บทที่ 3 โน้มน้าว
ตะวันคล้อยลงต่ำจนเกือบเย็นย่ำ บ่ายแก่ในวันธรรมดาเมืองใหญ่ยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คนไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองท้องถิ่นหรือนักเดินทางจากต่างแดน เมืองเหวินโจวจัดได้เป็นเมืองไม่หลับไหลเมืองหนึ่งเนื่องจากสภาพภูมิประเทศติดทะเลซึ่งมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและเปิดรับกะลาสีสัญจรตลอดเวลา
ทำให้มีการเทียบท่านำสินค้าขึ้นฝั่งเพื่อค้าขายอย่างคับคั่งทั้งกลางวันและกลางคืน
นายน้อยตระกูลจง จงอี้หยางที่มีสายเลือดวาณิชย์เต็มตัวมักท่องไปในเมืองที่มีลักษณะเดียวกันนี้บ่อยครั้ง แม้วิญญาณในร่างจะไม่ใช่ดวงเดิมแต่ลึก ๆ ในก้นบึ้งของหัวใจยังอดที่จะคุ้นเคยไม่ได้
พุทธคุณนิยามมันว่า...กลิ่นอายเงินทอง
ไม่แปลกที่เจ้าของร่างนี้จะรู้สึกอบอุ่นเหมือนกลับบ้าน
ชายหนุ่มตัวหดจับมือสาวใช้ข้างกายมารดาแน่นขึ้นอีกนิด กำหนดจิตมั่นคงไม่ให้สัญชาตญาณติดตัวเข้าครอบงำจนวิ่งเข้าหาข้าวของแปลกตา
ก่อนหน้านี้หลังจากปลอบประโลมซินซินเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็พากันออกจากโรงหมออย่างไม่เร่งรีบ สตรีแบบบางเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ ว่าตอนนี้ตนอาศัยอยู่กับครอบครัวเถ้าแก่ร้านซาลาเปาภายในเมืองท่าเหวินโจว ประกอบด้วยชายวัยกลางคนนามตงโปและลูกชายวัยใกล้เคียงกับซินซินชื่อตงป๋าย
ทั้งคู่ช่วยให้ที่พักและออกค่ารักษาส่วนใหญ่อย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
เพื่อตอบแทนซินซินนอกจากจะดูแลเขาแล้วยังช่วยดูแลบ้านและงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สองพ่อลูก
แน่นอนว่าต่อให้ในสายตาสาวใช้ตระกูลใหญ่จะมองว่ามันเป็นงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำหรับครอบครัวขนาดเล็กที่มีฐานะปานกลางพอกินพอใช้ซินซินเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบ
กุลสตรีที่เยี่ยมยอดทุกกระเบียดนิ้ว
แล้วก็น่าสงสาร!
ดังนั้นตอนนี้เพราะยังไม่มีที่ไปและยังคิดหาแนวทางเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้าไม่ออกซินซินจึงตั้งใจที่จะพาเขากลับบ้านสกุลตงก่อน ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็แห้งกรอบไร้เงินทองของมีค่าที่จะสามารถขายได้ติดตัว แม้จะกระดากอายแต่ไปที่บ้านตงก็ยังพอพึ่งใบบุญมีที่ให้นอน มีข้าวให้กินอิ่มท้อง ในอนาคตหากไม่ตายไปเสียก่อนย่อมหาโอกาสตอบแทนบุญคุณ
