บทย่อ
ซีรีส์เถื่อน 1. บอสเถื่อน 2. บทเรียนก่อนวิวาห์
1
Chapter 1
“หนูต้องไปจริงๆ เหรอคะพ่อ” ไพรรักษ์เอ่ยถามบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่ออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านเธอต้องเดินทางไปหาคู่หมั้นคู่หมายที่บิดามารดาได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่อายุสิบห้า ณ หมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งไกลออกไป เธอต้องเดินทางข้ามเขาไปหลายลูกตามแผนที่ที่บิดาได้ให้ไว้ แล้วคู่หมั้นของเธอก็จะมารับระหว่างทาง เธอมีรูปวาดของเขาจึงพอจะรู้ว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไร
หมู่บ้านของเธอมีธรรมเนียมอีกอย่างก็คือต้องพาของหมั้นหมายซึ่งเป็น สิ่งที่จะต้องไปมอบให้แก่คู่หมั้นที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน สิ่งนั้นคือหยกประจำตระกูลนั่นเอง
เธอต้องฝึกวิชาการเอาตัวรอดและการใช้ชีวิตอยู่ในป่าตั้งแต่ยังเด็กๆ และผู้ชายที่ได้พรหมจรรย์ของเธอไปคือสามีเพียงคนเดียวเท่านั้น หากใครตายจากกันก่อนก็ห้ามมีคู่อีก จะเรียกว่าผัวเดียวเมียเดียวก็ย่อมได้
ซึ่งหมู่บ้านของเธอมีกฎอยู่ว่าผู้หญิงจะต้องไปขอผู้ชายมาแต่งงานเรียกว่าแต่งเข้าบ้าน
“หนูอายุครบสิบแปดแล้วต้องเดินทางไปหาคู่หมั้นคู่หมายของหนูที่หมู่บ้านดงไพรแล้วมอบหยกประจำตระกูลของเราให้เขาเป็นของหมั้นและพาเขากลับมาแต่งงาน”
“หนูไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้ง นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ไม่รู้” เธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับธรรมเนียมนี้ของหมู่บ้านนัก
“เมื่อไปถึงหนูก็จะรู้เองว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่พ่อเคยเจอเขาแล้ว เขาเป็นคนดีและจะดูแลหนูได้ดีแทนพ่อหลังจากพ่อไม่อยู่แล้ว” เธอรู้ว่าคนเราเกิดมาต้องตาย แต่เธอไม่อยากให้บิดาจากไปไหน และคิดว่าจะมีใครรักและดูเธอดีเท่าบิดามารดาไม่มีอีกแล้ว
“ค่ะ” ไพรรักษ์รับคำอย่างเสียไม่ได้ ถ้าไม่เพราะบิดาและธรรมเนียมของหมู่บ้านเธอก็คงไม่ต้องฝืนใจแต่งงาน
“พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้ว รีบนอนเถอะ” พงศ์ไพรบอกบุตรสาว ทำให้ไพรรักษ์รีบเข้านอน เธอรีบตื่นเช้า ลาบิดาก่อนจะออกเดินทาง หญิงสาวเดินทางไปเรื่อยๆ เธอไม่รีบร้อน จะเรียกว่าชมนกชมไม้ก็ย่อมได้ ผ่านไปสามวันเธอก็เจอกับถ้ำน้ำตกสวยงาม เสียงนกร้อง และฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำทำให้เธอยิ้มกว้าง เธอเกิดในป่า โตในป่า ชอบความเงียบสงบและความจริงใจของคนที่นี่
เธอเดินทางครบสามวันแล้ว บิดาบอกว่าคู่หมั้นคู่หมายของเธอจะมารับเธอระหว่างทาง และต้องเดินทางรอนแรมกันอีกหลายวันกว่าจะถึงหมู่บ้านดงไพร
