บทที่ 1
บทที่ 1
10 ปีต่อมา
(....ซินเพ่ยหนิง....)
วันเวลาล่วงเลยถึง 10 กว่าปี ที่ข้าได้เกิดมาบนโลกใบนี้ที่มีมารดาที่แสนดี แม้ฐานะที่ยากจนแต่ทุกอย่างกลับไม่ได้ดูด้อยกว่าคนอื่นมากนักมารดาของข้าเล่าเรื่องอดีตมากมายให้ข้าฟังว่านางทำอะไรมาบ้าง แต่ข้าก็ยังรักมารดาของข้าอยู่ดีเพราะเวลาที่นางลำบากนางยังรักและเลี้ยงดูข้า ข้าจะรังเกียจมารดาตนเองไปทำไมกัน ข้ารักนางยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก
“อาหนิง”
“เจ้าคะ ท่านแม่มีอันใดหรือ”
“เอาผักพวกนี้ไปส่งลุงจ้าวหน่อยสิอาหนิง”
“เจ้าค่ะ”
“รีบไปรีบมานะ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่คนงามข้าจะรีบไปรีบมา”
“เจ้าเด็กคนนี้”
ข้านำผักมาส่งลุงจ้าวขาประจำร้านผักท่านแม่ ที่ลุงจ้าวมารับซื้อผักท่านแม่บ่อยๆ เพราะว่าลุงจ้าวชื่นชอบท่านแม่มานานแล้ว แต่ท่านแม่บอกว่านางรักเพียงท่านพ่อที่ข้าไม่เคยเจอเลยตั้งแต่เกิดมา 16 ปี ท่านพ่อมีรูปร่างหน้าตาแบบใดท่านแม่ไม่เคยบอก แต่นางชอบบอกว่านางรักเพียงท่านพ่อและท่านพ่อก็รักพวกเราแม่ลูก ข้าว่าท่านแม่คงหลงมัวเมาในรักมากจนเกินไปเสียแล้ว
“ลุงจ้าว ข้าเอาผักที่ท่านอยากได้มาส่งแล้ว”
“อ้าวมาแล้วหรือ นี้เงินของเจ้า”
“ท่านลุงเหตุใดเงินถึงเยอะกว่าปกติ”
“ให้เป็นค่าขนมเจ้าลุงอยากให้เก็บเอาไว้อย่าบอกมารดาเจ้าเด็ดขาดนะ”
“แต่ว่า”
“เก็บเอาไว้เถอะนะ”
“เอ่อ...”
“นางคงไม่พอใจท่านล่ะมั้งลุงจ้าว ที่ให้เงินนางน้อยเกินไป”
“คุณชายฉี”
“ท่านลุงเรียกชื่อข้าก็พอ”
“คุณชายฉีท่านมีเวลามายุ่งวุ่นวายกับข้าเช่นนี้ คู่หมั้นท่านคงไปวัดสินะถึงออกมาวุ่นวายได้ขนาดนี้”
“เจ้านี้ยังปากร้ายเหมือนเดิมเลยนะ”
“ไม่ถึงขั้นท่านหรอกคุณชายฉี”
“เด็กไม่มีบิดาสั่งสอนเช่นเจ้าจะเก่งได้สักกี่น้ำกัน”
“เจ้า!”
“ทำไมโกรธหรือเอาสิโกรธให้ข้าดูหน่อยอยากเห็นเจ้าโกรธยิ่งนัก”
“จะไปไหนก็ไป!”