สำหรับพุทธคุณแม้จะยังหาเหตุผลที่ตนเองกลายเป็นผีร้ายสิงสู่ร่างผู้อื่นอย่างในตอนนี้ไม่ได้แต่ก็ตัดสินใจปรับตัวใช้ชีวิตในฐานะจงอี้หยางชั่วคราวไปก่อน หากในอนาคตเขายังหาทางออกจากร่างนี้โดยไม่ก่อกรรมหนักไม่ได้ เขาอาจจะออกบวชเพื่อบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่เด็กชายตัวน้อยและครอบครัวต่อไป
สาวใช้ของมารดาจะว่าอย่างไรเขาก็ทำตัวเป็นเด็กดีเออออตามไปก่อน
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านก่ออิฐขนาดกลางที่มีรั้วรอบขอบชิด ถือได้ว่าหรูหราสำหรับชาวบ้าน
ตงโปและตงป๋ายอยู่ในบ้าน ชายต่างวัยสองคนกำลังจัดเก็บเครื่องไม้เครื่องมือทำมาหากิน เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาจากตลาดท่าเรือก่อนหน้าพวกเขาที่เดินมาจากโรงหมอที่อยู่อีกทิศไม่นานนัก
“ข้าช่วยเจ้าค่ะ พวกท่านพักก่อนเถอะ” ซินซินพานายน้อยของตนเองไปนั่งที่แคร่ไม้แล้วปรี่เข้าไปช่วยงานพ่อลูกผู้มีพระคุณอย่างเป็นธรรมชาติ หากไม่ใช่เขาที่รู้ว่าซินซินเพิ่งรู้จักครอบครัวนี้ได้ไม่นานคงคิดไปแล้วว่านางใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวนี้มาแรมปีจนกลมเกลียว
“...” คนหนุ่มไม่พูดพร่ำรีบยกของเข้าหลังบ้านก่อนจะถูกแย่งไปเหมือนวันก่อน
ในขณะที่ชายวัยกลางคนร้องห้ามพัลวัน “เพ้ย ไม่เป็นไร ๆ แม่นางน้อยเจ้าไม่ต้อง ๆ”
ซินซินส่ายศีรษะยืนยันหนักแน่น “ไม่เป็นไรไม่ได้เจ้าค่ะ ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะนะเจ้าคะ”
หญิงสาวมือเท้าว่องไว ไม่รอให้ตงโปได้ทันตั้งตัวนางก็หอบหิ้วหม้อและถาดขนาดใหญ่ตามตงป๋ายหายลับไปแล้ว ปล่อยให้ที่ลานบ้านเหลือไว้เพียงชายอ้วนกับเด็กตัวขาว
ตั้งแต่มีหญิงสาวเข้ามาช่วยงานในบ้านสองสามวันมานี้ชีวิตพวกเขาพ่อลูกคล้ายจะสุขสบายขึ้นอักโข
ผู้ใดบ้างไม่ชอบที่บ้านสะอาดสะอ้าน
เสื้อผ้าเก่าขาดก็มีคนเย็บปะชุนให้ กลับมาถึงบ้านยังมีน้ำและอาหารกลิ่นหอมคอยท่า!
จงอี้หยางหัวเราะเบา ๆ “ให้นางทำเถอะขอรับ ซินซินอยากตอบแทนพวกท่าน”
“เฮ้ยยย..” ตงโปพรูลมหายใจยาว เดินอุ้ยอ้ายนั่งลงบนแคร่เดียวกันกับหนุ่มน้อย
“ข้ากลัวว่านางจะเหนื่อย ตัวเล็กเพียงเท่านั้น กินนิดเดียวแต่ทำงานไม่ได้หยุดพักเลย ว่าแต่เจ้าดีขึ้นแล้วหรือคุณชายน้อย เจ็บมาหลายวันรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบคุณที่ดูแลข้ากับซินซินนะขอรับ” ทายาทสกุลจงคนสุดท้ายค้อมศีรษะ “ตอนนี้ข้าดีขึ้นแล้วขอรับ ยังเจ็บอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่”
“อืม ดี ๆ ๆ แม่นางซินซินเป็นห่วงเจ้ามากนะ”
“ข้าทราบขอรับ”
ชายหนุ่มในร่างเด็กยิ้มรับแทรกซึมเข้ากันได้ดีกับครอบครัวเถ้าแก่ร้านขายซาลาเปา บรรยากาศของครอบครัวที่มีเด็กชายกับหญิงสาวเพิ่มขึ้นมาไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใด พวกเขาคล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกันเสียด้วยซ้ำ
