บทที่ 2
"พ่อไม่กลับบ้านนะวันนี้"
"อ้าว...พ่อจะไปไหนล่ะจ๊ะ นี่หนูอุตส่าห์ทำแกงส้มสายบัวที่พ่ออยากกินไว้ให้"
เสียงอ่อยๆ ของลูกสาวทำให้กำนันเพิ่มรู้สึกผิดขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เสียงอ้อนข้างๆ ก็ทำให้เขาจำต้องบอกลูกสาวไปตามตรง
"คือว่าหนูพิมพ์เขาชวนพ่อค้างที่รีสอร์ตที่มาดูงานน่ะ เห็นว่ามืดค่ำแล้วกลับไม่ทัน ก็เลย...ตัดสินใจค้าง แกงส้มเก็บไว้พรุ่งนี้เดี๋ยวพ่อไปกิน ปิดบ้านช่องดีๆ นะ"
"อ้อ...จะอยู่ฮันนีมูนกับ...ป้าพิมพ์เหรอ" ตอบไปแบบนั้น แล้วก็เม้มปาก พ่อกำนันปรามเสียงนิ่มๆ มาตามสาย
"ไปเรียกแม่เค้าว่าป้าได้ยังไง ยัยพิงค์ เค้าอายุมากกว่าเราไม่กี่ปีนา"
"ก็นั่นสิ อายุมากกว่าหนูไม่กี่ปีเอง หนูจะเรียกว่าแม่ได้ยังไง"
ย้อนพ่อไปก็น้ำตาซึมไปด้วย พ่อนะพ่อ...เห็นเมียเด็กดีกว่าลูก
"เอาเถอะๆ อย่าพูดไปเรื่องอื่นเลย เป็นอันว่าพ่อกลับพรุ่งนี้นะลูกนะ แล้วพ่อจะพาไปเที่ยวทะเลนะลูกสิ้นเดือน"
"หนูไม่อยากไปทะเล หึ! แค่นี้นะ ส่วนแกงส้มจะกินให้หมดเลย"
แล้วก็ตัดสายทิ้งไป มองโทรศัพท์ด้วยสายตาขวางๆ เหมือนกับจะเป็นตัวแทนพ่อกำนันของเธอ คิดแล้วก็น้อยใจนัก แม่ของเธอตายไปไม่กี่ปี พ่อก็ไปได้เมียเด็ก...แถมนังนั่นก็น่ะ...หน้าอย่างหลังอย่าง หน้าไหว้หลังหลอก พ่อไปรักมันได้ยังไงกัน เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ
นึกถึงหน้าพิมพ์พรรณแล้วเธอก็เม้มปาก ลุกขึ้นยืนแล้วเตะพื้นอย่างโมโห ก่อนจะร้องอุ๊ยเบาๆ เมื่อดันไปเตะโดนก้อนหิน เจ็บเท้าไปน่ะสิ โดนนิ้วก้อยเต็มๆ เข้าแบบนั้น ดีนะไม่มีคนเห็น เวียงพิงค์ยกขาขึ้นดู นิ้วก้อยของเธอห้อเลือดขึ้นมาทันตาเห็น เห้อ...ขนาดก้อนหินยังไม่เข้าข้างเธอเลยอะ ทุกคนรังแกเธอ พ่อ นังป้าพิมพ์แม่เลี้ยง อีตาปลัดหาญชายด้วย
หึ...คอยดูฤทธิ์เวียงพิงค์เถอะ
คิดว่าจะจัดการแม่เลี้ยงอย่างไรดี เป็นการสั่งสอน ส่วนพ่อกำนันของเธอ...น่ะพ่อก็ยกไว้นั่นแหละ เธอจะไปแกล้งท่านได้ยังไง นรกกินกบาลพอดี
เธอต้องนอนคนเดียวคืนนี้ เพราะป้าใสไม่อยู่ แกเป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง ที่คอยช่วยดูแลเรื่องกับข้าวทำงานบ้าน อยู่เลี้ยงเวียงพิงค์มาตั้งแต่ยังแบเบาะ อยู่จนเหมือนกับญาติผู้ใหญ่ไปแล้วไม่ใช่เพียงพี่เลี้ยงและคนทำงานบ้าน แกลากลับบ้านเพราะญาติของแกเสีย
จะโทรไปตามไอ้ไม้มานอนเป็นเพื่อนดีไหมนะ?
