บทที่ 9
แซมมี่,จิล,ไมค์ แล้วก็ผมเข้าไปอัดกันอยู่ในรถของ จิล มอร์แกนมุ่งหน้าไปมิดเดิ้ลทาว์น นิว เจอร์ซี่ มันเป็นครั้งแรกในรอบ 10 วันที่ผมได้พบหน้าค่าตาแซมมี่
“ไอ้เรื่องนี้มันบ้าที่สุด” ผมเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
“ไม่บ้าหรอกโว้ย แล้วแกจะเห็นเอง”มัลลอยตอบ
“รู้สึกว่ามันเป็นวิธีการอันน่าสนใจที่จะใช้เวลาในวันเสาร์นะ” จิลเอ่ยขึ้นบ้าง
“ฟังนะ” มัลลอยพูด “ถ้าเราไม่ปล้นเมืองนี้จริง อย่างน้อยเราก็ยังได้สคริ๊พหนังมาเขียน แล้วก็หายให้กับ เมโทร- โกลวินเมเยอร์ละวะ ยิ่งกว่านั้นนะโกบี้ ถ้ามันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย อย่างน้อยฉันก็ยังชี้สถานที่ให้แกดูไว้ก่อน”
“แล้วฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าต้องการดู?” ผมถาม
“อ้าว ก็เมื่อคืนที่วันศุกร์ ตอนที่เรา 3 คนนั่งอยู่ในร้านมิมี่ด้วยกันไง”
“ฉันน่ะเรอะ? จำไม่ได้เลยว่ะ” ผมบอก
“รับประกันได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวที่คุณจำไม่ได้หรอก” แซมมี่เอ่ยขึ้นบ้าง
“ไหนบอกมาสิว่าคุณพูด ยังงั้นหมายความว่ายังไง” ผมชักโมโหขึ้นมา
“ก็คือนั้นคุณขอฉันแต่งงานด้วยไงล่ะ” แซมมี่พูดหน้าตาเฉย
“ผมทำอะไรน่ะ?”
“คุณโทรศัพท์ไปหาฉัน...แล้วก็ขอฉันแต่งงาน” แซมมี่พูดเสียงเครียด
“ผมน่ะเรอะทำยังงั้น?”
“ใช่...ก็คุณน่ะสิ จะมีใคร...นี่คุณจำไม่ได้เลยเชียวหรือว่าคุณขอฉันแต่งงาน?”
“จำไม่ได้หรอก”
“ก็ไอ้ตาขาวตัวนี้มันเมา เสือกไปขอเขาแต่งงานแล้วยังเสือกจำไม่ได้อีก” ไมค์ มัลลอยพูดไปสบถไป
“แล้วผมพูดว่าไงบ้างล่ะ? เออ...ผมแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยหรือเปล่า?”
“อ๋อ...ขออย่างสุภาพบุรุษเลยเชียวละ อยากรู้ใช่ไหม ว่าคุณพูดว่ายังไง นี่...คุณบอกว่า...แซมมี่เรามาแต่งงานกันเถอะ...แล้วฉันก็ถามคุณว่า...
“คุณอยู่ไหนล่ะนั่น”
คุณเก๊าะตอบว่า ผมโทรมาจากร้านมิมี่นะ แล้วคุณยังพูดต่อว่า...แซมมี่ผมพูดจริงๆ นะ เรามาแต่งงานกันเถอะ”
“ฉันก็ย้อนถามว่า...เมื่อไหร่ล่ะ?”
“คุณบอกว่า...เร็วที่สุดเลย”
“ฉันถามต่อว่า ไอ้ที่ว่าเร็วน่ะ...เร็วสักแค่ไหน?”
“คุณก็บอกว่า “เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้เลยแหละ”
ฉันถามย้ำนะ ว่าคุณแน่ใจนะ?”