ข้าโมโหอีกฝ่ายมากตั้งแต่เด็กจนโตฉีเฟยมักมารังแกข้าอยู่เสมอ จนข้าไม่อยากยุ่งกับเขาที่สุด เพราะเขามักยกเรื่องที่ข้าไม่มีบิดา มาด่าว่าข้าเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่มีบิดาสั่งสอนแล้วอย่างไรในเมื่อข้าก็ไม่ต้องการบิดาอยู่แล้ว ข้าจนแล้วไงเงินที่ได้มาล้วนเป็นน้ำพักน้ำแรงที่ข้ากับท่านแม่หามาเอง ไม่ได้แบมีขอเงินใครเสียหน่อย ถ้าเรียนเก่งมีวรยุทธแล้วเป็นแบบฉีเฟยละก็ข้าเป็นแบบนี้ดีแล้วล่ะอย่าได้เหมือนเขาเลย
“กลับมาแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“โดนคุณชายฉีแกล้งมาอีกแล้วหรือ”
“เหมือนเดิมเจ้าค่ะ ท่านแม่เขาชอบว่าข้า รังแกข้าตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ข้าเบื่อเขาเสียจริงเจ้าค่ะ”
“เอาเถอะอย่าสนใจคนเช่นนี้เลย มาช่วยแม่ปักผ้าดีกว่า”
“เจ้าค่ะ”
งานเย็บปากถักร้อยหรืองานที่สตรีพึ่งทำได้ข้าเรียนรู้ได้หมดทุกอย่างมาตั้งแต่เด็กมารดาของข้าเป็นคนสอนข้า หมดทุกอย่างนางเคยบอกว่าในอานาคตเมื่อแต่งงานออกเรือนไปจะได้ไม่อายคนอื่นเขาข้าจึงเชื่อท่านแม่ และยอมฝึกทุกอย่างที่นางสอน ขนาดไม่ได้เรียนกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงข้ายังอ่านหนังสือออกแม้บทกลอนยากๆ ข้ายังสามารถท่องได้และจำได้ดีเพียงแค่ฟังครั้งเดียวมารดาข้าเคยบอกว่าข้ามีความจำและความสามารถเป็นเลิศไม่อายใครแน่นอนแต่ความเก่งของข้ามารดาเคยบอกว่าอย่าให้ใครรู้แกล้งเป็นคนโง่เช่นนี้ดีที่สุด
“เทศกาลลอยโคม ข้าไม่ไปประกวดสาวงามหรอกเจ้าค่ะ”
“แต่ลุงว่ามันดีนะเจ้าจะได้มีคนมาขอแต่งงานออกเรือนท่านแม่ของเจ้าจะได้สบายกว่านี้”
“ท่านลุงจ้าว ท่านลุงลืมหรือจำไม่ได้ว่าคนที่นี้รังเกียจเราสองแม่ลูกขนาดไหน ถ้าต้องไปประกวดจริงๆ ข้าว่าเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
“ลุงจะส่งเจ้าเข้าประกวดไง”
“ไม่เอาหรอกเจ้าค่ะ”
“ลุงเป็นคนส่งเจ้าเองไปเถอะนะ”
“แต่ท่านแม่ข้า...”
“ตามใจเจ้าเถอะแม่ไม่ห้ามเจ้า”
“แต่ข้าไม่อยากทำนี้เจ้าคะ”
“ทำเถอะ อย่างน้อยมันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”
“ท่านแม่คิดว่าดีข้าก็จะทำเจ้าค่ะ”
สุดท้ายแล้วข้าก็ต้องมาประกวดสาวงามอย่างน้อยมาประกวดแล้วตกรอบแรกก็ไม่เป็นไรหรอกจะได้รีบไปขายของเพื่อจะได้เงินนำมาใช้ได้ไม่ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ คนที่เข้ามาประกวดสาวงามมีคนที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นคุณหนูใหญ่ลู่เหมยลี่ที่มีผู้คนมากมายต่างมอบดอกไม้ให้มากมาย ข้าด้เพียง 50 ดอกเท่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนต่างแดนที่มอบให้แก่ข้า ตัวข้าจึงผ่านเข้ารอบจนเข้ารอบสองที่ต้องแสดงความสามารถทั้ง 5 ด้าน คือ
1. ดนตรี
2. หมากล้อม
3. เขียนพู่กัน
4. วาดภาพ
5. งานเย็บปัก
ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องทำในงานประกวดครั้งนี้สิ่งที่สตรีที่เพรียบพร้อมพึ่งมีต้องแสดงถึงความสามารถที่ตนมีให้ทุกคนรับรู้และตัดสินช่วยกันในงานประกวดสาวงามในคืนนี้
“การแสดงความสสามารถเริ่มขึ้นได้”
“เจ้าค่ะ!”
