ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
“มอร์แกนเป็นยังไงบ้าง นี่ทำงานกันยังไงถึงปล่อยให้เขาเจ็บตัว” เสียงโวยวายของมิรันตาดังขึ้นแต่เช้า ทำเอาทุกคนวุ่นวายกันไปหมด
“ผมไม่ได้เป็นอะไร” มอร์แกนเดินลงมาจากชั้นสองในชุดสูทพร้อมทำงาน
“นี่คุณจะไปทำงานหรอคะ”
“ใช่”
“แต่คุณบาดเจ็บอยู่นะคะ พักสักหน่อยดีกว่า” มิรันตาเดินเข้าไปหาร่างสูงเมื่อเขาเดินตรงไปยังโต๊ะอาหาร
“แผลแค่นิดเดียว อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหมรัน” เขากล่าวพร้อมตักข้าวเข้าปาก
“รันเป็นห่วงคุณนะคะ แล้วนี่พวกไหนกันคะที่กล้ามายิงคุณกลางวันแสกๆ”
“ผมกำลังตามจับตัวมันอยู่ อีกไม่นานก็คงจะได้รู้”
“งั้นวันนี้รันขอตามไปทำงานด้วยสิคะ”
“เอาสิ เสร็จงานผมอยากเข้าไปพบพ่อแม่คุณพอดี” มิรันตายิ้มกว้าง ตั้งแต่พ่อแม่ของมอร์แกนเสียไป เขาก็แทบจะไม่ไปเหยียบบ้านเธอเลย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะห่างๆกันไปตั้งแต่เธอไปเรียนต่อที่เมืองนอก ทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ดีนัก การเข้าพบพ่อแม่ของเธอในครั้งนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีก็เป็นได้
อันนาเก็บของในครัวเหมือนทุกวัน แต่วันนี้สีหน้าของเธอดูไม่ดีเอาเสียเลย จนเพื่อนร่วมงานต้องถามขึ้นเพราะความเป็นห่วง
“ไหวรึป่าวอันนา ยังตกใจอยู่รึป่าว” วันรักถามพลางเก็บจานใส่ตู้
“ไหว ฉันแค่คิดถึงเรื่องเมื่อวานน่ะ”
“ศัตรูคุณมอร์แกนก็เยอะแบบนี้แหละ มีแต่พวกลอบกัด ที่บ้านถึงต้องมีห้องพยาบาลใหญ่ขนาดนั้นไง” ทุกคนในบ้านต่างไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุที่มอร์แกนเจ็บตัวครั้งนี้สาเหตุมาจากเธอ มอร์แกนขอเธอเอาไว้ว่าห้ามพูดถึง
“เจ็บตัวแบบนี้ยังจะออกไปทำงานอีก”วันรักพูดพร้อมทำหน้าเซ็ง
“นี่เขาออกไปทำงานหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ออกไปกับคุณมิรันตาด้วย ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็มีคุณมิรันตาคอยดูแล” ดีแล้วสินะ ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเศร้าอยู่ภายในใจมากมายขนาดนี้
“เอ้อ วันนี้ป้ารันตีไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เธอช่วยขึ้นไปทำความสะอาดชั้นสามแทนหน่อยได้ไหม เดี๋ยวฉันกับป้ารตีจะออกไปซื้อของ เห็นว่าคุณมอร์แกนห้ามเธอออกข้างนอก” อันนาพยักหน้ารับ
