บทที่ 2 พุทธคุณ
“อึก อือ..”
ภายในโรงหมอสะอาดสะอ้านอันเป็นที่รู้จักดีของเมืองเหวินโจวร่างของเด็กชายตัวขาวค่อย ๆ ปรือดวงตาหงส์สีน้ำตาลอ่อนขึ้นปรับความชัดเจนของภาพเบื้องหน้าอย่างยากลำบาก จมูกรั้นสูดอากาศซึ่งคละคลุ้งด้วยกลิ่นสมุนไพรฟุดฟิด เสียงเล็ก ๆ ครวญครางอืออาจากในลำคอขาดห้วงอย่างน่าสงสาร
พุทธคุณนิ่วหน้ายับยู่ยี่เพราะอาการปวดหัวที่มาพร้อมกับความทรงจำของเด็กชายที่มีชื่อว่าจงอี้หยาง
เกิดอะไรขึ้น..
อดีตชายหนุ่มตัวสูงถามคำถามไร้คนตอบ ความทรงจำสุดท้ายที่เป็นของตนเองคือตอนที่ร่างกายถูกรถสัญชาติผู้ดีพุ่งชนขณะช่วยหญิงชราสติไม่ดีข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย
เสียง ‘ปี๊บ!!!’ แหลมสูงของแตรรถยังดึงกึกก้องอยู่ในใบหู
เมื่อความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายถูกทำให้เชื่องช้าประหนึ่งภาพนิ่ง พุทธคุณมองเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มที่ไม่สามารถควบคุมรถของตนเองได้ มองเห็นดวงตาเบิกโพล่งของผู้คนโดยรอบ
มองเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของแม่เฒ่าสติไม่สมประดีราวกับไม่ได้มองคนที่กำลังจะตาย
บางทีที่เขาว่าคนบ้าคือคนที่มีความสุขที่สุดอาจจะเป็นความจริง
เอาเถอะ
ชั่ววินาทีที่ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วทั้งร่างกายก่อนที่กลไกสมองจะตัดความรู้สึกนั้นไปพร้อมกับภาพโดยรอบไรเดอร์ส่งอาหารของแอพพลิเคชั่นชื่อดังวัยยี่สิบสองมั่นใจว่าตนเองหมดกรรมจากโลกคนเป็นพร้อมกับความคิดติดค้างที่ว่าคงไม่มีโอกาสได้ไปส่งข้าวหน้าปลาไหลแสนแพงให้กับลูกค้าคอนโดหรู
แม้จะตกใจและรู้สึกผิดกับท้องไส้ของลูกค้าผู้หิวโหยนิดหน่อยแต่คนหนุ่มในร่างเด็กไม่คิดถือสาหาความคนขับรถราคาแรง พุทธคุณเติบโตมาในวัดพร้อมกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเรื่องกรรมเวร
เกิด แก่ เจ็บ และตาย
วงเวียนที่หมุนรอบตัวเหล่านี้เป็นวัฏจักรชีวิตเวียนว่ายตายเกิด
แต่..
นี่มันแปลกไปหน่อย
ไรเดอร์หน้าจืดเคยจินตนาการช่วงชีวิตหลังความตายเกือบทุกครั้งที่คอยช่วยสัปเหร่อวัดทำศพญาติโยม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อว่าด้วยเรื่องยมโลกของแต่ละศาสนา หรือแม้กระทั่งการกลายเป็นสสารหรือคลื่นความถี่บางอย่างตามหลักวิทยาศาสตร์
ทว่าไม่เคยเลยที่จะคิดไกลไปถึงสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
มันน่าตกใจเกินไปที่แทนที่เขาซึ่งมั่นใจว่าตนเองตายไปแล้วจะได้ไปเกิดใหม่ในภพชาติอื่นกลับกลายเป็นวิญญาณสวมร่างคนตาย
พุทธคุณอดจะหยุดชั่งใจไม่ได้ว่าควรเรียกตนเองว่าผีร้ายหรือไม่
ตามหลักแล้วก็น่าจะใช่
“คุณชาย!”
อย่างไรก็ตามก่อนที่ชายหนุ่มจะได้หาคำตอบให้กับวิญญาณตนเองร่างของหญิงสาวที่คุ้นเคยในความทรงจำของเจ้าของร่างพลันปรากฎกายขึ้นทั้งน้ำตา ใบหน้าของนางมีทั้งความสุขและความทุกข์ระคนกันไปยากจะกล่าว
เด็กชายเปล่งเสียงอย่างไม่แน่ใจ “ซิน.. ซินซิน”
“ผู้น้อยเองเจ้าค่ะคุณชาย ผู้น้อยซินซินเองเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวบางคุกเข่าลงข้างเตียงคนป่วยพลางสะอื้นฮักตัวโยน บ่าวที่แทบจะสิ้นไร้เจ้านายเคว้งคว้างในลมพายุที่เรียกว่าชีวิตโหมกระหน่ำแนบแก้มลงบนฝ่ามือนุ่มของผู้สืบสกุลที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของสกุลจง
ซินซินปลื้มปิติมากที่นายน้อยของตนเองฟื้นหลังจากหลับไปนานถึงสามวัน ทว่าในขณะเดียวกันก็โศกเศร้าเหลือเกินที่ได้ข่าวว่าขบวนกองคาราวานตระกูลจงไม่มีผู้รอดชีวิต
ตอนนี้ตนเองและนายน้อยไม่ต่างจากนกน้อยที่ไร้ต้นไม้ใหญ่ให้พึ่งพิง
มิหนำซ้ำอาจจะถูกตามล่าเอาชีวิตได้ตลอดเวลา
“...”