แม้แต่ตงป๋ายยังเจริญอาหารขึ้นหลังจากกินได้ไม่ดีมาตั้งแต่ที่ภรรยาและลูกน้อยจากไป
หลังมื้ออาหารยังสามารถพูดคุยหยอกล้อกันต่อ
ทว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา จงอี้หยางหาช่องจังหวะสูดลมหายใจลึก ๆ กล่าวขอบคุณรวมไปถึงบอกกล่าวสถานการณ์ตอนนี้ของตนเองกับสาวใช้ตามตรง
“ข้ากับซินซินซาบซึ้งบุญคุณเถ้าแก่ตงกับคุณชายตงมากขอรับ แต่อย่างที่ท่านทราบสถานการณ์ของข้าไม่สู้ดีนัก หากข้ายังอาศัยพึ่งพาพวกท่านจะนำภัยและความเดือดร้อนมาได้”
“บุญคุณที่รับไว้วันนี้ วันหน้าจะต้องตอบแทนแน่นอนขอรับ” จงอี้หยางลุกขึ้นจากเก้าอี้คำนับเต็มพิธีการ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลือกช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักมักจี่
โดยเฉพาะคนที่ดูเหมือนจะเพิ่งถูกตามฆ่ามาหมาด ๆ พ่อลูกผู้มีพระคุณของเขาเป็นคนดีมากจริง ๆ
“ไม่ ไม่ ไม่อย่าพูดอย่างนั้น” ตงโปได้ฟังเรื่องราวของสองนายบ่าวยิ่งไม่ต้องการให้ทั้งคู่จากไป หาเหตุผลชักแม่น้ำทั้งห้ามากมายเพื่อที่จะรั้งหญิงสาวกับเด็กชายเอาไว้ “ข้ากับลูกชายไม่ได้เดือดร้อนแม้แต่น้อย พวกเจ้าอยู่ที่นี่ตามสบายเถอะ คุณชายน้อยยังไม่หายดีไม่ใช่หรือ ไม่ต้องรีบเร่งเดินทางนัก”
“วางใจเถอะเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกว่าตอนนี้คุณชายไม่เป็นไรแล้ว สามารถเดินทางไกลได้เจ้าค่ะ” ซินซินยิ้มบาง ใบหน้าน่ารักสดใสยินดีที่นายน้อยของนางสบายดี
“แต่สตรีกับเด็กเดินทางเพียงลำพัง นั่น นั่นจะอันตรายมาก..” ตงป๋ายเอ่ยค้านขึ้น
“เถ้าแก่ตงท่านดีกับข้าและคุณชายมาก”
ชายร่างท้วมห่อไหล่ลงเล็กน้อย ใบหน้าขอตงโปหม่นลงเมื่อตระหนักว่าตนเองไม่สามารถโน้มน้าวคนเอาไว้ได้ “พวกเจ้าเหมือนหลานชายกับลูกสะใภ้ของข้ามากจริง ๆ”
ตงป๋ายซึ่งเงียบฟังมานานพรูลมหายใจ ริมฝีปากเหยียดตรงเปล่งเสียงทุ้ม “พวกเจ้ามีจุดหมายแล้วหรือ”
“ยังขอรับ” จงอี้หยางยอมรับโดยดุษฎี
ไม่ต้องพูดถึงเมืองหลวง แม้จะพูดได้ว่าเป็นบ้านแต่ก็เป็นบ้านที่ไม่ปลอดภัยที่สุด
“เดินทางสองคนแล้วยังไม่มีจุดหมาย พวกเจ้าคงไม่คิดว่าจะหนีได้ปลอดภัยตลอดรอดฝั่งใช่หรือไม่” ชายตัวใหญ่ขมวดคิ้วหนา ใบหน้าดุดันขึ้นเล็กน้อย “เงินเล่า พวกเจ้าไม่มีติดตัวแม้แต่อีแปะจะเดินทางอย่างไร แม่นางซินซินเจ้าเดินไหวแต่คุณชายเจ้ายังเด็กจะเดินไหวหรือ”
“เข้าป่า อย่าพูดถึงเสือหากพวกเจ้าไม่ได้เหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่จนต้องรนหาที่ตาย”
“...”
คนพูดน้อย พูดครั้งหนึ่งเจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจ