บทที่ 1 พบพาน
เช้าตรู่วันใหม่มาเยือนพร้อมกับความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ ที่มุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งทางทิศใต้ของแคว้นต้าเซี่ย ณ ทางเดินทอดยาวรกครึ้มห่างออกมาจากตัวเมืองเหวินโจว ซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขาและมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตา ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์กำลังหิ้วตะกร้าสานขนาดใหญ่ส่งกลิ่นหอมของแป้งนึ่งขึ้นเขาเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองนับถือ
ตงโป มักทำเช่นนี้สัปดาห์ละหลายหนตลอดสามปีนับตั้งแต่สูญเสียลูกสะใภ้และหลานชาย
โศกนาฏกรรมที่ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดขึ้นครั้งนั้นทำให้เขาและบุตรชายคนเดียวหัวใจแตกสลาย กว่าจะกลับมายืนหยัดได้ก็เสียเวลาไปอักโข จนตอนนี้แม้ภายนอกจะยิ้มแย้มแต่ยังไม่สามารถพูดว่าทำใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ดังนั้นการขึ้นเขาไปปัดกวาดศาลเจ้าเก่าแก่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำอย่างน้อยก็ทำให้เขาคลายความเศร้าลงสองถึงสามส่วน ทั้งยังหวังว่าบุญกุศลที่ทำไว้จะทำให้ชีวิตหลังความตายของแม่ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดี
เสี่ยวป๋อตัวน้อยจะได้กินซาลาเปาไส้เนื้อที่ชื่นชอบในทุก ๆ วัน
แอ๊ด..
บานประตูไม้ผุพังส่งเสียงเสียดหูขณะถูกผลักอย่างทุกครั้ง สภาพภายในศาลเจ้ากลางป่าเขาไม่ต่างจากภายนอก สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ให้พอรู้ว่าเป็นสถานที่สำหรับสักการะบูชา โดยรวมแล้วมีเพียงกระถางธูปสีทึมที่ดูไม่ออกว่าเคยสร้างขึ้นมาจากอะไร โต๊ะไม้เตี้ย ๆ ที่มีซาลาเปาเย็นชืดจากเมื่อวานอยู่บนนั้น และรูปปั้นหินสลักของเจ้าแม่ผู้ครอบครองศาลเจ้า-
เจ้าแม่ฮุ่ยซิน
แตกต่างจากเทพธิดาองค์อื่นซึ่งมีรูปลักษณ์ของหญิงสาววัยแรกรุ่นและสวมใส่อาภรณ์ประณีตชดช้อยอยู่ในท่วงท่างามตา ที่ศาลเจ้าแห่งนี้เจ้าแม่ฮุ่ยซินมีรูปลักษณ์ของหญิงชราใจดีที่มีใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมด้วยเมตตา
ตงโปคิดว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่แทนจะเรียกขานท่านว่าเทพธิดากลับถูกเรียกขานว่าเจ้าแม่แทน
อย่างไรก็ดีทิวทัศน์จำเจวันนี้กลับแตกต่างออกไป
ตุบ..!
เสียงตะกร้าสานหลุดร่วงจากมืออวบดังชัดเจนในความสงบยามเช้าตรู่ แม้มันจะเป็นเสียงที่มักถูกเมินในช่วงเวลาปรกติแต่สำหรับหญิงสาวที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมาอย่างกระชั้นชิดมันไม่ต่างอะไรกับเสียงระฆังโมงยาม
ซินซินสะดุ้งตื่นขึ้นจากนิทราเพราะเสียงของตะกร้าที่ตกลงพื้น หญิงสาวรีบกอดร่างของนายน้อยสกุลจงเอาไว้แน่น ดวงตากลมโตวาววาบมองตรงไปที่ชายร่างท้วมอย่างไม่ไว้วางใจ
โดยไม่มีผู้คนสังเกตร่างเด็กชายที่หยุดหายใจไปแล้วกลับมาหายใจอีกครั้งอย่างรวยริน
ตงโปแบฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาระดับใบหน้า “แม่นาง ข้าไม่ได้มาร้าย”
เถ้าแก่ร้านซาลาเปาไม่คิดด้วยซ้ำว่าการขึ้นเขาในตอนเช้าตรู่จะทำให้เขาได้พบหญิงสาวและเด็กชายตัวขาวนอกเหนือไปจากฝุ่นหนาเขรอะและกองใบไม้ทับถม ยิ่งไปกว่านั้นร่างระหงส์ที่เขาพบเจอยังเนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลนและเต็มไปด้วยบาดแผล ถึงอย่างนั้นนางก็ยังกอดปกป้องเจ้าก้อนแป้งนุ่มเอาไว้อย่างหวงแหน
เหมือนกับภาพสุดท้ายของลูกสะใภ้และหลานชายหลังเหตุการณ์ดินถล่มซึ่งพรากลมหายใจพวกเขาไปไม่มีผิด แตกต่างตรงที่หญิงสาวและเด็กชายตรงหน้าเขายังมีชีวิตอยู่
แม้ไม่สมควรแต่ช่วยไม่ได้ที่ชายวัยกลางคนจะย้อนรำลึกถึงผู้ล่วงลับ
“เจ้าเป็นใคร”
ซินซินส่งเสียงแหบพร่าจากลำคอแห้งผาก ไม่คลายท่าทีระมัดระวังตัวราวกับแม่ไก่หวงไข่
ตงโปคลี่รอยยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุด “ข้าแซ่ตง ชื่อโป แม่นางข้าเพียงขึ้นเขามาสักการะเจ้าแม่”
“...” สาวใช้ตระกูลคหบดีเม้มริมฝีปากแตกระแหงแน่น กวาดดวงตามองสำรวจชายอ้วนตรงหน้าหลายอึดใจ ตะกร้าใบใหญ่บนพื้นมีก้อนแป้งขาว ๆ กระจัดกระจายออกมาสองสามลูก
เกรงว่าเขาคงเป็นเจ้าของซาลาเปาเย็นชืดบนโต๊ะตัวเตี้ยที่นางเห็นตอนเข้ามา
เขาพูดความจริง
“ขออภัย” ซินซินค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างอ่อนแรง เสียงของนางเบามากราวกับสายลมพัดแผ่ว แม้ขาจะยังล้าและไม่มีแรงแต่ก็กัดฟันลุกขึ้นพร้อมออกเดินทางตั้งใจที่จะพาจงอี้หยางหนีไปตั้งหลักให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แม่นาง ประเดี๋ยวก่อน!” เถ้าแก่ร้านซาลาเปาที่เห็นร่างกายหญิงสาวอ่อนแอโงนเงนเต็มที่รีบรั้งเอาไว้
สตรีต่างถิ่นขมวดคิ้วแน่น “ท่านต้องการอะไร”
แม้จะเปลี่ยนสรรพนามให้เกียรติมากขึ้นแต่ยังไม่คลายระแวงไปเสียทั้งหมดทีเดียว
“แม่นาง เจ้ากับลูกของเจ้าดูไม่ดีนักไม่สู้พักสักประเดี๋ยวก่อน พอเจ้ามีแรงข้าจะช่วยพาเจ้ากับลูกไปส่งโรงหมอที่เมืองเหวินโจวข้างล่าง” ตงโปเอ่ยโน้มน้าวอย่างใจเย็น เขาไม่ได้ใส่ใจท่าทีแข็งกร้าวของนาง ซ้ำยังนึกสงสารอยู่ไม่ใช่น้อย
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้หญิงสาวที่มีผิวพรรณราวกับคุณหนูในเมืองตกอยู่ในสภาพนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี
“คุณชายน้อยไม่ใช่ลูกของข้า ข้าไม่กล้าอาจเอื้อม!” ซินซินปฏิเสธเสียงดังฟังชัด
นางไม่ต้องการให้ใครเข้าใจผิด
นายหญิงและนายท่านดีกับนางมาก นางไม่สามารถปีนป่ายขึ้นไปเทียบเคียง
“เอาล่ะ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”
ชายวัยกลางคนโอนอ่อนผ่อนตามคำหญิงสาวแต่โดยดี อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ละความพยายามที่จะกล่อมสตรีวัยออกเรือนเบื้องหน้า “แม่นางร่างกายเจ้าอ่อนแอ เจ้ากินซาลาเปาของร้านข้าก่อน ลูกชายข้าทำเอง อร่อยไม่แพ้ผู้ใดแน่นอน”
“แต่ข้า ข้าต้องรีบไป-” ซินซินเปล่งเสียงแผ่วไม่รู้จะไปซ้ายหรือขวา
นางไม่เคยถูกบีบด้วยสถานการณ์ให้ตัดสินใจเรื่องยากมากมายในเวลาใกล้ ๆ กันแบบนี้
ในฐานะสาวใช้ในเมืองอย่างมากที่สุดที่ต้องตัดสินใจก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ เช่นควรจะเปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้หรือไม่
ตงโปผ่านช่วงอายุมามากกว่าตะล่อมทีละน้อย “ข้ารู้ แต่เจ้ายังไม่มีแรง เจ้ารีบไปไหนบอกข้าได้หรือไม่ หลังจากเจ้ากินซาลาเปาจนอิ่ม ข้าจะพาเจ้ากับคุณชายไปส่งเอง หากไกลนักข้าจะตามลูกชายมาพาไปส่งด้วยอีกแรง”
“...” ซินซินฟังเสียงนุ่มนวลของเถ้าแก่ร้านซาลาเปาแล้วผ่อนคลายลงทีละน้อย
ครุ่นคิดกับตัวเอง
นั่นสิ นางจะไปไหน นางได้รับคำสั่งให้หนีทว่าแม้แต่ที่ให้กลับนางยังไม่มีด้วยซ้ำ
“อื้อ..” บทสนทนาไม่กี่คำหยุดลงจนกระทั่งคุณชายสกุลจงส่งเสียงครวญครางคล้ายลูกสัตว์บาดเจ็บในอ้อมแขนสาวใช้คนสนิทของมารดา จงอี้หยางเปิดดวงตาปรือปรอยพร้อมกับใบหน้าบิดเบี้ยว น่าสงสารจนคนมองน้ำตาปริ่มขอบตา
“คุณชาย.. คุณชายท่านต้องไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ”
“แม่นางคุณชายของเจ้าอาการไม่สู้ดี” ตงโปขมวดคิ้วแน่น เมื่อเกี่ยวข้องกับความตายของผู้เยาว์ก็ไม่อาจใจเย็นโน้มน้าวค่อยเป็นค่อยไป “เอาล่ะ ซาลาเปาของลูกชายข้าเอาไว้ก่อนก็ได้ เจ้าควรพาคุณชายน้อยของเจ้าลงเขาไปพบหมอ”
“...”
“เจ้าต้องรีบก่อนที่จะสายเกินไป!”
อย่าเห็นว่าเขาอ้วนแล้วจะไม่มีแรง กระดูกเขาหนาทั้งยังร่างกายใหญ่โต หากนางไม่ยอมไปตงโปอาจจะต้องตัดสินใจแบกนางไปด้วยตนเอง!