คิดในใจ...แต่อย่าดีกว่า ภาพลักษณ์ของเธอคือลูกพี่สาวสุดเฮี้ยว ไอ้เรื่่องกลัวผีน่ะความลับสุดยอดของเธอเลยนะนี่ ไม่มีใครรู้หรอก
เวียงพิงค์เม้มปากน้อยๆ ตามองไปยังรั้วบ้านแล้วเดินไปปิดล็อคอย่างเรียบร้อย เธอมัวแต่คิดเรื่องบิดาจนลืมเรื่องอะไรบางอย่างไป เรื่องที่เธอก่อไว้...ตอนเย็นนี่แหละ
นาฬิกาข้อมือบอกว่าเวลาเกือบทุ่มแล้ว บ้านนอกแบบนี้บรรยากาศมืดและเงียบสงบ บ้านของพ่อกำนันตั้งเป็นเอกเทศไกลจากบ้านหลังอื่นนิดหน่อย แต่ก็พอเห็นไฟของบ้านอื่นอยู่บ้างไกลๆ เนื่องจากพื้นที่บ้านค่อนข้างกว้างเป็นทั้งบ้านและมีสวนส้มโอด้วยเวียงพิงค์เดินเข้าไปในบ้าน อุตส่าห์ทำแกงส้มไว้ให้พ่อ แต่พ่อดันไปฮันนีมูนกับนังนั่น กินให้หมดเลยดีกว่า แม่ตัวแสบคิดอย่างเคืองๆ
ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารด้วยความโมโห เธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเจ้าด่างและเจ้าโชกุนหมาที่เลี้ยงไว้พากันเห่าขรมดังลั่น ก่อนที่ไอ้ด่างดันหอนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
โบว๋วววววว
"อะไรอะ"
แม่ตัวแสบหน้าซีด...
หวังว่าคงไม่ใช่...
เธอจ้องเขม็งไปยังประตูบ้านที่ปิดสนิท แล้วท่องพุทโธ มือกำสร้อยพระที่คล้องคอเป็นประจำแน่น
"กรี๊ดดดดดด"
จู่ๆ ประตูก็เปิดผาง เวียงพิงค์กรี๊ดนำไปก่อน ตาเบิกกว้างมองคนที่ยืนตัวโตตะหง่านทะมึนอยู่ตรงประตูบ้านเธอ หมาของเธอทั้งเห่าทั้งหอนอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ร่างดำๆ นั่น เวียงพิงค์หลับตาปี๋ ร้องกรี๊ดๆ ไม่หยุดจนตกใจเมื่อเจ้าสิ่งดำทะมึนนั่นตวาดเธอแหว
"หยุดร้องได้แล้ว ร้องทำไม ผมเอง!"
"ผมไหน ผีไม่มีผม แว๊ก ผี เจ้าผีดำออกไปนะ ออกไป๊"
"โอ๊ย ก็บอกว่าคนไม่ใช่ผี หยุดกรี๊ดเสียที"
คนมันกลัวผีจะให้หยุดกลัว!
บ้าเหรอก็คนมันกลัวอะ
เวียงพิงค์ไม่ฟังหรอก ได้แต่หลับหูหลับตาร้อง เจ้าร่างดำนั้นเลยกระโจนใส่เธอเลยหนนี้ ตะครุบเธอเข้าไปในอ้อมแขนนั่น มันมีกลิ่นแปลกๆ และอุ่นๆ และเปื้อนสีดำนั้นตามตัวเธอไปด้วย หนนี้เวียงพิงค์ช็อคจนตาค้างเธอเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าร่าดำ ที่ก้มลงมองเธอ พร้อมกับเสียงดุขู่
"ก็บอกว่าคนยังไงเล่า ผมเอง ปลัดหาญ เอ๊อ ผีเผอที่ไหนวะ"
"อะ...เอ่อ..."
มองเต็มตาแบบนั้น ก็ไม่ใช่ผีจริงๆ นี่แหละ แต่ทำไมเขาหน้าดำขนาดนั้นอะ เหวย...นี่มันโคลนนี่นา เมื่อหายตกใจได้แล้ว เวียงพิงค์ก็กะพริบตาปริบๆ มองจ้องหน้าเขาอีกหน เขามอมไปด้วยโคลนเปื้อนไปถึงขนตา เหลือแต่ลูกกะตาจริงๆ หมดกันปลัดหาญชาย...ที่มีหน้าตาคมคายหล่อเหลา ทำเอาเธอถึงกับหัวเราะพรืดออกมา แล้วก็หัวเราะไม่หยุด จนเขาเคืองและปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนนั่น เปลี่ยนมาท้าวเอวแทน แล้วก็จ้องเขม็งมองเธอ ก่อนจะถามเสียงห้วน
"หัวเราะทำบ้าอะไร หะ! เด็กบ้า"
"คุณไปทำอะไรมาอะ คุณปลัด ทำไมอยู่สภาพนั้น ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาคะ"
เธอหัวเราะจนต้องปาดน้ำตาแล้วตอนนี้ ก็สภาพเขามันดูไม่ได้จริงๆ
"ไม่ได้ฟัดกะหมา รบกะควายต่างหาก"
เผลอบ่นพึม แล้วทำตาถลึงใส่เธอ เวียงพิงค์พยายามกลั้นหัวเราะ แต่ยิ่งกลั้นมันก็ยิ่งขำ
เขามองซ้ายมองขวาเพื่อจะหาห้องน้ำ ก่อนจะเดินดุ่มเข้าไปในนั้น เพื่อล้างตัว โดยไม่ต้องรอเจ้าของบ้านอนุญาต หล่อนมัวแต่ขำขนาดนั้นเขาคงจะพูดด้วยรู้เรื่องหรอก เขาเดินด้วยความโมโหดุ่มๆ มายังบ้านของยัยตัวแสบ กะจะสะสางเรื่องที่หล่อนวางตะปูกับรถของเขาสักหน่อย
เขาเจอเข้ากับควายตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหลุดมาจากไหน มันพุ่งใส่เขาทันที กะคนเขาพร้อมชน แต่กับควายยังไงก็ไม่ไหว ปลัดหนุ่มเลยวิ่งเตลิดหนีควาย เข้าไปในทุ่งนา ตกลงไปในหลุมโคลนที่ซ่อนอยู่ในทุ่งหญ้า จำต้องหมกอยู่ในโคลนเหม็นๆ ลื่นๆ ซ่อนตัวตรงนั้นนานเกือบครึ่งชั่วโมง เจ้าควายตัวนั้นถึงหายไป เขาก็เลยลุกขึ้นมาจากปลักโคลน เดินมายังบ้านกำนันด้วยความโมโหหนักแบบคูณสอง
ยัยตัวแสบ!
เขาล้างหน้าล้างตาแล้วเรียบร้อย ล้างตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำทั้งที่เปียกๆ นั่นแหละ เวียงพิงค์ยืนอมยิ้มอยู่ตรงนั้น แน่ล่ะภาพเขาติดตาหล่อนไปอีกนานแน่นอน
"มีธุระอะไรกับพ่อหรือเปล่าคุณปลัด นอกจากมาล้างโคลน"
เสียงหวานๆ นั้นว่า เขามองหน้าหล่อนด้วยนัยน์ตาดุๆ หล่อนเป็นสาวหน้าตาน่ารักมาก เลื่องลือกันล่ะเรื่องความสวยน่ารักของเวียงพิงค์ หล่อนมีใบหน้ากลม ตาโตแป๋วสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งรั้น ปากอิ่มเต็ม...ที่เขาเห็นครั้งแรกก็นิ่งไปเล็กน้อยกับความน่ารักนักหนาเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่น ยิ่งปากหล่อนเห็นแวบแรกอยากจะเม้มงับแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยวสักที แต่ก็ยิ่งเจอกันนานเข้า พบกันนานหน แม่เจ้าประคุณมีความแสบมากล้นพอๆ กับความน่ารัก ไม่รู้กำนันแกเลี้ยงดูสั่งสอนลูกสาวยังไงกัน ให้ห้าว ให้แสบขนาดนี้
"มีธุระกับเธอนั่นแหละ เวียงพิงค์"
เขาว่า ยืนเปียกน้ำนองพื้นบ้านเธออยู่ตรงนั้น เวียงพิงค์มองน้ำที่เปียกพื้นบ้านแล้วก็โวยขึ้นมาทันที ก่อนจะชี้นิ้วไล่เขา
"โอ๊ยน้ำเลอะบ้านหมดแล้ว พื้นปาเก้ด้วย ไปเลยปลัด ไปข้างนอก ไปคุยกันข้างนอก"
"ไม่จะคุยในนี้"
เขาว่าแล้วยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น แม่ตัวแสบมีหรือจะยอม หล่อนตรงดิ่งเข้าหาเขา หวังจะกระชากแขนเขาดึงไปข้างนอก แต่เขาก็ตัวโตกว่าหล่อนมาก แถมไม่ยอมตามแรงหล่อนด้วย เอาจริงแล้วแรงหญิงก็สู้แรงชายไม่ได้หรอก เวียงพิงค์ผู้ที่มีแต่คนยอมทำตามคำสั่งหล่อนมาตลอด ก็มองหน้าเขาด้วยนัยน์ตาวาววับอย่างโมโห
"เอ๊ะ ยังไงอะ มาทำบ้านคนอื่นเค้าเปียกแบบนี้"
"แล้วเธอล่ะ เป็นคนยังไงถึงได้วางตะปูรถคนอื่นเค้าแบบนั้น"