“พอถึงตรงนี้ โอปะเรเตอร์เขาก็บอกว่า เวลา 3 นาทีจะหมดแล้วนะ จะมีสัญญาณให้คุณเลิกพูดแล้วนะ”
“คุณก็ยังพูดต่อ คุณว่า เร็วๆ เข้าสิ...แซมมี่ตอบรับ เร็วๆ เข้า”
“ฉันก็เลยบอกว่า...ตกลง”
“คุณก็ตะโกนมาว่า “วิเศษเลย” หลังจากนั้นฉันคิดว่า คุณหมดสติไปแล้วละ”
“มันหมดสติจริงๆ” จิลหัวเราะออกมา “มันหลับอยู่ในตู้โทรศัพท์นั่นแหละ”
“แล้ว คุณก็ตกลงด้วย?” ผมถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ก็ใช่น่ะสิ...คุณ...ฉัน เก๊าะตกลงน่ะสิ”
ปลายเดือนกันยายนปีนั้น ผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องทำความฝันให้เป็นจริงเสียที ในการทำเช่นนั้น ผมก็ได้ตะหนักชัดว่า ตัวเองได้ใช้เวลาในฤดูร้อนให้หมดสิ้นไปอย่างวิบัติที่สุด ผมลาออกจากงานที่ร้านขายหนังสือดับเบิ้ลเดย์บุ๊คสโตร์ เพื่อที่จะได้อุทิศเวลาทั้งหมดให้การเขียนนวนิยาย อเมริกันเล่มใหญ่ 40 หน้าแรกของหนังสือเล่มนั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งการต่อสู้อันดุเดือด และผมก็ชนะใจในการขอแต่งงานกับผู้หญิงคนที่ตัวเองไม่ได้รักเลย
“แล้วนี่แกจะทำยังไงกับเรื่องนี้ต่อไปวะ?” ผมถามตัวเอง
“มันก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”...ผมตอบตัวเองง่ายๆ หมดเดือนกันยายนก็ถึงเดือนตุลาคม
และเดือนตุลาคมนั่นเองที่แซมมี่ใช้เวลาให้หมดไปด้วย ไปด้วยการช่วยจัดตกแต่งห้องเช่าผม
“แต่ห้องที่มันเช่าอยู่น่ะซ่อมซ่อจะแย่นะ” พี่สาวผมเตือนแซมมี่
“ฉันรู้แล้วละ” แซมมี่ตอบ “แต่เท่าที่ดูๆ แล้ว ฉันคิด ว่ามันพอจะแต่งได้แน่”
“ไม่คุ้มหรอกน่า” เจอรัลดีนบอก
“คุ้มสิ” แซมมี่ไม่ยอมแพ้
“นี่มันเพื่ออะไรกันนะ” เจอรัลดีนถามอย่างหงุดหงิด
“เก๊าะเพื่อว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องเข้าไปอยู่ที่นั่นด้วยนะสิ” แซมมี่ตอบอย่างไม่ยี่หระ “ยิ่งกว่านั้นนะเจอรัลดีน ฉันน่ะ อยากจะอยู่ในบ้านขนมปังตุ๊กตามาตั้งนานแล้วละ”
“อะไรไอ้ห้องเช่าบ้าๆ นั่นน่ะเรอะที่เธอเรียกเสียโก้ว่า บ้านขนมปังตุ๊กตา” เจอรัลดีนไม่เชื่อหูเอาจริงๆ
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะห้องนั้นทั้งห้องมีแค่ม่านผ้าฝ้าย กับ ตัวโดบี้เท่านั้นนี่”
“ฟังไว้นะ ฟังไว้” ผมร้องออกมาจากห้องน้ำ
“เหลือเชื่อจริงๆ” เจอรัลดีนคำรามออกมา
“เหลือเชื่อเรื่องอะไร?” แซมมี่ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เหลือเขื่อที่ว่า เธอยกโต๊ะเก้าอี้มา ติดม่านเข้ามาในไอ้ห้องเช่าซ่อมซ่อที่อยู่ตั้งชั้น 5 ในย่านที่มันทุเรศที่สุดของอีสต์ ไซด์นี่น่ะสิ”
“เจอรัลดีน ฉันว่าเธอนี่ขี้อิจฉาจังนะ” แซมมี่ว่าเอาตรงๆ
“ซาแมนต้า...” เจอรัลดีนลากเสียง “ฉันว่าเธอนั่นแหละกำลังป่วยหนัก ฉันหมายถึงว่า ถ้าเธอคิดที่จะล้างจาน เช็ดบ้านเดินย่ำปัสสาวะที่มันเรี่ยราดอยู่ตามห้องโถงนั้น ก็แสดงว่าเธอบ้าแน่แล้ว”
“ฉันชอบล้างจาน เช็ดบ้านนี่ ตราบใดที่มันเป็นจานของฉัน พื้นห้องของฉัน เธอไม่รู้หรอกหรือเจอรัลดีน ว่าผู้หญิงรวยๆ น่ะเป็นเมียได้ดีกว่าผู้หญิงจนๆ นะ?”