“ได้สิ” หลังเสร็จงานครัว ร่างบางเดินขึ้นไปทำความสะอาดชั้นบน ของสะสมราคาแพงของมอร์แกนตั้งตระหง่านอยู่เต็มไปหมด นี่เธอคงต้องระวังมากขึ้นอีกสินะ เพราะแต่ละชิ้นดูหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกล่ะมั้ง อันนาเดินไปดูของพวกนั้น ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นมันมาก่อนนะ ของแต่ละอย่างกลับดูคุ้นตาเธอไปหมดราวกับว่าเธอเคยเห็นมาก่อนสายตาของหญิงสาวมองไปยังเม็ดทับทิมที่อยู่ในกรอบกระจกใส มันส่งแสงงแวววาวไปมาราวกับอวดแสงของตัวเอง
“อันนี้อะไรคะคุณพ่อ” เด็กหญิงถามขึ้น
“นี่เป็นเพชรทับทิม ราคาแพงมากๆเลยนะ”
“สวยจังเลยค่ะ อันนาอยากได้”
“ของชิ้นนี้มีแค่ชิ้นเดียวในโลกเลยนะ มีอายุเป็นร้อยๆปีเลยล่ะ” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้น
“หูย ถ้าอย่างนี้เราต้องรักษาเอาไว้ใช่ไหมคะ”
“ถูกต้องค่ะ” สายตาของเด็กหญิงจับจ้องไปยังเม็ดทับทิมด้วยแววตาแพรวพราว ผู้เป็นพ่อลูบหัวเธอไปมาด้วยความเอ็นดู
“ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือว่ามันมีหลายอันกันนะ” อันนาพึมพำกับตัวเอง เธอสลัดความคิดทิ้งก่อนจะเริ่มลงมือทำความสะอาด ของสะสมของพ่อเธอป่านนี้คงถูกขายไปที่ไหนสักแห่ง และบางชิ้นอาจจะอยู่นี่ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ เธอเดินเข้ามายังห้องนอนของชายหนุ่ม จะว่าไปห้องนี้ใหญ่มากๆ และยังมีห้องทำงานในตัวอีกด้วย
“ขยันทำงานขนาดมีห้องทำงานอยู่ในห้องนอนอีกด้วยหรอเนี่ย” เธอเผลอยิ้มมุมปากอย่างไม่รู้ตัว เธอปัดกวาดเช็ดถูไปมาพร้อมสำรวจห้องไปด้วยอย่างถือวิสาสะ เธอหยิบข้าวของของเจ้าของห้องมาดูราวกับห้องตัวเอง กล่องขนาดเล็กถูกปัดตกลงพื้นเพราะความซุ่มซ่าม อันนาเก็บขึ้นมาก่อนจะเปิดมันดู
“สร้อยเป็นจี้รูปแม่กุญแจหรอ” สร้อยที่มีจี้รูปกุญแจสร้างความประหลาดใจให้เธอไม่น้อย เห็นขรึมๆแบบนั้นกลับมีสร้อยที่เหมือนเสร้อยผู้หญิงแบบนี้ด้วย เธอเดินเข้าไปทำความสะอาดห้องทำงานที่อยู่ในห้องนอนอีกที เอกสารต่างวางเรียงราย เธอเก็บมันเข้าไว้ในชั้นอย่างเป็นระเบียบ เอกสารหุ้นต่างๆมากมายเต็มไปหมด เธอพอมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้าง เพราะเธอเองก็จบปริญญามาเหมือนกัน แต่เพราะหนี้สิ้นที่แม่กับพ่อเลี้ยงเธอก่อ ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้ทำงานประจำเลย เธออ่านเอกสารพวกนั้นผ่านๆก็พอจะจับใจความอะไรได้หลายอย่าง อย่างที่เธอคาดไม่ถึงเลยที่เดียว
ร่างสูงจิบน้ำเมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เสียงหัวเราะคิกคักของพ่อแม่มิรันตาดังขึ้นเป็นระยะเมื่อเรื่องราวที่คุยดูถูกคอพวกเขาเหลือเกิน