ข้าและคนอื่นๆ ต่างขานรับเสียงของผู้ประกาศก่อนจะเตรียมการแสดงของตนเองระหว่างที่ข้าคิดว่าจะแสดงความสามารถอะไรก็นนั่งคิดอยู่สักพักก็คิดออกมารดาของข้า เป็นถึงอดีตนางโลมที่มีความสามารถมากที่สุดข้าจึงเลือกที่จะแสดงดนตรีที่ข้าฝึกมาตั้งแต่เด็กนั้นก็คือ การเล่นฉินที่มารดาเคยบอกว่าเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านตามอบให้แก่นาง ข้าจึงเลือกเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ในการประกวดสาวงามนี้ ส่วนตัวของลู่เหมยลี่นางเล่นเครื่องดนตรีคือพิณ เป็นสิ่งที่นางเลือกมารู้เลยว่านางเอามาแข่งกับข้าโดยตรงไม่เคยรู้เลยว่านางอยากแข่งกับคนเช่นข้าหรือข้าจะคิดมากเกินไป
“ซินเพ่ยหนิง เลือกที่จะเล่นดนตรีคือ ฉิน เพลง หงส์คืนดิน”
สิ้นเสียงคนที่ประกาศข้าบรรเลงเพลงหงส์คืนดินที่มารดาของข้าเคยบรรเลงให้ฟังตั้งแต่เด็กๆ เพลงนี้กล่าวถึงหงส์สวรรค์นางหนึ่งที่โดนลงโทษให้เป็นมนุษย์ธรรมดาให้ผ่านด้านเคราะห์รักถึงห้าครั้งจึงจะกลับสวรรค์ได้ แต่ละครั้งนางได้พบเจอกับความรักถึงสี่ครั้งล้วนแล้วแต่เจ็บปวดจนครั้งสุดท้ายที่เกิดความรักนางกลับตายลงและไม่ได้กลับขึ้นสวรรค์กลายเป็นเพียงศิลาหินไร้ค่าอยู่ทางขึ้นสะพานเท่านั้น อารมณ์เพลงนี้เป็นเพลงที่บรรยายถึงความรักทั้งห้าครั้งของนางที่มีความสุขและเจ็บปวดก่อนที่เพลงที่ข้าบรรเลงนั้นจะจบลงไปพร้อมกับน้ำตาของคนฟังที่พากันร้องไห้และเช็ดน้ำตากันไปหลายคน เสียงปรบมือของทุกคนดังขึ้นมาก่อนที่จะเงียบลงไปหลังจบการแสดงของข้า
เวลานั้นผู้คนให้ดอกไม่ข้าหลายดอกจนข้าถือไม่ไหวจากนั้นการแสดงของคนอื่นๆ ก็ตามมาจนเวลาผ่านพ้นไปและเป็นข้าที่ได้ดอกไม้เยอะที่สุด รองจากข้าก็เป็นลู่เหมยลี่ที่ได้ดอกไม้น้อยกว่าข้าถึง 20 ดอก
“สาวงามในค่ำคืนนี้คือซินเพ่ยหนิง!!”
เสียงปรบมือดังขึ้นมามากมายแต่แล้วก็มีเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจนกลายเป็นที่สนใจแก่ผู้คนมากมายที่อยู่ที่นี้ ข้าเองก็หันไปมองนางทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยคิดว่าจะได้ตำแหน่งสาวงามในคืนนี้เลย
“หยุดก่อน นางไม่สมควรได้”
“ทำไมนางไม่สมควรได้”
“เจ้าอยากให้เมืองเราป่นปี้เพราะนางหรือมารดาของนางเป็นนางโลมขายตัวชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในเมืองนี้ เจ้ายังจะตำแหน่งนี้แก่นางหรือ!”