“เอช.ที. จะต้องเห็นด้วยในเรื่องนี้แน่” ผมตะโกนมาจากห้องน้ำ
“จริงด้วย” แซมมี่พูดต่อ “เธอจะต้องรู้ไว้ด้วยว่า เวลาที่ผู้หญิงรวยๆ แต่งงานน่ะ เพราะว่าเขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่ชีวิตต้องการอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาไม่เรียกร้องอะไรมากนักหรอก ผู้หญิงรวยๆ ต้องการเพียงแค่กอดๆ จูบๆ ก็แสนจะเป็นสุขแล้ว”
“เหลือเชื่อจริงๆ” เจอรัลดีนพูดซ้ำอยู่ได้คำเดียวเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก่อนจะออกพ้นประตูก็ยังอุตส่าห์หันกลับมาพูดกับแซมมี่ว่า “แซมมี่ เธอน่ะดีกว่าฉันมากนะ”
อย่างช่าๆ และด้วยความตั้งใจที่มาดมั่น แซมมี่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงห้องเช่าซอมซ่อของผมเป็นอพาร์ตเม้นท์ที่น่าอยู่ทีละเล็กละน้อย โต๊ะเก่าๆ หายไปแล้ว มีโต๊ะตัวใหญ่ขัดเงาวาววับมาตั้งแทนที่ โคมไฟกระจายอยู่ทั่วห้องตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ม่านก็เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีเตียงหรูๆ พร้อมผ้าคลุมเตียงแสนสวยอีกด้วย
“ถามจริงๆ เถอะคุณไปเอาเครื่องเรือนพวกนี้มาจากไหนกัน?” ผมถามแซมมี่ขึ้นในวันหนึ่ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“แต่ผมต้องห่วงน่ะ”
“บ้านฉันน่ะมันใหญ่เกินไป เข้ามองพะลึกพะเลอ เอามาแค่นี้มันไม่พร่องหรอก”
“ตายจริง แซมมี่” ผมพูดโกรธๆ แต่ลึงลงไปในใจของผมก็ว่ามันออกจะเข้าท่าดีอยู่เหมือนกัน
“แกรู้ไหม?” พี่สาวผมตะโกนกรอกหูเข้ามาทางโทรศัพท์ “นี่...ใครๆ ทั่วคอนเนคติกัตนี่เขาพูดถึงแกกันใหญ่แล้ว ฉันละภูมิใจจนอดใจไว้ไม่อยู่ต้องโทรมาเชียวนะ”
“เขาพูดกันเรื่องอะไร?” ผมถาม
“พูดกันเรื่องอะไรน่ะเรอะ?” ก็พูดกันเรื่องที่แซมมี่ วิลเคอร์สันเกิดทิ้งขว้างพ่อ ยอร์จ ลาร์ค สเปอร์ จูเนียร์ เพราะมาหลงรักไอ้นักเขียนที่มีแต่ตัว อาศัยอยู่ในห้องเช่าซ่อมซ่อฟากตะวันออกน่ะสิ”
“แล้วพี่ภูมิใจ?” ผมย้อนถาม
หลังจากนั้นผมก็ออกหางานทำ แล้วก็ได้งานในที่สุด
บัดนี้ ผมได้กลายเป็นพนักงานขายนอกเวลาของบริษัททรานสอเมริกา คิวอิ้งแมชชีน คอมเปนีไปแล้ว ผมขายอุปกรณ์ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กล้องโทรทัศน์ อาณาเขตของผมก็คือนิวยอร์ค,เพนซิลวาเนีย,นิว เจอร์ซี่กับ เดลาแวร์ 5 วันในหนึ่งเดือนผมจะต้องออกตระเวนเสนอขายอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้กับสถานีโทรทัศน์ ทั้งสถานีที่ใช้อุปกรณ์ของบริษัทอยู่แล้ว หรือไม่ก็พวกที่คิดประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลาอยู่ที่สำนักงานในนิวยอร์ค คอยรับโทรศัพท์เวลาลูกค้าโทรมาด่าเกี่ยวกับบริการที่ชุ่ยแหลก
สิ่งเดียวที่ดีสำหรับการทำงานที่บริษัทนี้ คือผมใช้จ่ายเงินจากเบี้ยเลี้ยงที่เบิกได้เวลาเดินทาง ไม่จำเป็นต้องแตะต้องเงินเดือนเลย แม้ว่าเงินเดือนมันจะไม่มากนัก แต่ผมก็ไม่พยายามใช้เลยเหมือนกัน
“คุณจะต้องเป็นพนักงานขายที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทรานสอเมริกา คิวอิ้งแมชชีน คอมเปนีเชียวนะ” แซมมี่บอกผมอย่าภาคภูมิใจ
“ไชโย” ผมร้องบอกตัวเอง