“ว่างๆก็พารันไปเที่ยวมั้งสิ เพิ่งกลับจากเมืองนอกคงอยากไปเที่ยว” เมธาพ่อของมิรันตาเอ่ยขึ้นหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว
“ครับ ช่วงนี้ยุ่งๆน่ะครับ”
“ยุ่งขนาดไหนก็อย่าลืมลูกสาวป้าล่ะ” เรวดีผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นบ้าง
“มอร์แกนเพิ่งลงทุนทำโครงการใหญ่ไปน่ะค่ะ ช่วงนี้คงไม่มีเวลา” มิรันตาเอ่ยขึ้นบ้าง มอร์แกนทำเพียงส่งยิ้มเล็กๆให้
“ความสัมพันธ์ของเราสองคนไปถึงไหนแล้วล่ะ” เมธาถามขึ้น
“คุณพ่อ” มิรันตาทำท่าเขินอายกับคำถามนั้น
“ตอนนี้ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นครับ ผมอยากทำงานของผมให้ดีก่อน” มอร์แกนเอ่ยตัดบท ทำเอามิรันตาหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“และผมก็ไม่อาจรับปากได้ อย่างที่ผมเคยบอกเมื่อหลังจากที่พ่อกับแม่ผมเสียไป ผมยังยืนยันคำเดิมว่าผมขอยกเลิกการหมั้น” เมธาและเรวดีต่างไม่พอใจกับคำตอบของชายหนุ่มมากนัก
“ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่อนาคตข้างหน้าก็คงไม่แน่นอน” เมธาเอ่ยเสียงแข็ง
“วันนี้กลับไปก่อนเถอะ ไว้ว่างๆค่อยนัดทานข้าวกัน” มอร์แกนลุกขึ้นก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยให้กับผู้ใหญ่ทั้งสอง
“เดี๋ยวรันไปส่งค่ะ” มิรันตาเดินตามชายหนุ่มไปหน้าบ้าน
“ผมต้องขอโทษด้วย”
“ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่ได้คิดอะไรกับรัน แต่ข้างหน้าก็ไม่แน่ใช่ไหมคะ งั้นรันจะพยายามต่อไปนะคะ” มิรันตาบอกก่อนจะส่งยิ้มสดใสให้
“ผมขอตัว” มอร์แกนพยักหน้าให้อานันก่อนรถจะทะยานออกไปจากบ้านของครอบครัวมิรันตา ร่างเล็กเดินกลับมายังโต๊ะอาหารก่อนจะทำท่าหัวเสีย
“ทำปากดีไปก่อนเถอะ” เมธาด้วยความโมโห
“รันจะทำให้มอร์แกนคุกเข่าขอรันแต่งงานให้ได้ คุณพ่อไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“รีบๆเข้าล่ะ ผู้ชายที่ดื้อรั้นแบบเขาคงไม่ง่ายนักหรอก” หญิงสาวมองผู้เป็นพ่อก่อนจะกระดกไวน์จนหมดแก้ว
“อะไรที่ได้มายากๆ รันยิ่งชอบค่ะ”
อันนายังคงง่วนกับการอ่านเอกสารที่ไม่ใช่ของตัวเอง เธอเหลือบมองนาฬิกานี่ก็เกือบห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว เธอเก็บเอกสารให้เรียบร้อยก่อนจะวางมันไว้บนชั้น พลันสายตาเหลือบไปเห็นเอกสารฉบับหนึ่ง มือบางเอื้อมหยิบมันแต่มีอีกมือหนึ่งดึงเอกสารออกไปก่อน เธอหันไปมองด้วยความตกใจ
“คุณมอร์แกน”
“เข้ามาทำอะไรในห้องฉัน” สีหน้าของมอร์แกนบ่งบอกว่าเขากำลังโกรธมากขนาดที่ว่าฉีกเธอเป็นชิ้นๆได้เลย
“ฉันมาทำความสะอาดห้องคุณแทนป้ารันตีค่ะ เธอไม่..”