“วะ! ว้าย!” ไพรรักษ์ร้องเสียงหลงเมื่อเหยียบกับดักเข้า เถาวัลย์ที่พันกันเป็นตาข่ายรวบล้อมจับเธอเอาไว้ ทำเอาเธอห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ เด็กสาวดิ้นรนไปมาร้องโวยวายเสียงดัง
“ฝีมือมีแค่นี้เองเหรอ” เพลิงหัวเราะขบขันเด็กสาวที่พยายามตัดเถาวัลย์ที่ห่อร่างของเธอเอาไว้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเหนื่อยจนได้ยินเสียงหอบชัดเจน
“นายเป็นใคร” ไพรรักษ์ถามออกไป หรี่ตามองแต่มองไม่ชัดเพราะเขายืนอยู่ด้านที่พระอาทิตย์กำลังสาดแสงแรงกล้ามากระทบกับแผ่นหลังทำให้เธอเห็นหน้าเขาไม่ชัด
“ว่าที่ผัวเธอไง”
“แล้วมาจับฉันเอาไว้แบบนี้ทำไม”
“ทดสอบฝีมือการเอาตัวรอดในป่า เดินเหม่อแบบนี้ดีที่ไม่โดนเสือกิน” เขายั่วโมโหเธอ ไพรรักษ์มองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาแต่ปากร้ายเหลือกำลังอย่างกรุ่นโกรธ เขากำลังเดินมาหาทำให้เธอเห็นหน้าของเขาชัดเจนขึ้น
“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“พูดว่า... ว่าที่ผัวขาปล่อยว่าที่เมียหน่อยสิคะ แล้วพี่ถึงจะปล่อยเธอ” เขาเปลี่ยนสรรพนามยิ้มละมุนส่งไปให้เด็กสาว
“ไม่!” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง
“งั้นก็ห้อยโตงเตงอยู่แบบนี้แหละ”
“เดี๋ยวก่อน จะไปไหน อย่าทิ้งกันแบบนี้สิ คนบ้า คนบ้า คนบ้า!” ไพรรักษ์โวยวายลั่น
“เธอควรเรียกฉันว่าพี่ ฉันอายุมากกว่าเธอหลายปี”
“ก็ได้ ปล่อยฉันก่อนสิ”
“บอกแล้วไงว่าต้องพูดยังไง”
“พี่เพลิงปล่อยรักษ์ก่อน”
“ไม่ใช่”
“ผัวขาปล่อยเมียด้วย”
“ว่าที่เมีย เป็นเมียเลยเหรอ” เขาหัวเราะ “แต่ไม่อยากเป็นแค่ว่าที่ ก็ได้ๆ เมียก็เมีย” เขาใช้หน้าไม้ยิงเถาวัลย์ที่ผูกโยงกับต้นไม้อย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย!” ร่างของเธอหล่นลงจากต้นไม้ ก่อนที่ไพรรักษ์จะร้องโอดโอยด้วยความเจ็บสะโพก
“ทำไมไม่ทำให้มันนุ่มนวลกว่านี้ คนบ้าเอ๊ย!” ใบหน้าของเด็กสาวงอง้ำ
“ไม่คิดเลยว่าว่าที่เมียตัวเองจะปากจัดแบบนี้ ไม่มีความเรียบร้อยอ่อนหวานเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย ผู้ชายคนอื่นในหมู่บ้านเขาได้เมียน่ารักอ่อนหวานทำอาหารเก่งกันทั้งนั้น แถมยังระมัดระวังตัวเองในการเดินป่า เอาชีวิตรอด นี่แค่เริ่มต้นเธอยังโดนกับดักพี่เสียแล้ว นี่จะรอดเหรอ ทำกับข้าวกับปลาเป็นไหม กระโดกกระเดกแบบนี้” เขาแกล้งว่าทั้งๆ ที่แอบไปมองเธอที่หมู่บ้านหลายครั้งแล้ว
“ก็ไปเอาผู้หญิงคนอื่นมาทำเมียสิ มาเอารักษ์ทำไม ใครอยากแต่งงานกับพี่เพลิงกันเล่า” เธอแหวใส่รีบลุกขึ้นปัดก้นไปมา
“ถ้าทำได้คงทำไปแล้ว” เขาเดินไปดึงแขนของเธอให้เดินตาม
“พูดเหมือนใครบังคับ พี่เพลิงต้องเลือกเจ้าสาวเองไม่ใช่เหรอ”