คำพูดของนางทำให้คนที่กำลังมอบรางวัลให้แก่ข้ารีบดึงคืนไปในทันที ข้าจำต้องปล่อยรางวัลนี้ไปทันทีข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่อยากประกวดสาวงามอะไรนี้ ข้าเดินออกมาจากงานเพราะถูกขว้างปาสิ่งของขึ้นมา ในใจข้าไม่อยากจะอยู่ตรงนี้เลยสักนิดข้าทำเรื่องน่าอายแก่มารดาอีกแล้วสินะ
“ซินเพ่ยหนิง รอลุงด้วย”
“ข้าไม่น่ามาที่นี้เลยท่านลุงจ้าว”
“ลุงผิดเองที่พาเจ้ามา ลุงไม่รู้ว่าตระกูลลู่จะใช้วิธีสกปกนี้”
“ช่างเถอะเจ้าค่ะ มันก็แค่ตำแหน่งเท่านั้นการชิงของคนอื่นไปคนๆ นั้นคงเป็นแค่คนด้อยค่ากว่าตัวข้าที่ถูกชิงไปเสียอีกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
“เจ้ากับแม่ของเจ้าทำบาปกรรมอะไรไปกันนะถึงได้โดนเช่นนี้”
“สวรรค์คงเกลียดเราสองแม่ลูกน่ะเจ้าค่ะ ถึงได้เป็นเช่นนี้แต่แล้วอย่างไรชีวิตของข้า ข้าขอเดินเองเลือกเอง”
ใช่ นี้คือสิ่งที่ข้าต้องการที่สุดข้าจะเลือกเส้นทางของข้าเองไม่ให้ใครเลือกให้เด็ดขาด ระหว่างที่ข้าเดินกลับบ้านกับลุงจ้าวนั้นก็มีคนสี่ห้าคนที่เดินตามข้ามาอย่างน้อยลุงจ้าวก็มากับข้าด้วยจึงอุ่นใจแต่เสียงดังข้างหลังทำให้ข้าต้องตกใจ
“ซินเพ่ยหนิง! หนีไปเร็ว!”
“ลุงจ้าว!”
“หนีไปเร็วเข้า!”
ข้าตกใจจนเกือบจะก้าวข้าไม่ออกคนพวกนั้นวิ่งตามข้ามาแต่ลุงจ้าวถ่วงเวลาเอาไว้แต่ก็ถูกทำร้ายจนสลบไปข้าเองก็วิ่งสุดชีวิตข้าจะต้องรอดไปให้ได้ ข้าไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นใครแต่การที่วิ่งไล่ตามข้าเช่นนี้คงไม่ประสงค์ดีกับข้าแน่นอน ตั้งแต่เกิดมาข้าพึ่งรู้ว่าตัวเองวิ่งเร็วถึงเพียงนี้ไม่เช่นนั้นคนพวกนั้นจะวิ่งช้ากว่าข้าได้อย่างไร
พลั๊กกกกก!!!!!
ใครกัน!!!
“ฉะ ฉีเฟย!”
“เจ้าหนีใครมากัน”
“หนีเร็ว”
“เจ้าหนีใครกันตอบข้ามา”
“ใครก็ไม่รู้วิ่งตามข้ามาแถมยังทำร้ายลุงจ้าวอีกด้วย เจ้าช่วยข้าด้วย”
“อะไรนะ ทำร้ายลุงจ้าวแล้ววิ่งไล่ตามจะจับเจ้า”
“ช่วยข้าด้วยนะฉีเฟย”
“จับตัวนาง!!!!”
“พวกเจ้าเป็นใครกันบังอาจมารังแกนางเช่นนี้”
“ไม่ต้องสนใจมันจับนางมาก็พอ”
“ขอรับ!”
“ซินเพ่ยหนิงเจ้าถอยไปข้าจะจัดการมันเอง”
“อืม”
ข้าหลบไปในที่ปลอดภัยตามความรู้สึกของข้าเองแต่ก็มีคนพวกนั้นบางคนถือผ้ามาหาข้าแม้ว่าฉีเฟยจะเก่งกาจแต่เขาก็สู้กับคนพวกนั้นโดยที่ไม่ได้รู้ว่าคนพวกนั้นมันลอบมาอีกด้านเพื่อจับตัวข้าแล้ว
“อื้ออออ!!!”
