ตอนที่ 3 คู่แข่งธุรกิจ
ขวัญข้าวเดินออกมาดูความเรียบร้อยที่หน้าเคาเตอร์บาร์ แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องนิ่วหน้าอย่างสงสัยเมื่อเห็นพนักงานสาวเสิร์ฟยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ 2-3 คน
“มีอะไรกันเหรอ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูงก่อนจะมองไปที่ลูกน้องสาวที่นั่งหน้าบิดเบี้ยวอยู่บนเก้าอี้ “เป็นอะไรไปน่ะแนน”
“ปวดท้องค่ะคุณข้าว” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้นตอบ มือเรียวกดอยู่ที่ท้องน้อยตัวงอ
“งั้นไปหาหมอดีกว่านะ ดูท่าทางจะปวดมากเสียด้วย” เจ้าของผับสาวเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “เดี๋ยวช่วยกันพยุงแนนไปที่รถแล้วบอกให้ประภาสพาแนนไปตรวจที่โรงพยาบาลทีนะ จิ๋มไปเป็นเพื่อนแนนก็ได้ เดี๋ยวงานทางนี้ฉันจัดการเอง”
“ค่ะ” พนักงานสาวพยักหน้ารับก่อนจะช่วยกันพยุงเพื่อนพนักงานด้วยกันเดินออกไปทางด้านหลังร้าน
“นั่นงานส่วนของจิ๋มใช่ไหม” ขวัญข้าวหันมาทางพนักงานบาร์ซึ่งกำลังชงบรั่นดีใส่แก้วใสสองใบ
“ครับ” อีกฝ่ายพนักหน้ารับ
“เดี๋ยวฉันเอาไปเสิร์ฟเอง โต๊ะไหนล่ะ”
“โต๊ะ 9 ครับ” พนักงานบาร์บอกพร้อมกับวางแก้วบรั่นดีลงบนถาดใสพร้อมกับผ้าเย็นสองผืน ขวัญข้าวมองไปทางโต๊ะหมายเลขที่ลูกน้องบอกก่อนจะหันมายิ้มบางๆ แล้วยกถาดบรั่นดีออกไปเสิร์ฟแทนลูกน้องสาว
จิณณวัตรมัวแต่มองสำรวจภายในผับด้วยหัวใจที่คุกรุ่นจึงไม่ทันระวังปัดมือมาโดนแก้วบรั่นดีที่สาวเสิร์ฟกำลังจะนำมาวางลงตรงหน้าของเขาหกนองโต๊ะ ใบหน้าที่บึ้งตึงอยู่แล้วก็ดูดุดันมากขึ้น แต่พอเขาหันมาเห็นใบหน้าหวานของแม่พนักงานสาวก็ถึงตาค้างไปทีเดียว หัวใจหนุ่มกระตุกวูบราวกับโดนกระชากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วในความรู้สึกลึกๆ ของเขาก็เหมือนกับจะคุ้นหน้าหญิงสาวนางนี้มาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหน
“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเปลี่ยนแก้วใหม่มาให้นะคะ” ขวัญข้าวบอกเสียงหวานแล้วทำท่าจะหมุนตัวเดินกลับไป แต่มือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียว เศรษฐ์สัณห์ขมวดคิ้วมองเพื่อนรักอย่างแปลกใจ
“ยังไม่ต้อง ฉันยังไม่อยากดื่ม ฉันอยากรู้จักชื่อเธอมากกว่า” จิณณวัตรไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องสนใจผู้หญิงคนนี้มากขนาดอยากจะรู้จักชื่อด้วย ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยชายตาแลผู้หญิงพวกนี้เลย รสนิยมของเขาจะเป็นพวกสาวไฮโซ นักร้อง นักแสดงหรือไม่ก็นางแบบชั้นแนวหน้าของไทยมากกว่า
“ดิฉันเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟธรรมดาๆ คงไม่จำเป็นต้องบอกชื่อหรอกค่ะ” ขวัญข้าวคลี่ยิ้มหวานแล้วดึงมือของตัวเองกลับมา ถึงในใจจะไม่พอใจที่อีกฝ่ายรุ่มร่ามกับตน แต่เธอก็ท่องเอาไว้ในใจเสมอว่าลูกค้าคือเทวดา
“แต่มันจะไม่เป็นการดีมั้งถ้าจะขัดใจแขกที่มาใช้บริการที่นี่ ถ้าฉันรายงานผู้จัดการว่าเธอขัดใจฉัน เธออาจจะโดนหักเงินเดือนหรือไม่ก็ไล่ออกก็ได้นะ” มุมปากหยักกระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าคุณจะรายงานเจ้านายของดิฉันๆ ก็ไม่ว่าอะไร เพราะดิฉันไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอะไรกับคุณ” ใบหน้าสวยยังคงคลี่ยิ้มหวาน แต่น้ำเสียงนั้นเริ่มแข็งขึ้น จิณณวัตรเหยียดมุมปากออกอย่างพอใจและนึกสนุกที่จะต่อปากต่อคำกับสาวเสิร์ฟร่างอิ่มนางนี้เสียแล้ว
“ฝีปากดีนี่ ฉันชักสนใจเธอซะแล้วสิ สนใจที่จะออกไปข้างนอกกับฉันไหม” แววตาคมมองไล้ไปตามเรือนร่างบางอย่างจงใจ ขวัญข้าวถึงกับหน้าร้อนวาบราวกับถูกตบที่อีกฝ่ายคิดว่าเธอเป็นพวกผู้หญิงขายตัว ลูกค้าแบบนี้แหละที่เธอเกลียดมากที่สุด
“ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟธรรมดา ไม่ใช่พวกผู้หญิงแบบที่คุณคิด ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวไปบริการโต๊ะอื่นต่อนะคะ เสียเวลามามากแล้ว” ขวัญข้าวฝืนยิ้มกว้างก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
‘ไอ้นี่มันคิดจะทำอะไรวะเนี่ย อย่าบอกนะว่าสนใจแม่พนักงานสาวเสิร์ฟหน้าหวานคนนี้เข้าให้แล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้’ เศรษฐ์สัณห์เองก็นิ่วหน้าลงอย่างแปลกใจเมื่อเพื่อนรักดูมีท่าทางสนใจพนักงานสาวคนนี้ แต่เจ้าหล่อนก็ดูสวยสะดุดตามากกว่าพนักงานสาวทุกคน ก็น่าอยู่ที่เพื่อนหนุ่มของเขาจะสนใจ แต่มันจะผิดวิสัยของอีกฝ่ายไปมากทีเดียวถ้าเป็นแบบนั้น
“แกมองฉันแบบนั้นทำไม” จิณณวัตรหันมาจ้องหน้าเพื่อนรักแทนเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองหน้าเขาด้วยแววตาสงสัย
“ก็แปลกใจที่แกสนใจพนักงานสาวคนนั้นไง แกสนใจจริงๆ หรือว่าเป็นแผนของแกวะ” เศรษฐ์สัณห์ชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบถามเพื่อนหนุ่ม
“แล้วมันจะผิดหรือไงถ้าฉันจะสนใจขึ้นมา” พูดจบเขาก็หัวเราะในลำคออย่างชอบใจแล้วหันไปมองตามร่างบางที่เดินไปที่เคาเตอร์บาร์และเดินหายไปทางด้านหลังร้าน
“เฮ้ย! เดี๋ยวนี้แกเปลี่ยนรสนิยมมาชอบแบบนี้แล้วหรือวะ แกไม่สบายหรือว่ากินยาไม่ได้เขย่าขวดวะเนี่ย” เศรษฐ์สัณห์ขมวดคิ้วพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างเห็นเป็นเรื่องขำขัน แต่แล้วเขาก็ต้องค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาจริงจังของเพื่อนหนุ่ม
“ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ แล้วก็ในสภาพพนักงานแบบนี้ด้วย” น้ำเสียงของจิณณวัตรฟังดูจริงจังมากจนเศรษฐ์สัณห์นิ่วหน้าด้วยความสงสัยว่าเพื่อนรักของเขาต้องคิดจะทำอะไรแน่ๆ
“แกอย่าบอกนะว่าเหมาะที่จะอยู่บนเตียงของแกมากกว่าน่ะ” คิ้วหนาของเศรษฐ์สัณห์ขมวดจนแทบจะชนกันเพราะเรื่องเดียวที่เพื่อนของเขาชอบถัดมาจากการแข่งรถก็คือหิ้วสาวสวยขึ้นเตียง
“ใช่ ฉันอยากได้ผู้หญิงคนนี้ ยิ่งได้ยากมากเท่าไรฉันยิ่งชอบ และถ้าฉันอยากได้อะไรฉันก็ต้องได้ แล้วแกคอยดูว่าเงินของฉันมันสามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ง้างใจของคน” มุมปากบางกระตุกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ เศรษฐ์สัณห์จ้องหน้าเพื่อนรักนิ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจังกับผู้หญิงระดับรากหญ้าถึงขนาดนี้ นี่นับว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยก็ว่าได้
ขวัญข้าวกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างแรงด้วยความโกรธและโมโห อรวดีเดินเข้ามาเห็นเพื่อนสาวนั่งหน้ามุ่ยอยู่ก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือข้าวหน้าบูดเชียว” ร่างบางเดินไปหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงานก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ก็ไปเจอพวกโรคจิตมาน่ะสิ เขาคิดว่าฉันเป็นเด็กนั่งดริ้งก์ก็เลยชวนฉันออกไปต่อข้างนอก น่าเอาขวดเหล้าฟาดปากจริงๆ” ขวัญข้าวเน้นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง
“ตายจริง แล้วข้าวทำอะไรเขาหรือเปล่า” อรวดียกมือขึ้นทาบอกตัวเองอย่างตกใจ
“เปล่าหรอก ข้าวไม่ได้ทำอะไร ขืนข้าวไปทำอย่างที่ข้าวคิดละก็ผับเราเจ๊งแน่ๆ” ขวัญข้าวบอกเสียงอ่อยแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนรักต่อ “ว่าแต่อรเถอะมีอะไรกับข้าวหรือเปล่า”
