยินว่าเจ้าได้รับคัดเลือกให้ไปประลองการคัดเลือกผู้นำ5สำนักนิ่ ปล่อยให้คนไม่มีพลังไร้ประโยชน์อย่างข้าทำเถอะ” ซูเชี่ยวตบที่ไหล่เจียอี่เบาๆ และพูดดักไม่ให้หญิงสาวต้องลำบากเมื่อเจียอี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เซ้าซี้ซูเชี่ยวอีก ทั้ง2แยกย้ายกันเจียอี่กลับไปที่พัก ส่วนซูเชี่ยวไปทำความสะอาด
.
ณ ตำหนักใฝ่คุณธรรม ซูเชี่ยวเดินเข้าไปข้างในซึ่งข้างในเป็นห้องตำราของที่นี่ เมื่อนางมาถึงก็เห็นผู้คุมที่นี่เพียงคนเดียว เพราะนี่ก็ปลายยามอิ๋นแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ที่เลิกเรียนก็ต่างพากันกลับที่พักไม่ก็หาที่ฝึกพลังภายในเงียบๆ คนเดียวสักที่ ซูเชี่ยวเเจ้งแก่ผู้คุมที่นี่ว่านางมาทำอะไร จากนั้นใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็เสร็จ จึงใช้เวลานี้เดินหาตำราที่เป็นการฝึกพลังขั้นต้นไปอ่าน นางเลือกหาตำราที่คิดว่ามีประโยชน์กับตัวเองได้มา 2 เล่ม ตอนที่นางกำลังจะไปแต่กลับมีหนังสือ 1 เล่นตกจากชั้น จึงเดินกลับไปก้มเก็บ หน้าปกเขียนว่าการฝึกฝนพลังภายในซูเชี่ยวจึงเลือกที่จะนำไปด้วย สงสัยคงมีอะไรอยากให้อ่านเล่มนี้สินะแต่ถ้าจะมาช่วยมาเป็นคนที่สมบูรณ์นะ อย่ามาเป็นผีก็พอ ซูเชี่ยวภาวนาในใจ จากนั้นเดินไปถามผู้คุมว่านางต้องยืมหนังสืออย่างไร
“ขออภัยเจ้าค่ะ หากข้าจะยืมตำราต้องยืมอย่างไรเจ้าคะ” นางเดินมาถามผู้คุมข้างหน้าที่ตอนนี้เหลือเขาอยู่แค่คนเดียว
“อะไรกันแม่นางหนูเจ้าเป็นศิษย์ที่นี่ไยไม่รู้” ผู้คุมห้องกล่าวออกมาเสียงดัง ซูเชี่ยวที่ได้ฟังก็ได้แต่คิดในใจว่า ข้าก็ถามดีๆ เหตุใดไม่ตอบดีๆ กัน
“เจ้าลงชื่อในเล่มนี้ และลงว่ายืมหนังสืออะไรไปบ้าง” ผู้คุมกล่าวพลางยื่นหนังสือให้หญิงสาว และนางกำลังจะก้มเขียนกลับได้ยินฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง
“คารวะเจ้าสำนัก” ผู้คุมพูดขึ้น ทำให้ซูเชี่ยวต้องรีบเงยหน้าขึ้นและถอยห่างออกไปเห็นเขาเดินออกมาจากข้างใน ซูเชี่ยวได้แต่คิดในใจเขาอยู่ที่นี่ด้วยหรือเหตุใดนางถึงไม่รู้
ลี่หยางเข้ามาอ่านตำราในนี้ก่อนนางนานแล้วแต่เขาเข้าไปในห้องลับที่นี่ จึงทำให้นางมองไม่เห็นเขาสามารถมองเหตุการณ์ข้างนอกทั้งหมด เขาเห็นการกระทำของนางทั้งหมด และเห็นว่านางตั้งใจหาตำราอย่างจริงจัง แต่ก็คิดว่านางคงหาตำราไร้สาระอ่านเช่นเคย จากนั้นเขาเดินเข้าไปเพื่อลงชื่อยืมตำราแต่สายตากลับเหลือบไปเห็นตำราที่วางอยู่ที่โต๊ะของนาง หน้าปกเขียนว่าการฝึกฝนพลังภายในทำให้เขาชะงักไปคิดในใจว่านางอ่านตำราแบบนี้ด้วยเหรอ นางที่ไม่มีแม้แต่พลังจะอ่านไปทำไมแต่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจข้างหลังเขาที่ยืนรอที่จะลงชื่อเพื่อยืมตำรา ลี่หยางถอยออกมาเมื่อลงเสร็จและให้หญิงสาวลงชื่อต่อ ซูเชี่ยวก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวว่าลี่หยางจะเห็นตำราที่นางอ่าน นางยังไม่ต้องการที่จะบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงหยิบตำรามาซ่อนไว้ข้างหลังเพื่อไม่ให้เขาเห็นว่านางอ่านอะไร โดยที่ไม่รู้เลยว่าลี่หยางเห็นตำราเล่มนั้นแล้วและยืนรอหญิงสาวเพื่อจะถาม ซูเชี่ยวที่กำลังลงชื่ออยู่ได้แต่ภาวนาในใจให้เขารีบออกไป แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงชายหนุ่มออกไปทั้งยังได้กลิ่นหอมสะอาดจางๆ เหมือนครั้งที่แล้วส่งกลิ่นออกมาอยู่ใกล้นาง ยิ่งทำให้ใจของนางเต้นแรงขึ้นอย่างที่ไม่เข้าใจ