ผ้าที่ใช้ปิดจมูกของข้านั้นมีกลิ่นหอมแปลกๆ ทำให้ดิ้นรนออกจากตัวคนที่กำลังจับตัวข้าเอาไว้ข้าหลุดออกจากการจับกุมของอีกฝ่ายแต่อาการในตอนนี้ของข้าทำให้ตัวข้าอ่อนแรงแล้วรู้สึกว่าตัวร้อนไปหมด คนพวกนั้นสาดผงบางอย่างใส่ฉีเฟยทำให้อีกฝ่ายหนีไปได้เพราะรู้ว่าสู้ไม่ไหวจึงชิงหนีเอาตัวรอดไปก่อน
“ฉีเฟย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ คนพวกนั้นสาดผงอะไรไม่รู้ใส่ข้า”
“ไปลำธารใกล้ๆ ไปล้างออกดีกว่าถ้าเผื่อมีพิษ”
“อืม”
ข้าพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าเริ่มอ่อนแรงลงไปมากกว่าเดิมเมื่ออยู่ใกล้กับฉีเฟย เหมือนเขาจะรู้สึกตัวว่าข้ามีอะไรผิดแปลกไปจึงหันมามองข้าทันที
“เจ้าคงไม่โดนอะไรแปลกๆ หรอกนะ”
“ข้าไม่รู้คนพวกนั้นเอาผ้ามาปิดจมูกข้าทำให้ข้าอ่อนแรงไป อือออ”
“ตัวเจ้าร้อนแปลกๆ ถึงลำธารแล้ว”
“ข้ารู้สึกแปลกๆ”
“ข้าก็เหมือนกันมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือว่าเจ้ากับข้าโดนยาสวาทของเจ้าพวกนั้น”
“ขะ ข้าไม่รู้....”
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
“ฉีเฟยเจ้าจะทำอะไรข้า ปล่อยเดี๋ยวนี้ตั้งสติหน่อย!”
“ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ไหว อื้อ!”
ตัวข้าถูกกระชากเข้าไปภายในกระท่อมในไร่ชาวบ้านคนใดก็ไม่รู้ ตอนนี้ข้ากลัวฉีเฟยกว่าสิ่งใดแล้วในตอนนี้เขา ขาดสติท่าทางดุร้ายเหมือนสัตว์ป่าที่ข้าไม่เคยพบเจอแม้ว่าข้าจะโดนอย่าปลุกสวาทอะไรนั้นแต่ข้าไม่เคยที่จะคิดเรื่องเช่นนี้เลยสักนิดตอนนี้ความหวาดกลัวมันตีขึ้นมาควบคู่ความรู้สึกในตอนนี้
“ข้าขอโทษนะ”
“ปล่อยข้านะ! อื้ออออออ!!!!!!”
ร่างกายที่ชอกช้ำนั้นทำให้จิตใจที่เจ็บปวดจากการถูกย้ำยีเมื่อคืนเจ็บร้าวขึ้นมาทันทีที่ตื่นขึ้นมาข้างกายของข้ามีฉีเฟยนอนกกกอดมองดูแล้วเหมือนรักใคร่กันแต่เปล่าเลย ข้าไม่ได้รักเขาและเขาก็ไม่ได้รักข้าแต่อย่างใด
“มาเร็วๆ มาดูนังเด็กขายตัวเหมือนมารดานางนอนกกกอดกับบุรุษนับสิบคนที่กระท่อมนี้”
เสียงของคนมากมายดังขึ้นทำให้ข้าสะดุ้งตัวและคนข้างกายของข้าก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนที่จะมองหน้าข้าอย่างไม่พอใจข้าอย่างเห็นได้ชัด คนที่อยู่ด้านนอกก็แห่กันเข้ามาที่นี้อย่างกับนัดหมายกันเอาไว้และข้ารู้ว่าเมื่อคืนคือความตั้งใจของใครบางคนที่ต้องการกำจัดข้าคนนี้
คนๆ นั้นคงต้องการให้ข้าได้รับความอับอายจนต้องฆ่าตัวตายเป็นแน่แท้ ข้าอยากรู้จริงๆ คนเช่นนี้จะตายเพราะใครกันแน่แต่โชคร้ายของฉีเฟยที่เข้ามาช่วยเหลือและโดนร่างแหเข้าด้วยจึงกลายเป็นเช่นนี้
ปังงงงงงงงงงง!!!!
โครมมมมมมมมม!!!!!!
“นี้ไง เอ๊ะ!”
“คุณชายฉี!!”
“นี้มันคู่หมั้นของคุณหนูลู่นี้น่า”
เสียงนินทาว่าร้ายดังขึ้นมาไม่หยุดก่อนที่จะมีคนกระชากข้าลากถูข้าออกมาจากกระท่อมร่วมกันทำร้ายร่างกายของข้าอย่างบ้าคลั่งตัวข้าโดนชาวบ้านลงมือทุบตีขวางป้าก้อนหินใส่ข้าอย่างไม่อ้อมแรง เกิดมาข้าไม่เคยแม้แต่โดนมารดาตีข้าคนพวกนี้เป็นใครกล้าทำข้าเช่นนี้