“เมื่อกี้นี้ป้าชุโทรมาบอกว่าแม่นิดไม่สบาย อรก็เลยจะมาชวนข้าวไปเยี่ยมแม่นิดวันพรุ่งนี้น่ะ” แม่นิดที่อรวดีเอ่ยถึงก็คือเจ้าของบ้านเด็กกำพร้านิลกาฬนั่นเอง เด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ที่นั่นจะเรียกคุณนิลกาฬว่าแม่นิดกันทุกคน
“แม่นิดไม่สบายเหรอ แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ขวัญข้าวมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันที
“ป้าชุบอกว่าเป็นลมหน้ามืดตามประสาคนแก่น่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว” คำตอบของอรวดีทำให้ขวัญข้าวผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะแม่นิดคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ ถ้าไม่มีแม่นิดก็ไม่มีนางสาวขวัญข้าวในวันนี้ และถึงแม้ว่าเธอจะแยกตัวออกมาแล้วแต่เธอก็ยังหมั่นแวะเวียนไปเยี่ยมไปหาแม่และพี่น้องในบ้านนิลกาฬอยู่เสมอๆ
“งันพรุ่งนี้เช้าเราไปเยี่ยมแม่นิดกัน” ขวัญข้าวพยักพเยิดให้เพื่อนสาว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เอกทัศน์เดินเข้ามาพอดี
“ได้ยินแว่วๆ ว่าจะไปไหนกันเหรอ” ชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนทางด้านหลังของขวัญข้าวพร้อมกับพาดมือลงบนพนักเก้าอี้ของหญิงสาว
“แม่นิดไม่สบายค่ะ พรุ่งนี้เช้าเราจะไปเยี่ยมแม่นิดกันค่ะ พี่เอกจะไปกับพวกเราไหมคะ” ขวัญข้าวเอียงหน้าไปถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบ
“พี่คงไปด้วยไม่ได้เพราะต้องไปทำธุระด่วนกับเพื่อนที่ต่างจังหวัดน่ะ เอาเป็นว่าพี่จะฝากของเยี่ยมไปแล้วกันนะ” เขาบอกยิ้มๆ ก่อนจะเหลือบสายตามองไปทางอรวดีนิดหนึ่งและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งๆ
“ฉันฝากเธอดูแลข้าวด้วยแล้วกัน เพราะยังไงข้าวก็คือเจ้านายของเธอ”
“ค่ะ” อรวดีพยักหน้ารับพร้อมกับก้มหน้าลงมองมือของตัวเองบนตัก ความร้อนแล่นมาจับที่ขอบดวงตาอย่างฉับพลัน
“อะไรกันค่ะพี่เอก ข้าวกับอรไม่ได้เป็นเจ้านายกับลูกน้องนะคะ เราเป็นเพื่อนกัน ส่วนเจ้านายน่ะคือพี่เอกต่างหากค่ะ” ขวัญข้าวรีบพูดแก้ทันทีเพราะไม่อยากให้เพื่อนรักต้องคิดมาก และเธอเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายของใครเลย
“พี่...” เอกทัศน์ทำท่าจะพูดต่อ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน และเมื่อชายหนุ่มหยิบออกมาดูเบอร์ที่เข้าก็นิ่วหน้าลงนิดหนึ่งก่อนจะหันมาทางขวัญข้าว “พี่ขอตัวก่อนนะ” พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง
“อย่าไปถือสาคำพูดของพี่เอกเลยนะ ฉันไม่เคยคิดอย่างที่พี่เอกพูดเลย เธอก็คือเพื่อนฉันไม่ว่าจะอยู่ในเวลาไหนก็ตาม” ขวัญข้าวคลี่ยิ้มกว้างให้เพื่อนสาว
“ความจริงฉันไม่ควรจะมาทำงานที่นี่เลย ดูท่าทางพี่เอกจะไม่ชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไร” อรวดีเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรักด้วยสีหน้าเศร้าๆ ขวัญข้าวจึงลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินมาโอบรอบคอเพื่อนรักเอาไว้หลวมๆ
“อย่าคิดมากสิอร เราลำบากลำบนอดมื้ออิ่มมื้อมาด้วยกัน ฉันจะทิ้งให้เธอทำงานลำบากตากแดดตากลมอยู่กับบริษัทที่เอาเปรียบแบบนั้นได้ยังไง ฉันสบายเธอก็ต้องสบายด้วย เราไม่ทิ้งกันอยู่แล้วเพื่อนรัก”
“ขอบใจมากนะข้าวที่ไม่ทิ้งอร ข้าวเป็นผู้หญิงที่งามทั้งหน้าตาและจิตใจอย่างแท้จริง สมแล้วที่ข้าวมีแต่คนที่รัก” อรวดีคลี่ยิ้มกว้างแล้วกอดมือเรียวของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างตื้นตันและซาบซึ้งในน้ำใจ แต่ถึงขวัญข้าวจะดีกับเธอมากขนาดไหน เธอก็อดคิดน้อยใจในคำพูดของเอกทัศน์ไม่ได้อยู่ดี