“สงสัยเลือกผิด” เขาแหย่ เธอหน้างอ อยากหาอะไรตะบันหน้าเขานัก คนอะไรปากร้ายใจร้ายเป็นที่สุด
“จะไปไหน”
“ตามมานี่ คืนนี้เราต้องค้างกันในถ้ำหลังน้ำตกนั่น พี่เตรียมที่พักเอาไว้ให้แล้ว”
“ทำไมถึงไม่ค้างบนต้นไม้”
“แล้วทำไมถึงค้างในถ้ำไม่ได้” เขายียวนกลับ
“ว่าที่สามีคนอื่นเขาพูดจาหวานหู แต่นายนี่พูดจากระโชกโฮกฮากไม่ระรื่นหูเอาเสียเลย” เธอแหวใส่
“ถ้าเรียกพี่ว่านายอีกรอบจะโดนจูบ”
“อุ๊ย!” เขาหันมาเธอก็รีบอุดปากตัวเองเอาไว้
“กลัวโดนจูบเหรอ คืนนี้จะทำมากกว่านี้อีก” แม้จะเตรียมใจมาแล้วแต่พอเขาพูดแบบนั้นเธอก็หน้าแดง จริงๆ ไม่เห็นต้องพูดก็ได้นี่นา
ไพรรักษ์เดินเข้ามาในถ้ำแล้วต้องเบิกตากว้าง เขาจัดเตรียมที่หลับที่นอนเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว มันสบายและน่านอนมากๆ เดินทางมาเหนื่อยๆ แบบนี้ได้นอนพักคงสบาย แต่ต้องไม่มีเพลิงอยู่ด้วยนะ
“พอใจไหม”
“ก็นิดหน่อย” เธอโกหกคำโต ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้รีบ หยิบหยกประจำตระกูลขึ้นมาให้เขา
“มันใช่เวลาไหม”
“อ้าว...”
“คืนนี้ต่างหาก เธอต้องซ่อนมันเอาไว้ในตัวแล้วให้พี่หาไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย เธอหน้าแดงเมื่อได้สบตา คนบ้านี่ทำไมต้องมามองเธอด้วยสายตาแบบนี้ด้วย
“ไม่เห็นต้องซ่อนเลย ยังไงก็ต้องให้” เธอสะบัดเสียงใส่
“มันไม่ตื่นเต้นไง เขาเลยให้ซ่อน แค่นี้ก็ซื่อบื้อเหรอ” เพลิงขยับใบหน้าเข้าไปหา เธอหน้าแดงเบี่ยงหลบแทบจะทันที
“นี่ก็เย็นมากแล้ว เราควรอาบน้ำอาบท่า พี่เตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว” เขาเอ่ยบอก
“รู้แล้ว” เธอตอบรับ ขยับไปวางสัมภาระอีกด้าน ในกระเป๋ามีชุดสีขาวเป็นผ้าป่านทอมือ สำหรับเปลี่ยนเพื่อเข้าห้องหอกับเพลิงในค่ำคืนนี้ ซึ่งชุดนี้เธอเป็นคนทอด้วยตัวเอง เป็นชุดยาวคลุมจนถึงเข่า ด้านในเธอต้องไม่สวมใส่อะไรเลยเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าหอคืนนี้
ไพรรักษ์รู้สึกเหนียวตัว เธอเลยเดินไปหลังโขดหินเปลื้องผ้าออกจากตัว เพื่ออาบน้ำ ในถ้ำมีน้ำไหลผ่าน น้ำสะอาดและใสมากๆ เหมาะแก่การดื่มกิน ชำระร่างกายและนอนแช่ อุณหภูมิของน้ำในถ้ำอุ่นสบายคล้ายน้ำพุร้อน ไม่เย็นยะเยือกอย่างที่เธอคิด
“น้ำในถ้ำอุ่นเพราะว่ามีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาผสมกับน้ำที่ไหลผ่านเป็นแอ่งอยู่ตรงกลางถ้ำ” เขาพูดเสียงทุ้ม
“อุ๊ย!” ไพรรักษ์อุทานเมื่อมือหนาสัมผัสอยู่ตรงบ่าของเธอ ร่างเปลือยเปล่าของเขาแนบชิดเข้ามาหา เพลิงจุมพิตไหล่ละมุนของเธอเบาๆ เธอสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ได้ขัดขืนเพราะว่าเป็นธรรมเนียมว่าหากผู้ชายที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายอยากแตะต้องร่างกายก็ต้องยินยอมพร้อมใจ