ชายหนุ่มย่อส่วนมองอารมณ์ของสาวใช้ข้างกายฮูหยินตระกูลจงได้อย่างไม่ยากเย็น เมื่อทบทวนความทรงจำล่าสุดเล็กน้อยจึงไม่ยากเลยที่จะอนุมานสิ่งที่เกิดขึ้น
จงอี้หยาง เด็กชายวัยหกหนาวผู้เกิดมาพร้อมกับความรักเปี่ยมล้นจากครอบครัวและผู้คนรอบข้าง นิสัยค่อนข้างดี ช่างพูดช่างเจรจา ร่าเริงสดใสตามวัย อาจจะเอาแต่ใจนิดหน่อยเพราะเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวที่ประคบประหงมเขาราวกับไข่ในหิน อย่างไรก็ดีอี้หยางไม่ใช่เด็กไม่รู้ความ ตั้งแต่ยังไม่รู้ภาษาเขาออกเดินทางกับกองคาราวานของพ่อแม่ พบปะผู้คนมากมาย กระบวนการคิดและวางตัวของเขาหลาย ๆ อย่างจึงค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน
ตั้งแต่ต้นเขาถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นที่รักและเป็นผู้นำตระกูลคหบดีใหญ่ในอนาคต
น่าเสียดายที่เด็กน้อยอยู่ไม่ถึงวันนั้น
สาเหตุการตายของเขามาจากการกระแทกที่ศีรษะอย่างรุนแรง จากภาพความทรงจำในตอนที่กองคาราวานถูกจู่โจมเด็กชายผู้กล้าหาญใช้ตัวเองปกป้องแม่ของเขา
ทว่าเด็กชายตัวไม่สูงไปกว่าเข่าสักเท่าไหร่หรือจะสู้แรงชายฉกรรจ์ตัวยักษ์
ร่างกายเล็ก ๆ ของจงอี้หยางถูกเหวี่ยง พุทธคุณไม่แน่ใจว่าหัวของผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลจงกระแทกกับอะไรในมุมมองที่ได้สัมผัส อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นภาพก็ถูกตัดไปเหมือนโทรทัศน์ที่ถูกดึงปลั๊กออกจากเต้าเสียบ
มองดูจากที่สาวใช้ของมารดาร้องไห้ปานจะขาดใจทั้งสุขทั้งเศร้าในเวลาเดียวกัน สามีภรรยาคหบดีตระกูลจงคงไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าแล้ว
จงอี้หยางตัวน้อยก็ไล่ตามพ่อแม่เขาไปติด ๆ
วิญญาณสวมร่างคลี่รอยยิ้มบาง ปลอบประโลมผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวของตระกูลจง ซินซินคือผู้รอดชีวิตอย่างแท้จริงหากไม่นับตัวเขาที่ยืมกายหยาบของผู้อื่นมีชีวิต “ซินซินอย่าเศร้าไปเลย ท่านพ่อท่านแม่เพียงไปรอข้ากับเจ้าอยู่บนฟ้าเท่านั้น”
“คุณชาย.. ข้า ข้า” สาวใช้ข้างกายฮูหยินสกุลจงอ้า ๆ หุบ ๆ ปาก พยายามที่จะหาคำพูดออกมาปลอบประโลมคุณชายผู้เป็นดั่งสมบัติชิ้นเดียวที่นายหญิงผู้เป็นที่รักฝากฝังนางไว้ ทว่าจนแล้วจนรอดทั้งที่เตรียมคำพูดไว้มากมายกลับไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
นางช่างไม่ได้เรื่อง
โดยเฉพาะทันทีที่นางสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคล้ายกับว่าเข้าใจทุกอย่าง แขนเล็กโอบกอดบ่าวผู้ภักดี เปล่งเสียงเนิบช้าเป็นจังหวะซ้ำ ๆ “ไม่เป็นไรซินซิน ไม่เป็นไร”
“...ฮึก”
คุณชายอี้หยางของนางเพิ่งหกหนาวเท่านั้น
ด้วยวัยเพียงเท่านี้คุณหนูคุณชายจากตระกูลใหญ่ยังคงวิ่งเล่นมีความสุขในกรงทอง ทว่าคุณชายน้อยของนางกลับต้องรับรู้ความจริงที่ว่าครอบครัวอันเป็นที่รักได้จากไปแล้ว
บ่าแคบของเด็กชายที่ยังไม่ทันได้เติบโตเต็มวัยต้องแบกรับภาระหน้าที่ของหัวหน้าตระกูลจงนับจากนี้
คุณชายของนางช่างน่าสงสารยิ่งนัก!
ผิดกับพุทธคุณในร่างของจงอี้หยาง วิญญาณชายหนุ่มไม่ได้คิดเรื่องการแบกรับภาระหน้าที่ของหัวหน้าตระกูลคหบดีใหญ่แห่งเมืองหลวง ทว่ากำลังสวดแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลบทใหญ่ให้กับครอบครัวและผู้ล่วงลับของตระกูลจงอย่างตั้งอกตั้งใจ
“อายุ ขียติ มจฺจานํ” เปล่งเสียงพุทธสุภาษิตภาษาสันสกฤตชัดถ้อยชัดคำ
“...”
ซินซินกระพริบตาสองสามครั้ง น้ำตาคล้ายจะเหือดหายขณะเอียงศีรษะฟังภาษาประหลาดที่ไม่เข้าใจ
เด็กชายเอ่ยคำแปลอ้อยอิ่ง “อายุของคน ย่อมหมดสิ้นไป”
สลับบทบาทหน้าที่ระหว่างผู้ปลอบกับผู้ถูกปลอบอย่างแนบนียน ซินซินปล่อยโฮแผ่วเบาเป็นนางเสียเองที่ถูกเด็กชายที่ยังไม่แตกหนุ่มปลอบโยน
ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