“เธอก็เลยถือวิสาสะหยิบเอกสารบนโต๊ะฉันไปอ่านอย่างนั้นหรอ”
“ฉันแค่จะเก็บมันให้เรียบร้อยค่ะ”
“ไม่มีใครบอกเธอหรอว่าห้ามเข้ามายุ่งในห้องทำงานฉัน” เสียงของร่างสูงเริ่มดังขึ้น จนอันนาไม่กล้าสบตาเขา
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ทราบจริงๆ” เห็นท่าทางกลัวๆของคนตรงหน้าทำให้เขาเริ่มสงบสติตัวเอง น้ำเสียงที่ดุดันเมื่อครู่ก็เริ่มผ่อนคลายลง เขาเดินเข้าไปหาร่างบางตรงหน้า
“หรือว่าเธอ” อันนามองไปยังร่างสูงที่ยื่นหน้าเขามาใกล้ก่อนจะรีบปฏิเสธ
“ป่าวนะคะ ฉันไม่ได้คิดอะไร”
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” เธอผลักมอร์แกนออก แต่มือเธอกลับไปโดนแผลของชายหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ
“โอ๊ย” ชายหนุ่มกุมแผลตัวเองเอาไว้
“ฉันขอโทษค่ะ” อันนาปรี่ข้าไปดูแผลของชายหนุ่ม แต่เธอหลงกลเขาเข้าแล้ว ชายหนุ่มจับเอวทั้งข้างของเธอก่อนจะยกเธอขึ้นนั่งบนโต๊ะ
“คุณจะทำอะไร” เธอถามด้วยความตกใจ
“ทำอะไรดีล่ะ” มอร์แกนเท้าแขนทั้งสองข้างกันตัวเธอไว้ไม่ให้หนี หญิงสาวนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับไปไหน
“อย่าทำแบบนี้นะคะ”
“แบบไหนล่ะ แบบคืนนั้นน่ะหรอ” ใบหน้าของอันนาแดงขึ้นระเรื่อจนเธอต้องมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาเห็นหน้าเธอ
“เธอนี่ตลกเหมือนกันนะ”
“คุณไม่เจ็บแผลแล้วหรอคะ”
“เจ็บสิ เจ็บมากด้วย”
“คุณโกหก” ใบหน้าของชายหนุ่มเลื่อนเข้ามาใกล้เธอจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
“ถ้าคุณเจ็บ ฉันจะไปเอายามาให้” สิ้นเสียงมอร์แกนค่อยๆประกบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากเรียวบางของร่างตรงหน้า มือบางพยายามดันเขาออก แต่มือหนากลับโอบเธอเอาไว้แน่น เธอเผลอตัวให้คนร้ายกาจอย่างเขาอีกแล้ว ผ่านไปเนิ่นนานมอร์แกนถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ร่างบางหายใจเข้าราวกับคนเพิ่งหยุดหายใจ
“ทีนี้ตอบคำถามฉัน แล้วฉันจะปล่อยเธอไป” หญิงสาวเรียกสติกลับคืนมา โดยมีร่างมอร์แกนโอบเธอเอาไว้ขณะที่เธอนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
“เธอไปมีศัตรูที่ไหนบ้าง” อันนาทำหน้าครุ่นคิด ตั้งแต่พ่อเธอเสียเธอก็ไม่เคยไปสุงสิงกับใครเลย หรือว่าจะเป็นเจ้าหนี้คนอื่นๆที่แม่กับพ่อเลี้ยงเธอไปก่อไว้
“ฉันไม่แน่ใจค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันไม่เคยมีศัตรูที่ไหนเลย ถ้าจะมีก็คงเป็นเจ้าหนี้ของแม่กับพ่อเลี้ยงฉัน นอกนั้นฉันก็ไม่เคยคุยกับใครเลยนะคะ”
“ไม่มีเลยงั้นหรอ”
“ก็จะมีแค่ อาราม นอกนั้นก็คนในบ้านนี้แหละค่ะที่ฉันคุยด้วย” มอร์แกนคลายมือลงก่อนปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ เธอรีบลงมาจากโต๊ะก่อนจะยืนนิ่งๆ
“คุณจับตัวคนร้ายได้แล้วหรอคะ”
“ยังหรอก แต่ดูแล้วคงมีมากกว่าสองคน ไม่งั้นไม่หนีไปได้หรอก” มอร์แกนทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขามองร่างเล็กตรงหน้าแล้วอดห่วงไม่ได้
“เธอกลับไปพักเถอะ ฉันจะทำงานแล้ว แล้วก็ห้ามเข้ามาในห้องนี้อีก ไม่งั้นฉันจะลงโทษเธอ” อันนาพยักหน้ารัวๆก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป มอร์แกนมองไปยังเอกสารที่ถูกวางอยู่บนชั้น
“นี่เธอแอบอ่านอะไรของฉันไปบ้างเนี่ย” ชายหนุ่มหยิบเอกสารขึ้นมาดูก่อนวางมันลงเมื่อพบว่าไม่มีเอกสารอะไรที่สำคัญมาก
“ดื้อเหมือนพ่อเธอไม่มีผิดเลยนะ...อันนา”